PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2562

กองทัพ กับ ข้าศึกใหม่ของไทย

กองทัพ กับ ข้าศึกใหม่ของไทย

ขณะที่ประเทศไทยจะมีข้าศึกใหม่ใน ๑๐ ถึง ๑๕ ปีข้างหน้า ปรากฏข่าวกองทัพบกเปิดค่ายทหาร “อาร์มี่แลนด์” ๑๗๓ แห่ง รับท่องเที่ยวปีใหม่ ๒๕๖๓ จับมือจิตอาสาตั้ง ๓๗๐ จุด บริการประชาชน จัดจำหน่ายสินค้า “โอทอปทหาร”
นับว่าเป็นกิจกรรมที่สร้างสรรค์ ไม่เพียงแต่กองทัพบกจะได้ปฏิบัติการจิตวิทยาเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับประชาชน แต่เป็นแนวคิดที่ตรงกันข้ามกับอดีตที่ติดป้าย “เขตทหารห้ามเข้า”
ในความเป็นจริงกองทัพมีทรัพยากรของประเทศ และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ได้มาจากงบประมาณมากมาย ยังจำได้ว่าพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ขณะเป็นผู้บัญชาการทหารบก ได้เคยเชิญนักวิชาการไปรับประทานอาหารที่บ้าน และได้มีการสนทนาแลกเปลี่ยนถึงงบประมาณของประเทศที่กองทัพได้รับจัดสรรไปใช้ ความตอนหนึ่งบิ๊กจิ๋วได้บอกกับเหล่านักวิชาการว่า ในความจริงกองทัพสามารถที่จะเลี้ยงตัวเองได้ เพราะมีที่ดินที่อยู่ในแหล่งต่าง ๆ ทั่วประเทศจำนวนมาก
เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า กองทัพมีคลื่นความถี่และสถานีวิทยุโทรทัศน์จำนวนมาก รวมกันถึง ๑๙๘ สถานี แบ่งเป็นกองทัพบก ๑๒๗ สถานี กองทัพอากาศ ๓๖ สถานี กองทัพเรือ ๒๑ สถานี และกองบัญชาการกองทัพไทย ๑๔ สถานี นอกจากนี้ยังมีสถานีโทรทัศน์อีก ๒ แห่ง
กองทัพมีเครื่องมือเครื่องใช้ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ เรือยนต์ เครื่องบิน เฮลิคอปเตอร์ รถบัส รถบรรทุกอย่างมากมาย และที่สำคัญที่สุดกองทัพมีกำลังคน กำลังแรงงานอย่างมากมายเหลือเฟือ
หากกองทัพจะไม่เพียงเปิดค่ายทหาร ให้ประชาชนได้เข้าไปท่องเที่ยว ๑๗๓ แห่ง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการสร้างภาพลักษณ์ที่สัมพันธ์กับประชาชน ให้ประชาชนเข้าถึงทรัพยากรและหน่วยงานของประชาชน
หากกองทัพจะยึดแนวทางและพัฒนาในแนวนี้ต่อไป ก็สามารถจะนำที่ดินทั่วประเทศที่มากมหาศาล สร้างเป็นโครงการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการใช้ให้เกิดประโยชน์ และจัดสรรผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างกองทัพและประชาชน
หากกองทัพจะได้นำเครื่องมือเครื่องใช้ รถยนต์ เรือยนต์ เครื่องบิน เฮลิคอปเตอร์ รถบรรทุก รถบัส ที่มีมากมายมาสร้างโครงการร่วมกับชุมชนและสังคมก็จะเกิดประโยชน์
ในขณะที่เศรษฐกิจไทยกำลังฝืดเคือง จะเป็นการเสริมสร้างเศรษฐกิจไทยให้เจริญเติบโตและพัฒนาอย่างยั่งยืนมากยิ่งขึ้น ซึ่งหากกองทัพจะลดการบังคับและเกณฑ์คนให้ไปเป็นทหาร โดยให้หนุ่มสาวชาวไทยได้เลือกตัวของเขาเองว่าผู้ใดเหมาะสมที่จะเป็นทหาร หรือทำอาชีพอะไรก็จะสามารถลดการบังคับคนหรือเกณฑ์คนไปเป็นทหาร ด้วยการให้แรงจูงใจและผลตอบแทนแก่ผู้ที่จะสมัครเป็นทหารให้มากขึ้น
แต่การเกณฑ์พลทหารไปรับใช้ที่บ้านนายพล หากเลิกได้ก็จะสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อสังคมไทยและชาวโลก
ข้าศึกใหม่ของไทยในอนาคต
ขณะนี้คนไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยที่มีผู้สูงอายุถึง ๒๐% ของประชากรทั้งประเทศ และจะเพิ่มเป็น ๓๐% ของคนทั้งประเทศ หรือจะมีผู้สูงอายุถึง ๒๐ ล้านคน ขณะที่สัดส่วนคนวัยทำงานลดลง สัดส่วนของเด็กเยาวชนน้อยลง หากกองทัพจะได้ปรับตัวเป็นหน่วยรบสำคัญในการต่อสู้กับข้าศึกใหม่ “สังคมสูงวัย” ก็จะสามารถรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงของประเทศได้อย่างสำคัญ ทั้งนี้เพราะ
๑) ประชากรที่เป็นผู้ชายเกือบทั้งประเทศเคยเป็นทหาร ซึ่งจะต้องเป็นผู้สูงอายุในวันหนึ่งอย่างแน่นอนโดยหลีกเลี่ยงไม่พ้น
๒) หากกองทัพจะได้เผยแพร่จิตสำนึกและความรู้ให้เขาเหล่านั้น พร้อมทั้งครอบครัวจะได้มีเงินออมไว้ใช้ในยามชรา เพราะเมื่อถึงเวลาต้องหยุดทำงานและยังมีชีวิตอยู่อีก ๒๐ ปีจนเสียชีวิต หากต้องใช้จ่ายเงินเดือนละ ๒ หมื่นบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่าย ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าที่อยู่อาศัย ค่ายารักษาโรค ฯลฯ จะต้องมีเงินออมในวันที่หยุดทำงานประมาณ ๕ ล้านบาท แต่หากปรารถนาจะใช้จ่ายเดือนละ ๔ หมื่นบาท ก็จะต้องมีเงินออมในวันที่หยุดทำงาน ๑๐ ล้านบาท
การให้ความรู้เพื่อการอดออมเป็นของสำคัญ โดยเฉพาะการให้มีการออมทางเลือก เช่น ออมด้วยต้นไม้ หากกำลังพลและประชาชนจะปลูกไม้ยืนต้นในขณะที่ยังหนุ่มสาว เมื่อถึงวัยที่ต้องหยุดทำงาน ต้นไม้แต่ละต้นจะมีขนาดใหญ่ และมีมูลค่าต้นละหลายหมื่นบาท เป็นบำนาญชีวิตในยามชรา
๓) กองทัพจะต้องฝึกทักษะของกำลังพลทั้งหมด ให้มีทักษะการทำงานของแต่ละคนให้มากกว่าหนึ่งอย่าง ทั้งนี้เพราะอนาคตการเปลี่ยนแปลงในเทคโนโลยีย่อมทำให้การทำงานบางประเภทจะเป็นสิ่งล้าสมัย แต่บางประเภทก็จะเฟื่องฟู โดยเฉพาะเมื่อถึงยามชราจะต้องเปลี่ยนลักษณะงานที่ลดการใช้พละกำลัง และใช้ความเชี่ยวชาญชำนาญการมากขึ้น
หากกองทัพจะได้จัดสวัสดิการ กระตุ้นให้กำลังพลและครอบครัวทุกคนได้ใส่ใจที่จะแสวงหาทักษะการทำงานที่หลากหลาย โดยเฉพาะในสังคมปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว อนาคตจะมีหุ่นยนต์ทำงานแทนคนในหลายอาชีพ จะมีระบบปัญญาประดิษฐ์และระบบการใช้อินเทอเน็ตเชื่อมโยงในสรรพสิ่งต่างๆ
๔) กองทัพมีทหารช่างที่มีความรู้ ในเรื่องการปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับสังคมสูงวัยคนไทยอายุยืน เพราะต่อไปอีกประมาณ ๑๕ ปี จะมีผู้สูงอายุถึง ๑ ใน ๓ ของคนทั้งประเทศ ครอบครัวไทยจะต้องปรับที่อยู่อาศัยให้เหมาะสมกับคนทุกวัย ไม่ให้เกิดอุบัติเหตุหกล้ม ซึ่งจะมีต้นทุนการรักษาพยาบาลหรือเสียชีวิตที่สูงกว่าการร่วมกันปรับสภาพแวดล้อมเพื่อรองรับ โดยเฉพาะร่วมกันปรับถนนหนทาง ทางเดินเท้า การข้ามถนน และอาคารสถานที่สาธารณะ
กองทัพมีทั้งเครื่องมือ เครื่องจักร กำลังพล และความรู้ความสามารถด้านงานช่าง นอกจากจะช่วยพัฒนาพื้นที่ต่างๆ ร่วมกับชุมชนแล้ว ที่สำคัญ คือ จะได้กระตุ้นให้กำลังพลที่เป็นชายไทยทั้งประเทศ ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการปรับสภาพแวดล้อม และถ่ายทอดความคิดสู่ครอบครัวของตน
๕) กองทัพมีบุคลากรที่มีความเข้มแข็ง มีเทคนิคการฝึกความแข็งแกร่งของร่างกาย มีความสามารถในการฝึกเพื่อไม่ให้ล้มได้ง่าย และหากจะล้มก็ล้มอย่างถูกวิธี หากกองทัพจะได้นำความรู้ดังกล่าวออกช่วยเผยแพร่ให้กับสมาชิกในครอบครัวและสร้างระบบการให้ความรู้กับชุมชนและสังคมรอบข้าง ก็จะช่วยสร้างความมั่นคงให้กับชุมชนและท้องถิ่นร่วมไปกับการปรับสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
๖) กองทัพมีสถานที่และบุคลากรเพียงพอ ที่จะสร้างศูนย์ฟื้นฟูให้กับผู้สูงอายุที่เป็นบุพการีของกำลังพลและคนในชุมชนรอบข้าง สามารถใช้กิจกรรมบำบัด กายภาพบำบัด และแพทย์แผนไทยเพื่อฟื้นฟูผู้สูงอายุหรือผู้ได้รับอุบัติเหตุ อีกทั้งยังเป็นที่ทำกิจกรรมระหว่างวัน (Day Care Center) ของผู้สูงอายุและเด็กได้เป็นอย่างดี
๗) กองทัพมีหน่วยทหารที่กระจายอยู่ตามท้องถิ่นต่างๆ น่าจะได้ร่วมกับท้องถิ่น เช่น เทศบาล อบต. กระตุ้นให้ชุมชนสำรวจว่าบ้านไหนมีผู้สูงอายุที่มีความเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียวไม่มีญาติดูแล หรือผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว จะได้วางระบบเพื่อให้ผู้สูงอายุเหล่านี้สามารถติดต่อร้องขอความช่วยเหลือเมื่อเกิดเหตุได้อย่างทันท่วงที ทั้งนี้กองทัพและค่ายทหารมีเครื่องมือ รถยนต์ เรือยนต์ ที่จะช่วยเหลือได้อย่างดียิ่ง
๘) หากกองทัพที่เพียบพร้อมด้วยหน่วยงานและบุคลากรในชนบท จะได้เข้าร่วมกับองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล วัด โรงเรียน และชมรมผู้สูงอายุให้ตื่นตัวและร่วมกันสร้างระบบรองรับสังคมสูงวัยคนไทยอายุยืนในแต่ละท้องถิ่น เพื่อกระจายกองกำลังและความร่วมมือ ต่อสู้กับข้าศึกใหม่ที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทยในเร็วๆนี้อย่างแน่นอน.
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต

ไม่มีความคิดเห็น: