ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังเกิดกระแสข่าวโพสต์ข้อความเกี่ยวกับปัญหาเรื่องข้าว ของ"สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ" หรือ "เช็ค" พิธีกรรายการ "คนค้นฅน" และผู้บริหารในบริษัททีวีบูรพา ได้โพสต์ข้อความอีกครั้งผ่านเฟซบุ๊ก Suttipong Thamawuit เมื่อเวลาประมาณ 16.25 น. ความว่า
"สิ่งที่ผมยังไม่ได้โพสต์ "เรื่องข้าว"
คนไทยส่วนใหญ่จะคิดเหมือนผมหรือเปล่าผมไม่แน่ใจหรอกครับ เพราะผมไม่ได้อยากขุดคุ้ยหรือแฉเบื้องหลังการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว ทั้งไม่เคยคิดอยากจะทำ ไม่มีความสุขในการทำ และไม่มีความสามารถที่จะทำ ผมคิดว่ามีผู้มีหน้าที่ต้องทำ ควรทำและสามารถทำได้ดีกว่าคนทำสารคดีเล็กๆ อย่างผมอยู่แล้ว
สิ่งที่ผมกังวล ไม่ได้กังวลเกี่ยวกับตัวเองเลยเพราะผมมีข้าวที่ดีที่ผลิตโดยกัลยาณมิตรของผมเองรับประทาน ผมเพียงแต่เป็นห่วงว่าถ้าข่าวและข้อมูลตามที่ปรากฏอยู่จากการแชร์กันมาเป็นความจริง นอกจากความวิตกกังวลของคนกินข้าวที่ไม่มีทางเลือกแล้ว ผมคิดว่าเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปไม่ต่างจากการวางยาพิษหมู่คนไทยค่อนประเทศไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม ซึ่งที่ผ่านมาไม่มีใครออกมาแสดงความกังวลหรือแสดงเจตนารมณ์ที่จะทำความจริงเรื่องนี้ให้ปรากฏเลย กระทั่งข้าวจะออกสู่ท้องตลาด หรือออกสู่ท้องตลาดมาแล้วเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ซึ่งหากเป็นเช่นนี้จะเป็นการก่อบาปครั้งใหญ่มากอีกครั้งหนึ่งของสังคมไทย หลังจากเราทำต่อกันมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน หากกุศลเจตนาของผมที่ไม่อยากให้ใครก่อบาปต่อใครเป็นเรื่องผิด ผมก็ยอมรับ ซึ่งผมถามตัวเองว่าถ้าผมเป็นพ่อค้าข้าวที่ขายข้าวให้คนกินผมจะมีความสุขหรืออยากก่อบาปโดยการเอาสิ่งเป็นพิษให้ลูกค้าผู้มีบุญคุณของผม ซึ่งเป็นคนไทยด้วยกัน (หรือไม่ก็ตาม) กินมั้ย ตอบโดยไม่ต้องคิดเลยว่าไม่
ถ้าผมเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ผมอยากเห็นประชาชนที่เลือกผมมาต้องสะสมพิษในร่างกายซึ่งจะนำมาซึ่งความเจ็บป่วยและทุกขเวทนาอีกมากมายในภายหลังจากการกินข้าวหรือไม่ และผมอยากมีส่วนร่วมต่อการก่อกรรมกับพวกเขาโดยการเพิกเฉยหรือไม่ ผมเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่า ไม่ว่าใครก็ต้องตอบเหมือนผมนั่นก็คือ “ไม่”
มันเป็นเรื่องน่าสะเทือนใจมากใช่มั้ยครับ ถ้าแม้แต่กระทั่งลูกเด็กเล็กแดงที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ หรือทารกไร้เดียงสาที่ดื่มนมจากนมมารดายังพลอยรับกรรมดื่มพิษไปด้วย คิดแบบนี้ดรามาเกินไปหรือเปล่าครับ
กรรมที่ก่อเช่นนี้ในทางพุทธศาสนาเป็นการผิดศีลข้อที่หนึ่ง ซึ่งเป็นบาปที่ร้ายแรงมาก ศาสนาไม่ได้สอนให้ผมเอาตัวรอดแต่สอนให้ผมตระหนักว่าถ้าพบเห็นผู้ใดกำลังจะก่อกรรมอันเบียดเบียนและทำลายชีวิต ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่ ถ้าผมทำอะไรได้ผมไม่ควรดูดาย หากไม่แสดงความปรารถนาดีต่อชีวิตผู้อื่นนั่นแหละ เป็นความผิดบาป
ถ้าความหวังดีของใครก็ตามที่มีต่อทุกฝ่ายเป็นโทษต่อตัวเอง ผมว่าก็คงต้องกลับไปตั้งคำถามกับการเทศนาให้คนหลุดพ้นจากอวิชชาของพระทุกวัดด้วยเช่นกัน
เพราะฉะนั้นสำหรับเรื่องนี้ จะวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างไรก็สุดแท้แต่ ประเด็นที่สำคัญที่ไม่ควร “หลุด” และไม่ควร “หลง” ก็คือสุดท้ายแล้วอย่าลืมเรื่องความปลอดภัยในการกินข้าวของคนค่อนประเทศ
ในความกังวล สงสัย อึมครึม ผมอยากให้ทุกท่านใช้ปัญญาพิจารณาว่าใครควรจะเป็นผู้คลี่คลายความสงสัยในเรื่องนี้ คนทำสารคดีชีวิตอย่างผม สำนักข่าว พ่อค้าข้าว เจ้าหน้าที่ หรือรัฐบาล แล้วลองใช้สติไตร่ตรองดูนะครับว่าหากใครลงมือทำจะได้รับการสรรเสริญหรือนินทา ความรับผิดชอบต่อผู้บริโภคเป็นความผิดหรือความไม่ดีที่ไม่ควรทำตรงไหน และสุดท้ายนี้ผมอยากชวนให้คนไทยพิจารณาเหตุของปัญหานี้ตามหลักพุทธศาสนาว่า เหตุอยู่ที่ไหน อยู่ที่การแชร์ข้อมูล (ซึ่งมีคนแชร์มากมายก่อนผม) หรืออยู่ที่วิธีการในการเก็บรักษาข้าวที่ต้องใช้สารเคมีมีพิษซึ่งตกค้างและเป็นอันตรายต่อชีวิต
........หรืออยู่ที่พิษทั้งหลายในใจคน"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น