รัฐบาลเอาระเบิดใส่มือลิง
“สิ่งประเทศตะวันตกกำลังทำกับซีเรียและพี่น้องมุสลิม เป็นอันตรายมาก เหมือนมีระเบิดอยู่ในมือลิง” เป็นวลีเด็ดของนาย ดีมิตรี โรกาซิน รองนายกรัฐมนตรีรัสเซียกล่าวถึงสิ่งประเทศตะวันตกนำโดยอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส จ่อจะถล่มซีเรียเพื่อลงโทษฝ่ายประธานาธิบดี บาซาร์ อัล อัสซาด โทษฐานที่ใช้อาวุธเคมีฆ่าทำลายล้างประชาชนเมื่อวันที่ 21 ส.ค. ที่ผ่านมา
โฆษกประจำทำเนียบขาวแถลงว่า “มีหลักฐานแน่ชัดว่า รัฐบาลซีเรีย ใช้อาวุธเคมีฆ่าทำลายล้างประชาชน” อเมริกาพร้อมจะแฉหลักฐานทั้งหมดให้ชาวโลกได้ทราบถึงความเลวร้ายของการใช้อาวุธเคมี ทางด้านรัฐบาลซีเรียก็ออกมาตอบโต้ว่า อเมริกาโกหกอยู่ในกมลสันดาน พิสูจน์ได้จากการโกหกว่ามีอาวุธเคมี มีอาวุธนิวเคลียร์ ในอีรักเพื่อเป็นข้ออ้างในการทำลายล้างพี่น้องมุสลิม
รัสเซียผู้หนุนหลังนายอัสซาดกล่าวว่า พันธมิตรตะวันตก ไม่ควรด่วนสรุปว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการโจมตีด้วยอาวุธเคมีครั้งใหญ่นี้ จนกว่าจะมีหลักฐานแน่ชัดจากยูเอ็น ในการสนทนาโทรศัพท์สายตรงกับนายเดวิด คาเมรอน ผู้นำอังกฤษ ประธานาธิบดี วลาดีเมียร์ ปูติน ยังเตือนว่าหากกลุ่มพันธมิตรตะวันตก บุ่มบ่ามแทรกแซงทางทหารในซีเรีย ก่อนที่จะได้หลักฐานแน่ชัดจากยูเอ็น ก็จะพบกับ “ผลลัพธ์เหนือความคาดหมาย” เป็นที่ทราบกันดีว่ารัสเซียกับจีนซึ่งเป็น 2 ใน 5 สมาชิกถาวรในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติใช้สิทธิ์ยับยั้ง ( วีโต้ ) มติของที่ประชุมเมื่อต้องการคว่ำบาตรหรือประณามรัฐบาลซีเรียแทบทุกครั้ง
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงดามัสกัส ประเทศซีเรีย เมื่อวันที่ 27 ส.ค. ว่า ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเคมีของสหประชาชาติ สามารถเดินทางเข้าไปยังจุดที่เกิดการโจมตีด้วยอาวุธเคมีเมื่อสัปดาห์ก่อน ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,000 ศพได้แล้ว หลังถูกสไนเปอร์ลึกลับดักซุ่มยิง นายฟาร์ฮัน ฮัค โฆษกยูเอ็น แถลงเมื่อวันจันทร์ว่า คณะผู้ตรวจสอบด้านอาวุธเคมีของยูเอ็น 8 คน นำโดยนายอาเค เซลสตรอม สามารถเดินทางเข้าไปยังเมืองโมอาดามิเยต อัล-ชาม ชานกรุงดามัสกัส ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ได้รับผลกระทบจากอาวุธเคมีเมื่อวันที่ 21 ส.ค.ที่ คร่าชีวิตประชาชนไปกว่า 1,300 ศพได้แล้ว โดยทีมงานกระจายกำลังกันเก็บตัวอย่าง รวมถึงพูดคุยกับผู้ป่วย และคณะแพทย์ที่ดูแลบางส่วนอย่างใกล้ชิด
ในขณะที่รอผลรายงานอย่างเป็นทางการจากคณะผู้ตรวจสอบการใช้อาวุธเคมีของยูเอน สงครามน้ำลายก็เกิดขึ้นระหว่างฝ่ายต่อต้านกับรัฐบาลซีเรีย ระหว่างรัสเซียกับอเมริกาและพันธมิตรตะวันตก ทำให้เห็นว่า สงครามกลางเมืองในซีเรีย ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตในแล้วนับแสนๆคน มีผู้พลัดถิ่นผู้ลี้ภัยสงครามไปยังประเทศเพื่อนบ้านหลายล้านคนนั้น ผู้สูญเสียอย่างแท้จริงคือซีเรีย แต่ผู้ที่ราดน้ำมันเข้ากองเพลิงทำลายล้างชาติเผ่าพันธุ์ซีเรีย คือ บรรดามหาอำนาจต่างๆที่ให้ท้ายหนุนหลังทั้งฝ่ายรัฐบาล และ ฝ่ายต่อต้าน
อังกฤษบอกว่า ไม่อาจนิ่งดูดายต่อการใช้อาวุธสงครามอันเลวร้ายประชาชนซีเรียได้ ฝรั่งเศสบอกว่าผู้กระทำความผิดใช้อาวุธเคมีอันชั่วร้ายต้องได้รับการลงโทษ อเมริกาบอกว่ามีหลักฐานว่าฝ่ายรัฐบาลซีเรียใช้อาวุธเคมีฆ่าประชาชน รัฐบาลซีเรียด่ากลับว่าอเมริกาโกหกหลอกลวงตลอดเวลา ดูเรื่องโกหกว่ามีอาวุธเคมี มีอาวุธนิวเคลียร์ในอีรักเป็นตัวอย่างซิ รัสเซียบอกอย่ากล่าวใครโดยไม่มีหลักฐาน
แต่วลีเด็ดที่ถูกใจคือ คำพูดของรองนายกรัฐมนตรีรัสเซียที่ว่า “สิ่งที่ตะวันตกกำลังกระทำต่อซีเรียเป็นอันตรายมากเหมือนมีระเบิดอยู่ในมือลิง” วลีเด็ดประโยคนี้ใช้ได้กับประเทศที่มีเผด็จการพลเรือนอย่างไทยแลนด์ ซึ่งกำลังทำให้ประเทศไทยเป็นรัฐตำรวจ
รัฐบาลใช้ตำรวจปราบปรามประชาชน ปรามปรามทำร้ายเข่นฆ่าฝ่ายผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล ซึ่งเป็นอันตรายมาก เหมือนมีระเบิดอยู่ในมือลิง เพราะสันดานของตำรวจมักใช้อำนาจใช้ความโหดร้ายเกินขอบเขต เหมือนกับยุคทมิฬอัศวินแหวนเพชร ยุคที่ไม่มีอะไรภายใต้ดวงอาทิตย์ตำรวจทำไม่ได้ ยุคที่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลถูกสังหารไปถึง 27 คน รัฐบาลนี้กำลังให้ระเบิดอยู่มือลิงอีกครั้งหนึ่ง เห็นได้จากการปรามปรามทำร้ายผู้ชุมชุมทางการเมืองที่เรียกกันว่าม็อบเสธฯอ้าย การใช้ตำรวจสี่หมื่นนายปิดถนน ปิดล้อมสภาปิดล้อมทำเนียบในวันที่สภาผู้แทนฯพิจารณากฎหมายนิรโทษกรรม การส่งกำลังตำรวจปราบจลาจลเข้าคุ้มกันประธานสภา การตายอย่างมีเงื่อนงำของนายเอกยุทธ์ อัญชันบุตร และ ล่าสุดลิงที่มีระเบิดอยู่ในมือกำลังจะทำให้ประเทศไทยเกิดสงครามกลางเมือง ซึ่งมีทีท่าจะเริ่มขึ้นที่สี่แยกบ้านตูล หนองหงษ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช
ลิงที่มีระเบิดอยู่ในมือสร้างเงื่อนไขขัดแย้ง สร้างความตึงเครียตขึ้นมา จากการใช้อำนาจอันเหี้ยมโหดบ้าคลั่ง เข้าทำร้ายประชาชนที่มาชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือเรื่องราคายางพาราตกต่ำ แต่ลิงที่ถือระเบิดอยู่ในมือ กลับมองเป็นเรื่องการเมือง กล่าวหาประชาชนว่าเป็นกลุ่มหน้ากากขาว วางแผนล้มล้างรัฐบาล ใช้กำลังป่าเถื่อนเข้ากลุ่มรุมทำร้าย จนทำให้เหตุการณ์บานปลาย กลายเป็นความตึงเครียดโกรธแค้น ขยายตัวกว้างขวางออกไปจากการชุมอย่างสงบเพียงจุดเดียว เป็นปิดเส้นทางรถยนต์ ปิดทางเดินรถรถไฟ
ด้วยความจงใจที่จะลงโทษทำร้ายคนใต้ เพราะเป็นภาคเดียวของประเทศที่ปฏิเสธระบอบทักษิณอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แทนที่จะเจรจากันด้วยเหตุด้วยผลรัฐบาลยั่วยุสาดน้ำมันเข้ากองเพลิง เพิ่มความโกรธแค้นให้กับประชาชน โดยส่งคนไร้ราคาอย่างนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ แรมบ้าแห่งอีสานเป็นตัวแทนรัฐบาลไปเจรจากับผู้ชุมนุม ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่า แรมบ้าคนนี้เป็นที่เกลียดชังของคนใต้ เพราะพฤติกรรมชั่วทรามที่มันด่าประณาม และขู่จะแขวนคอประธานองค์มนตรี พล.เอกเปรม ติณสุลานนท์ และ ความชั่วร้ายของมันที่ถืออาวุธสงครามขึ้นมาโชว์ในการชุมนุมคนเสื้อแดง
นอกจากการกระทำที่เป็นการดูหมิ่น เยาะเย้ยผู้ชุมนุม ด้วยการส่งจำเลยคดีก่อการร้ายไปเป็นตัวแทนรัฐบาลในการเจรจาแล้ว รัฐบาลยังยั่วยุโดยการส่งกำลังเข้าโอบล้อมผู้ชุมนุม แจกใบปลิวโจมตีผู้ชุมนุม ส่งกำนันผู้ใหญ่บ้านเข้าไปสร้างความแตกแยกในหมู่ผู้ชุมนุม ให้ผู้ว่าฯซึ่งเคยใช้อำนาจอย่างบ้าคลั่งสั่งให้ตำรวจสลายฝูงชน รวมทั้งขอหมายศาลจับกุมผู้ชุมนุม
การยั่วยุให้เกิดความรุนแรงของนักการเมืองฟากรัฐบาลออกมาเป็นระบบ นายกรัฐมนตรีแทนที่จะให้เหตุผลในการเจราจา กลับออกมาให้ข้อมูลที่เหมือนกับการยั่วยุว่า ผู้ชุมนุมชาวสวนยางพารา “ขอหนักไป” คำอธิบายของนายกฯอ้างว่า ต้องอิงราคาตลาดโลก ต้องให้เป็นไปตามกลไกตลาด “และที่สำคัญปริมาณการส่งออกของเรามีน้อย ไม่มีอำนาจต่อรองราคาในตลาดโลก” นายกพูดออกมาโดยไม่รู้ตามประสาของเธอ หรือเธอแกล้งยั่วยุ เพราะเป็นที่รู้กันทั่วไปว่า ประเทศไทยส่งยางออกเป็นอันดับหนึ่งของโลกมาตลอดเวลาสิบกว่าปี ส่งออกมากกว่าอินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนามกว่า 31 เปอร์เซ็นต์ของยางพาราที่เข้าสู่ตลาดโลกไปจากประเทศไทย
รัฐบาลอ้างกลไกตลาด อ้างราคาตลาด ราวกับลืมไปว่า ตัวเองรับซื้อข้าวจากชาวนาแพงกว่าราคาในตลาดโลกกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์ รัฐบาลใช้เงินกับโครงการจำนำข้าวที่อ้างว่าพื่อช่วยเหลือชาวนาไปกว่าหกแสนล้านบาท แต่เงินตกถึงมือเกษตรกรจริงๆไม่กี่แสนล้าน ข้าวที่ซื้อมาเก็บไว้ล้นโกดังกว่าสิบแปดล้านตัน กลายเป็นข้าวเน่า ข้าวเสียก็มาก แต่ช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมา รัฐบาลใช้เงินแทรกแซงราคายางเพื่อช่วยเหลือชาวสวนยาง เพียงสองหมื่นล้านบาท ซื้อข้าวมาตุนไว้มีแต่รอวันเน่าวันเสีย ยางพาราไม่มีวันเสีย แต่รัฐบาลไม่ยอมแทรกแซงซื้อมาเก็บกักไว้ เพื่อเก็งราคาตลาด
เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น จะมองเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากเห็นรัฐบาลมีสองมาตรฐาน กลั่นแกล้งทำร้ายประชาชนชาวใต้และเกษตรกรที่ปลูกยางพารา ด้วยความตั้งใจจะลงโทษที่คนใต้ไม่เลือกพรรคเพื่อไทย โดยการเอาระเบิดไปใส่ในมือลิง
สิ่งหนึ่งที่รัฐบาลพึงสังวรไว้คือ ความรุนแรง การใช้กำลังปราบปรามอันเหี้ยมโหด รังแต่จะทำให้สถานการณ์บานปลายกลายเป็นสงครามกลางเมืองยากที่จะแก้ไข เหตุการณ์ที่อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส กับการยิงอาวุธหนักเข้าถล่มมัสยิสครือเซะในปี 2547 น่าจะเป็นบทเรียนแก่รัฐบาลได้ดีว่าการการกำลังปราบปราบ การเอาระเบิดไปไว้ในมือลิง มีแต่จะสร้างโกรธแค้น และทำให้ปัญหาบานปลายไปจนไม่สามารถแก้ไขได้ ลองย้อนกลับไปดูการปรามปรามผู้ต้องสงสัยว่า เป็นแนวร่วมให้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ที่จังหวัดพัทลุง ตรัง นครศรีธรรมราช ด้วยการจับใส่เฮลิคอปเตอร์แล้วโยนในภูเขา เผาในถังแดงเมื่อสี่สิบปีก่อน ซึ่งเป็นบทเรียนได้ว่า “ยิ่งกดยิ่งเกิด ยิ่งปราบยิ่งมาก”
การกระทำต่อเกษตรกรชาวสวนยางพาราครั้งนี้ ยังไม่แน่ว่าจะจบลงอย่างไร แต่ทำนายได้ว่ารัฐบาลจะได้บทเรียนอันสาสม จากการเอาระเบิดไปใส่ในมือลิง
แนวหน้า
“สิ่งประเทศตะวันตกกำลังทำกับซี
โฆษกประจำทำเนียบขาวแถลงว่า “มีหลักฐานแน่ชัดว่า รัฐบาลซีเรีย ใช้อาวุธเคมีฆ่าทำลายล้างประชาช
รัสเซียผู้หนุนหลังนายอัสซาดกล่
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกร
ในขณะที่รอผลรายงานอย่างเป็นทาง
อังกฤษบอกว่า ไม่อาจนิ่งดูดายต่อการใช้อาวุธส
แต่วลีเด็ดที่ถูกใจคือ คำพูดของรองนายกรัฐมนตรีรัสเซีย
รัฐบาลใช้ตำรวจปราบปรามประชาชน ปรามปรามทำร้ายเข่นฆ่าฝ่ายผู้ที
ลิงที่มีระเบิดอยู่ในมือสร้างเง
ด้วยความจงใจที่จะลงโทษทำร้ายคน
นอกจากการกระทำที่เป็นการดูหมิ่
การยั่วยุให้เกิดความรุนแรงของน
รัฐบาลอ้างกลไกตลาด อ้างราคาตลาด ราวกับลืมไปว่า ตัวเองรับซื้อข้าวจากชาวนาแพงกว
เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น จะมองเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากเห็นรัฐบาลมีสองมาตรฐาน กลั่นแกล้งทำร้ายประชาชนชาวใต้แ
สิ่งหนึ่งที่รัฐบาลพึงสังวรไว้ค
การกระทำต่อเกษตรกรชาวสวนยางพาร
แนวหน้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น