PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2556

“รัฐต้องไม่นิรโทษกรรมตัวเอง กรณีละเมิดสิทธิมนุษยชนต้องได้รับการสืบสวนและถูกบันทึก”

แถลงการณ์เครือข่ายพลเมืองเน็ต
“รัฐต้องไม่นิรโทษกรรมตัวเอง กรณีละเมิดสิทธิมนุษยชนต้องได้รับการสืบสวนและถูกบันทึก”
ในช่วงเวลาแห่งความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรง ต่อเนื่องสู่การรัฐประหาร พ.ศ. 2549 และเหตุการณ์หลังจากนั้น การแสดงออกทางการเมืองได้ทวีความเข้มข้นและขยายตัวมากขึ้น ทั้งในรูปแบบการชุมนุมบนพื้นที่กายภาพและการแสดงความคิดเห็นบนพื้นที่สื่อทุกชนิด ซึ่งในหลายวาระก็ตามมาด้วยการปะทะกัน ทั้งระหว่างประชาชนกับรัฐ ประชาชนกับประชาชน หรือกับกลุ่มไม่ทราบฝ่าย ทั้งด้วยกำลังและด้วยการดำเนินคดีตามกฎหมาย
ในส่วนของผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ซึ่งรวมถึงนักข่าวและอาสาสมัครกู้ชีพ เป็นที่ชัดเจนว่าพบการใช้มาตรการที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนในระหว่างการชุมนุมและการสลายการชุมนุม ซึ่งจำเป็นต้องมีการสืบสวนหาข้อเท็จจริงต่อไป
ในส่วนผู้ที่ถูกดำเนินคดี ปรากฏการกล่าวหาว่ามีความผิดตามกฎหมายความมั่นคงฉบับต่างๆ ที่ประกาศใช้ในเวลานั้น หรือตามกฎหมายที่กำหนดให้การแสดงออกบางลักษณะเป็นอาชญากรรม หรือตามกฎหมายอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงแต่ถูกใช้เพื่ออ้างเหตุให้จับกุมฟ้องร้องได้ กฎหมายต่างๆ ดังกล่าวเช่น พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 112 ตามประมวลกฎหมายอาญา พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และ พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวิดีทัศน์ พ.ศ. 2551
คดีเหล่านั้นจำนวนหนึ่ง อัยการสั่งไม่ฟ้อง หรือศาลสั่งยกฟ้อง หรือศาลตัดสินว่าจำเลยไม่มีความผิด (แต่ติดคุกไปแล้วหลายปี) อย่างไรก็ตามยังมีคดีอีกจำนวนมากที่ยังอยู่ในกระบวนการยุติธรรม และบางคดีก็ยังใช้พยานหลักฐานที่เจ้าหน้าที่รัฐได้ยอมรับต่อศาลในคดีอื่นแล้วว่า เป็นหลักฐานที่หน่วยงานความมั่นคงที่ตนสังกัดสร้างขึ้นมาโดยหวังผลทางการเมือง
เนื่องด้วยขณะนี้กำลังมีการผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรม เพื่อยกเลิกความผิดทางการเมืองและความผิดที่เกี่ยวข้องกับการปะทะกันทางการเมืองทั้งหมด “แบบเหมาเข่ง” โดยการสนับสนุนของพรรคเพื่อไทยและส่วนหนึ่งของกลุ่มคนเสื้อแดง เครือข่ายพลเมืองเน็ตมีความเห็นต่อกรณีดังกล่าว ดังนี้
  1. การนิรโทษกรรมเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการปรองดอง ซึ่งยังประกอบไปด้วยกระบวนการค้นหาความจริง การนำผู้ละเมิดสิทธิมนุษยชนมาลงโทษ การขอโทษอย่างเป็นทางการ การทำให้มีหลักประกันว่าจะไม่มีการกระทำผิดซ้ำอีก และการเยียวยาอื่นๆ
  2. การนิรโทษกรรมจะต้องกระทำอย่างเร่งด่วน คำนึงถึงผลกระทบที่กำลังเกิดขึ้นกับประชาชนผู้ได้รับความเสียหาย ให้สามารถกลับไปมีเสรีภาพดังเดิมโดยเร็วที่สุด คำนึงถึงประโยชน์ที่กลุ่มประชาชนดังกล่าวจะได้รับ พร้อมกับรักษาสิทธิในการได้รับการเยียวยาทางจิตใจ
  3. การนิรโทษกรรมกลุ่มบุคคลที่แสดงออกทางการเมืองด้วยการร่วมชุมนุมและการแสดงออกรูปแบบอื่นๆ เป็นเรื่องจำเป็น เพื่อให้กระบวนการการเมืองในสังคมเดินต่อไปได้
  4. การนิรโทษกรรมจะต้องไม่รวมถึงผู้มีส่วนร่วมในการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ผู้มีส่วนร่วมดังกล่าวทั้งหมดจะต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการค้นหาความจริงและการเยียวยาทางจิตใจแก่ผู้เสียหาย
  5. การนิรโทษกรรมแบบไม่มีเงื่อนไข ไม่มีการแยกประเภทของฐานความผิดหรือมูลเหตุชักจูงใจ ไม่มีการกำหนดว่าผู้กระทำผิดจะต้องผ่านกระบวนการอะไรบ้างก่อนจะได้รับนิรโทษกรรม เป็นการส่งเสริมวัฒนธรรมไม่ต้องรับผิด และจะทำให้สังคมไทยไม่หลุดจากวังวนของการละเมิดสิทธิมนุษยชนซ้ำซาก
การบิดเบือนการนิรโทษกรรม จะเป็นการ “กลับไปเริ่มจากศูนย์” ในวันนี้ เพื่อพบว่าจะต้อง “กลับไปเริ่มจากศูนย์” ในวันข้างหน้าอีกไม่รู้จบ เราขอเชิญชวนทุกฝ่ายที่ต้องการเห็นความปรองดองเกิดขึ้นจริง ร่วมกันคัดค้านกฎหมายนิรโทษกรรมแบบไม่มีเงื่อนไขที่กำลังถูกพิจารณาอยู่ในขณะนี้
เครือข่ายพลเมืองเน็ต
30 ตุลาคม 2556
วันสากลเพื่อหยุดการไม่ต้องรับผิด

นาทีประกบยิงที่ปัตตานี

 เวลาประมาณ ๐๖๓๐ น. คนร้ายยิงเจ้าหน้าที่เทศบาลเสียชีวิต ๑ ราย ทราบชื่อ นายวิชาญ ชะฎารัฐ อายุ ๔๑ ปี อยู่บ้านเลขที่ -- ต.บ้านกลาง อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี
สถานที่เกิดเหตุ สวนจิตรมนตรี หมู่ที่ ๑ ต.ปะนาเระ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี //// ภาพการนำเสนอครั้งไม่มีเจตณาเป็นอย่างอื่น เป็นการนำเสนอเพื่อเป็นสติเตือนใจในการใช้­ชีวิตประจำวันใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ การขับขี่จักรยานยนต์ต้องระมัดวังระวังในก­ารขับขี่ การมาประกบ ระหว่าง ขับขี่อันตรายมาก ดูเพื่ออุทาหรณ์เตือนใจ ขออภัยหากผิดพลาดประการใดขออภัย มา ณ ที่นี้ด้วย

http://www.youtube.com/watch?v=P6esga_epB4

http://www.youtube.com/v/P6esga_epB4?version=3&autohide=1&autohide=1&feature=share&showinfo=1&autoplay=1&attribution_tag=S-skdXgNUlMlK96ZOxgGtw

3 พยาบาลร้องไห้ขอโทษลงรูปไม่อันควรผู้วายชนย์ในโซเซียลเน็ตเวิร์ค

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 30 ต.ค. 56 ที่ห้อประชุมชั้น 3 ตึกอำนวยการโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ อ.เมือง จ.นราธิวาส นายฉัตรชัย ศรีนามวงศ์ ผอ.โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันแถลงข่าวกรณีที่พยาบาลของโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ ได้ลงรูปภาพที่บันทึกด้วยโทรศัพท์มือถือ ภายในห้องฉุกเฉินเมื่อวันที่ 28 ต.ค. 56 ที่ในขณะนั้นพยาบาลกำลังช่วยกันตกแต่งศพของ จ.ส.ต.นิมิตร ดีวงศ์ ผบ.หมู่ นปพ.จ.นราธิวาส ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ที่ถูกระเบิดเสียชีวิตพร้อมกับ ร.ต.ต.แชน วรงคไพสิฐ รอง หน.ชุดเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด ที่มีการชูนิ้วขึ้น 2 นิ้ว จำนวน 2 คน ในภาพที่มีการนำไปลงในระบบโซเซียลเน็ตเวิร์ค ในช่วงดึกของวันที่ 29 ต.ค. 56 ที่ผ่านมา และชาวโซเซียลเน็ตเวิร์คได้นำไปโพสแชร์ต่อๆกันเป็นทอดๆ และเขียนข้อความด่าท้อว่าไม่สมควรทำกับผู้วายชนย์

โดยนายฉัตรชัย ศรีนามวงศ์ ผอ.รพ.นราธิวาสฯ แถลงว่า ยอมรับว่าภาพที่เผแพร่เป็นภาพที่เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลนราธิวาสฯจริง จากการสอบสวนในเบื้องต้นเป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิของผู้ป่วย ซึ่งถือว่าผิดจรรยาบรรณของวิชาชีพ เนื่องจากรู้เท่าไม่ถึงการณ์ คณะทำงานที่ปฏิบัติหน้าที่ในขณะนั้น ทุกๆคนทำงานด้วยความตั้งใจเต็มใจและมุ่งมั่น ทางโรงพยาบาลจะตั้งคณะกรรมการสอบสวนการกระทำผิดและลงโทษทางวินัยกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ตนจึงขออภัยและแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้สูญเสีย และจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์ทำนองนี้อีก


ต่อมานายฉัตรชัย ผอ.รพ.นราธิวาสฯได้เชิญตัวพยาบาล 3 คน ที่เกี่ยวข้องกับภาพดังกล่าวมาแถลงต่อสื่อมวลชน โดย น.ส.พัซเราะห์ รอดอมาแซะ พยาบาลห้องคลอด ซึ่งเห็นหน้าในรูปที่โพสเปิดเผยว่า ดิฉันได้รับมอบหมายไปทำการชันสูตรพลิกศพและตกแต่งศพ ความรู้สึกแรกดีใจมาก เพราะผู้สูญเสียทั้ง 3 ท่านเป็นฮีโร่ในดวงใจ หนูเขาไปทำงานตรงนั้นไม่มีเจตนาอย่างอื่น แต่ที่ถ่ายไปเป็นบรรยากาศการทำงาน ซึ่งปัจจุบันหนูทำงานห้องคลอดไม่มีโอกาสบ่อยครั้งที่สามารถช่วยเหลือชีวิต


ด้าน น.ส.โนซีรา ดอเลาะ ซึ่งเห็นเฉพาะชูนิ้ว 2 นิ้ว ในรูปที่โพส เปิดเผยว่า คือหลังจากที่เรากำลังเย็บแผล ได้หันมาดูกล้องเพื่อที่จะบอกว่าเรายังสู้สู้เพื่อที่จะทำหน้าที่นั้น ไม่มีเจตนาที่จะดูหมิ่น และไม่มีเจตนาที่จะนำไปโพส เพราะรูปนั้นมันไม่ได้หลุดออกมาจากหนู


ด้าน น.ส.โนรีซา เจ๊ะแล ซึ่งเป็นพยาบาลห้องคลอด เจ้าของโทรศัพท์มือถือและเป็นคนที่ถ่ายภาพดังกล่าว เปิดเผยว่า ตนรู้สึกเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ไม่มีเจตนาที่จะดูหมิ่นจึงขอให้สังคมให้อภัยด้วย


//////////////////////////////// 30 ตุลาคม 2556

https://www.facebook.com/photo.php?v=554202394655604&set=vb.100001975458300&type=2&theater

แถลงการณ์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน เรื่อง หยุดการบิดเบือนกฎหมายนิรโทษกรรม หยุดการตระบัดสัตย์ของพรรคเพื่อไทย

แถลงการณ์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
เรื่อง หยุดการบิดเบือนกฎหมายนิรโทษกรรม หยุดการตระบัดสัตย์ของพรรคเพื่อไทย
การแก้ไขกฎหมายนิรโทษกรรมที่กำลังบังเกิดขึ้นภายใต้การสนับสนุนของพรรคเพื่อไทยนับว่าเป็นการกระทำที่ “บิดเบือน” ต่อหลักการสำคัญของกฎหมายนิรโทษกรรมที่ได้มีการนำเสนอไว้ในวาระแรกอย่างแจ้งชัด ความเร่งรีบต่อการพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวก็ยิ่งเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจในการผลักดันร่างกฎหมายนิรโทษอันบิดเบี้ยวฉบับนี้อย่างไม่อาจปฏิเสธ
กฎหมายนิรโทษกรรมเป็นส่วนหนึ่งที่มีความจำเป็นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง แต่ประเด็นสำคัญของกฎหมายนิรโทษกรรมซึ่งพอจะเป็นที่ยอมรับกันได้อย่างกว้างขวางในชั้นต้นก็คือ การนิรโทษกรรมให้แก่บรรดามวลชนที่เข้าร่วมการชุมนุมไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดหรือสีใดก็ตาม ซึ่งก็ได้เป็นส่วนสำคัญของร่างกฎหมายนิรโทษกรรมที่เสนอในวาระแรกโดย ส.ส. ของพรรคเพื่อไทยเอง รวมทั้งการยืนยันว่าจะไม่มีการนิรโทษกรรมให้แก่บรรดาผู้นำ ผู้สั่งการ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่ได้กระทำความผิดอย่างรุนแรงต่อการทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตของประชาชนขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อมาสู่การพิจารณาในวาระที่สอง พรรคเพื่อไทยก็ได้ปฏิบัติการ “ตระบัดสัตย์” ต่อหลักการที่นำเสนอมา
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน มีความเห็นต่อกรณีดังกล่าว ดังต่อไปนี้
ประการแรก การออกกฎหมายนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่งซึ่งทำให้บุคคลทุกฝ่ายพ้นไปจากความผิด จะเป็นการกระทำที่ทำให้ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคมไทยถูกซุกเข้าไปอยู่ใต้พรมอีกครั้งหนึ่ง นอกจากจะทำให้บุคคลซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับความรุนแรงไม่ว่าฝ่ายใดก็ตามสามารถลอยนวลไปจากความผิดแล้ว สังคมไทยจะไม่ได้เรียนรู้ว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นในห้วงเวลาที่ผ่านมาบังเกิดขึ้นได้อย่างไร และโดยกระบวนการอย่างไร และใครบ้างที่ควรจะเป็นผู้รับผิดชอบ อันจะเป็นประเด็นสำคัญต่อการทำความเข้าใจและนำไปสู่การพยายามป้องกันไม่ให้ความรุนแรงได้บังเกิดซ้ำรอยขึ้นอีกในอนาคต
ประการที่สอง แม้กฎหมายนิรโทษกรรมอยู่ในอำนาจทางการเมืองของฝ่ายนิติบัญญัติก็ตาม แต่การใช้อำนาจในทางการเมืองก็ต้องตระหนักถึงผลกระทบที่จะติดตามมาจากการใช้อำนาจดังกล่าว ซึ่งกรณีการบิดเบือนกฎหมายนิรโทษกรรมโดยพรรคเพื่อไทยนั้นเป็นที่ประจักษ์อย่างชัดเจนว่ากำลังสร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงการไม่เห็นด้วยในหมู่ญาติของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ บรรดาแกนนำหรือนักการเมืองฝ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ก็ต่างพร้อมเข้าสู่กระบวนการพิจาณาคดีเพื่อให้ความจริงปรากฏ ความพยายามในการออกกฎหมายนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่งของพรรคเพื่อไทยจึงไม่อาจถูกมองไปเป็นอย่างอื่นได้นอกจากการมุ่งรับใช้ “นายใหญ่” แบบไม่ลืมหูลืมหา กระทั่งไม่สนใจว่าการกระทำในลักษณะดังกล่าวจะสร้างผลเสียเกิดขึ้นมากน้อยเพียงใด
ประการที่สาม แม้ว่าฝ่ายเสื้อแดงจำนวนหนึ่งอาจไม่อยากแสดงความขัดแย้งต่อพรรคเพื่อไทย เนื่องจากมีความเห็นว่าพรรคเพื่อไทยเป็นพันธมิตรกับฝ่ายตนเองมากกว่าพรรคการเมืองอื่นๆ แต่ต้องพึงตระหนักว่าการจะสัมพันธ์กับพรรคการเมืองไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองใดๆ ก็ตาม พรรคการเมืองก็จะต้องรับฟังความคิดเห็นและความต้องการของบุคคลผู้ซึ่งเป็นฐานเสียงของพรรค หากพรรคการเมืองใดตัดสินใจดำเนินนโยบายของตนไปโดยเห็นแก่ผู้มีอำนาจภายในพรรคและไม่เห็นหัวฐานเสียงของพรรค ก็ไม่มีความจำเป็นใดที่จะต้องให้การสนับสนุนพรรคดังกล่าวต่อไป
มวลชนคนเสื้อแดงควรต้องตระหนักว่าพรรคเพื่อไทยก็จะอยู่ในภาวะเฉกเช่นเดียวกันกับพรรคการเมืองอื่นๆ หากยังคงดำเนินการไปในลักษณะที่ไม่ได้ให้ความสำคัญต่อเสียงเรียกร้องที่ได้บังเกิดขึ้น ทั้งต้องตระหนักว่าการปกป้องระบอบประชาธิปไตยไม่ใช่การปกป้องพรรคเพื่อไทย หากมวลชนคนเสื้อแดงไม่สามารถกดดันให้พรรคเพื่อไทยทำการแก้ไขกฎหมายนิรโทษกรรมได้ก็แสดงให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทยก็พร้อมจะทิ้งกลุ่มที่เป็นมวลชนของพรรคไปได้อย่างง่ายดายเช่นกัน พรรคการเมืองเช่นนี้ย่อมไม่สามารถฝากความหวังต่อการพัฒนาประชาธิปไตยต่อไปได้อย่างแน่นอน
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่ตระหนักถึงความจำเป็นของการออกกฎหมายนิรโทษกรรมได้ร่วมกันกดดันและปฏิบัติการเพื่อยุติการบิดเบือนกฎหมายนิรโทษกรรมและการตระบัดสัตย์ของพรรคเพื่อไทย ด้วยการแสดงความเห็นคัดค้านและถอนตัวจากการมีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทย เพื่อเป็นการแสดงถึง “อำนาจ” ของประชาชนในการกำกับนโยบายและทิศทางของพรรคการเมือง ทั้งนี้จะไม่เพียงเป็นการสั่งสอนพรรคเพื่อไทยเท่านั้น หากยังจะเป็นบทเรียนให้กับพรรคการเมืองอื่นๆ ได้ตระหนักต่อไปถึงความสำคัญของประชาชนที่มีต่อพรรคการเมืองต่อไปในวันข้างหน้า
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
30 ตุลาคม 2556
- See more at: http://www.prachatai3.info/journal/2013/10/49479#sthash.nzwnOopZ.l1VNDlWV.dpuf

เรื่องของ “แอนดี้ ริคเคอร์” ที่ “เชฟอาหารไทย” ในอเมริกาควรอ่าน

รายงานหน้าหนึ่ง : เรื่องของ “แอนดี้ ริคเคอร์” ที่ “เชฟอาหารไทย” ในอเมริกาควรอ่าน

แอนดี้ ริคเคอร์

หนังสือตำราอาหารไทย "ป๊อกป๊อก" ของแอนดี้ ริคเคอร์ วางแผงในอเมริกาวันที่ 29 ตุลาคม 2013

ภาพประกอบในหนังสือ ป๊อกป๊อก

เชฟ แอนดี้ ริคเคอร์ (สามจากซ้าย) ร่วมกับเหล่าเซเลบริตีเชฟของอเมริกา ร่วมเสวนาถึงอาหารไทยในอเมริกา ในงาน ไทยฟู้ดเฟสติวัล ที่สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครลอส แอนเจลิส จัดขึ้นที่ พาราเมาท์ พิกเจอร์ สตูดิโอ เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2013


ในบรรดา “เซเลบริตีเชฟ” ที่สร้างชื่อเสียงจากอาหารไทยนั้น นอกเหนือจากเชฟไทยอย่าง เชฟเจ็ต ติลา และเชฟหนุ่มคลื่นลูกใหม่อย่าง คริส เย็นบำรุง หรือเชฟของร้านอาหารไทยดังๆ ที่ถือเป็น “โลเคิล เซเลบริตี เชฟ” อีกมากมายแล้ว ยังมีเชฟอเมริกันจากเมืองพอร์ทแลนด์ รัฐโอเรกอน ชื่อ “แอนดี้ ริคเคอร์” อยู่อีกคน

          เชฟอเมริกันคนนี้ ถือว่ามีชื่อเสียงโด่งดังระดับประเทศ เพราะมีรางวัล “เบสท์เชฟ” ของ เจมส์ เบียร์ด อวอร์ด รางวัลใหญ่ซึ่งเปรียบเหมือน “ออสการ์” ของอุตสาหกรรมอาหารอเมริกัน เมื่อปี 2011 ไม่รวมถึงรางวัลอื่นๆ ทั้งระดับประเทศและระดับท้องถิ่นอีกเยอะแยะมากมาย คอยการันตีความดังอยู่

          แอนดี้ ริคเคอร์ สร้างชื่อเสียงขึ้นมาจากอาหารไทย... อาหารไทยแบบแท้ๆ ไม่มี “ฟิวชั่น” เสียด้วย...
          เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (26 ตุลาคม) เว็บไซต์ เอ็นพีอาร์ นำเสนอเรื่องราวน่าสนใจของเชฟอาหารไทยคนนี้ ในชื่อเรื่องว่า “How A Portland Cook Became A 'Proud Copycat' Of Thai Food” (คุ๊กจากเมืองพอร์ทแลนด์ กลายเป็นนักก็อปปี้อาหารไทยผู้แสนจะภูมิใจในตัวเองได้อย่างไร)
          อ่านจบแล้วเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจในอารยธรรมด้านอาหารการกินของไทย นับถือภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทย ที่ทำให้หนุ่มอเมริกันคนหนึ่ง ถึงกับอุทิศตัว อุทิศเวลาเกือบสิบปีเข้ามาศึกษาจนเข้าใจถึงแก่นแท้ แถมยังนำมาประกอบเป็นอาชีพ จนประสบความสำเร็จในระดับประเทศ อีกทั้งยังได้ประกาศความเป็นไทยแท้ๆ ของอาหารไทยให้แผ่กว้างในอเมริกา อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน...
          อ่านแล้วรู้เลยว่า แอนดี้ ริคเคอร์ “ซีเรียส” กับการทำอาหารไทยมากกว่าเชฟไทย และคนไทยในอเมริกาส่วนใหญ่...
          จริงจังกับการ “เปลี่ยนแนวคิด” ของคนอเมริกันที่รู้จักเพียงอาหารไทยกลายพันธุ์ หรือเพี้ยนไปจาก “ของแท้” เพราะเคยชินกับการกินอาหารไทยหวานๆ ตามร้านอาหารไทยส่วนใหญ่ และจริงจังถึงขนาดอุทิศเวลาช่วงหนึ่งของชีวิตให้กับการศึกษา “ศาสตร์และศิลป์” แห่งอาหารไทยอย่างจริงจัง
          แอนดี้ ริคเคอร์ ใช้เวลาสิบปีในการตระเวนกินอาหารไทยริมถนนในเมืองไทย ทั้งข้าวแกง ก๋วยเตี๋ยวรถเข็น รวมถึงตีสนิทกับคนไทยทุกภาคจนเข้าถึงก้นครัวพวกเขา... ก่อนจะมาเปิดร้านอาหารไทยร้านแรก “ป๊อกป๊อก” ในเมืองพอร์ทแลนด์ รัฐโอเรกอน...
          และวันนี้ แปดปีต่อมา เขาเป็นเจ้าของร้านอาหารที่ประสบความสำเร็จถึงเจ็ดแห่ง ทั้งในพอร์ทแลนด์ และนิวยอร์ค ซิตี แถมหนังสือตำราอาหารไทยเล่มแรกของเขาขื่อ “ป๊อกป๊อก (Pok Pok)” ก็กำลังจะวางแผงในวันที่ 29 ตุลาคมนี้
          เขาพูดถึงตำราอาหารไทยฉบับสมบูรณ์ของเขาว่า...
          “ผมอยากจะมีเสียง คอยบอกคนทั่วไปว่า ‘ดูนะ อาหารไทยมันมีอะไรมากมายกว่าแค่ผัดขี้เมา แกงสารพัดสี หรือผัดไทย’ อาหารไทยในความเห็นของผม คือหนึ่งในอาหารที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก มันควรได้รับการยอมรับซะที” แอนดี้ ริคเคอร์ ประกาศชัด...
          เชฟดังเจ้าของแทททูลายพร้อยที่แขนขวา บอกว่าเขายังจำได้ดีถึงวินาทีที่ทำให้เขาหลงเสน่ห์อาหารไทย เมื่อกว่า 20 ปีที่แล้วได้อย่างชัดเจน
          เขาบอกว่าเขาเดินทางไปเยี่ยมเพื่อนคนหนึ่งที่จังหวัดเชียงใหม่ และมีโอกาสได้ลองแกงพื้นบ้านที่ทำจากเห็ดถอบ (puffball mushroom)
          “มันไม่เหมือนอะไรที่ผมเคยกินมาก่อน มันทั้งเป็นสมุนไพร ทั้งขม ทั้งเค็ม เผ็ดนิดหน่อย มันเหมือนโดนตบหน้าน่ะ” เขาพยายามอธิบาย...
          กลับมาถึงบ้านที่เมืองพอร์ทแลนด์ แอนดี้ ริคเคอร์ พยายามปรุงอาหารแบบที่เขาชอบ โดยเฉพาะอาหารเหนือและอาหารอีสานของไทย แต่ไม่สามารถหาสูตรอาหารท้องถิ่นที่เป็นภาษาอังกฤษได้ ดังนั้น เกือบๆ สิบปีต่อจากนั้น เขาจึงเข้าออกเมืองไทยเป็นว่าเล่น เพื่อเรียนรู้ศาสตร์ก้นครัวของคนไทย ทั้งจากบรรดาพ่อค้าริมถนน เรื่อยไปจนถึงพ่ออุ๊ยแม่อุ๊ย พ่อใหญ่แม่ใหญ่ ที่เรียกเขากินข้าวด้วยความเอื้ออาทรต่อฝรั่งผมบรอนด์ที่มาเยือนถึงเรือนชาน...
          ในที่สุด ปี 2005 แอนดี้ ริคเคอร์ ก็เริ่มแขวนป้ายขาย “ส้มตำ-ไก่ป่าย่างเตาถ่าน” จากบ้านของเขาในเมืองพอร์ทแลนด์
          เพิงขายส้มตำของฝรั่งผมทองคนนี้ ไม่นานก็มีลูกค้าอุ่นหนาฝาคั่ง ทำให้เจ้าของเริ่มคิดจะเปิดร้านอาหารให้เป็นเรื่องเป็นราว แต่เงินสดไม่พอ เพราะอยู่ในสภาพ “ถังแตก” กับการเดินทางไปใช้ชีวิตที่เมืองไทยแบบครั้งละนานๆ จึงระดมเงินจากบัตรเครดิตทั้งหกใบที่เขามี บวกกับเงินที่ยืมจากแม่อีก 7,000 ดอลลาร์... เพื่อเปิดร้านอาหาร “ป๊อกป๊อก” ขึ้นเป็นร้านแรกเมื่อปี 2006
          ไม่นาน ร้านอาหารชื่อพิลึกของ แอนดี้ ริคเคอร์ ก็เริ่มมีชื่อเสียงโด่งดัง และพอ คาเรน บรูคส์ นักวิจารณ์อาหารมือทองของหนังสือพิมพ์ เดอะโอเรกอนเนี่ยน มอบฉายา “ร้านอาหารแห่งปี 2007” ให้กับร้าน ป๊อกป๊อก... ทุกอย่างก็สดใส... แอนดี้ ริคเคอร์ บอกว่าเขาปลดหนี้ทั้งหมดได้ภายในสิ้นปีนั้น...
          คาเรน บรูคส์ บอกว่ารสชาติอาหารไทยของ แอนดี้ ริคเคอร์ นั้นไม่เหมือนกับรสชาติอาหาร  “ไทย-อเมริกัน” ชืดๆ ที่ชาวอเมริกันส่วนใหญ่คุ้นเคย... และพยายามอธิบายถึงรส “แซ่บ” ของอาหารไทยฝีมือ แอนดี้ ริคเคอร์ ด้วยสำนวนที่สุดจะแปลเป็นไทยได้ว่า "It marched into your mouth like sour bombs, and fire, and like more funk than a James Brown record."
          ที่แปลได้ก็คือ เธอบอกว่า อาหารไทยของร้านป๊อกป๊อกนั้น “เหมือนโรคติดต่อที่ไม่มีทางรักษา เมื่อลองกินดูแล้วจะไม่มีทางเลิกได้”
          แม้จะเป็นผู้นำอาหารไทยแบบแท้ๆ ออกเผยแพร่ให้ชาวอเมริกันได้รู้จักมากกว่าเชฟไทยแท้ๆ ค่อนประเทศอเมริกา แต่ความที่แอนดี้ ริคเคอร์ เป็นอเมริกันผมบรอนด์ สูงหกฟุต เกิดและโตที่รัฐเวอร์มอนท์ ทำให้เขาบอกทุกคนว่าเขาไม่ใช่ “ทูต” ของอาหารไทย แถมยังเลี่ยงการใช้คำว่า “traditional” และ “authentic” ต่อท้ายอาหารไทยในร้านของเขาอย่างสุดความสามารถ
          “สองคำนี้ถือเป็นคำต้องห้ามในร้านของผม” แอนดี้ ริคเคอร์ บอก
          แต่สิ่งที่ แอนดี้ ริคเคอร์ อยากจะเน้นถึงอาหารไทยที่เขาปรุงคือความ “ถูกต้องและแม่นยำ” ตามสูตรต้นตำรับ
          ในหนังสือคุ๊กบุ๊ก ป๊อกป๊อก ของเขา แอนดี้ ริคเคอร์ เรียกตัวเองว่า proud copycat of Thai food ซึ่งน่าจะแปลได้ในทำนองที่ว่า เขาคือ “นักก็อปปี้อาหารไทย” ที่ภาคภูมิใจในตัวเองมาก...
          “เหตุผลที่ผมคิดว่าอาหารที่ร้านป๊อกป๊อกมีความพิเศษ ก็คือว่า เราได้ใช้กรรมวิธีแบบที่เขาทำกันในประเทศไทย” แอนดี้ ริคเคอร์ บอก และว่า “เราไม่ใช้เครื่องผสมอาหาร (food processor) เราไม่ใช้เครื่องปั่นไฟฟ้า (blender)”
          เขาพยายามบอกว่าเขาใช้ “ครก” และ “สาก” เป็นอุปกรณ์หลักในการทำอาหารเสิร์ฟลูกค้าที่ร้านป๊อกป๊อก...
          เช่นเดียวกับในหนังสือ ป๊อกป๊อก ที่บอกตั้งแต่ต้นว่าหากจะปรุงอาหารไทยตามสูตรของเขาที่บ้าน คุณก็ต้องมีอุปกรณ์จำเป็นหลายอย่าง โดยที่ขาดไม่ได้เลยคือ ครกและสากอย่างน้อยหนึ่งชุด, ที่นึ่งข้าวเหนียว และกระทะก้นแบน (flat-bottom wok) ต่อด้วยรายการเครื่องปรุงและส่วนประกอบอาหารไทยยาวเหยียดที่คนอเมริกันอาจไม่คุ้น เช่น kaffir lime (มะกรูด), มะขามเปียก (tamarind pulp) กะปิ (shrimp paste) ฯลฯ ซึ่ง แอนดี้ ริคเคอร์ บอกชัดเจนว่าฟังดูอาจวุ่นวายสักหน่อย แต่หากจะปรุงอาหารไทยให้อร่อยแบบไทยแท้จริงๆ ก็ไม่มี “ทางลัด” อื่นใดให้เลือก
          “เราต้องทำมากกว่าปกติ เพราะนั่นคือวิธีเดียวที่จะได้รสชาติอย่างที่ต้องการจริงๆ” แอนดี้ ริคเคอร์ บอก
          “ดังนั้น พอเราตกลงกันว่าจะเขียนหนังสือ มันไม่ใช่แบบ ‘เอาล่ะ เราจะเอาสูตรอาหารที่เราใช้ในร้าน ป๊อกป๊อก มาย่อส่วน’ ไม่ใช่แบบนั้น”
           คนที่ “ตื่นเต้น” กับคุ๊กบุ๊ก ป๊อกป๊อก ของแอนดี้ ริคเคอร์ มีเยอะ... รวมถึง คาเรน บรูคส์ ที่ปัจจุบันได้เปลี่ยนที่ทำงานจาก เดอะโอเรกอนเนี่ยน มาเขียนให้ พอร์ทแลนด์ มันลีย์ และเป็นเจ้าของหนังสือ The Mighty Gastropolis: Portland ที่พูดถึง “ฟู้ดซีน” ในพอร์ทแลนด์อย่างละเอียด...
          คาเรน บรูคส์ ตื่นเต้นที่ได้รู้วิธีทำ Vietnamese Fish Sauce Wings. (น่าจะหมายถึง ‘ปีกไก่แช่น้ำปลาทอด’) ของร้านป๊อกป๊อก ที่เธอชอบนักชอบหนา...
          “จริงๆ นะ ริคเคอร์ไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจากทำปีกไก่แช่น้ำปลาทอดอย่างเดียว เขาก็สามารถเป็นบิลเลี่ยนแนร์ได้สบายๆ” คาเรน บรูคส์ บอก
          นักวิจารณ์อาหารคนนี้บอกด้วยว่า เธอและชาวอเมริกันอีกเป็นจำนวนมาก ต้องการแค่ได้กินอาหารไทยฝีมือ แอนดี้ ริคเคอร์ เท่านั้น แต่เจ้าตัวกลับต้องการมากกว่านั้น
          สิ่งที่ แอนดี้ ริคเคอร์ ต้องการที่สุดในเวลานี้คือความยอมรับ...
          ความยอมรับนับถือ แบบที่สะกดว่า Respect
          ไม่ใช่สำหรับตัวเขา...
          แต่สำหรับอาหารไทยที่เขารัก...

วันอังคารที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ด่วน! “จุลสิงห์” ยื่นลาออกอัยการ หลังขัดแย้ง “อรรถพล” 2 ปม

ด่วน! “จุลสิงห์” ยื่นลาออกอัยการ หลังขัดแย้ง “อรรถพล” 2 ปม

เขียนวันที่
วันอังคาร ที่ 29 ตุลาคม 2556 เวลา 19:30 น.
เขียนโดย
isranews
“จุลสิงห์ วสันตสิงห์” อดีต อสส.ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งอัยการอาวุโสกะทันหัน คนในเผยขัดแย้งกับ “อรรถพล ใหญ่สว่าง” อสส.คนปัจจุบัน จาก 2 กรณี “สั่งแจงไม่ฟ้องทักษิณ-ชิงเก้าอี้บอร์ด ปตท.”
jul at1
เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2556 รายงานข่าวจากสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการอาวุโส อดีตอัยการสูงสุด (อสส.) ได้ยื่นหนังสือลาออกจากราชการต่อ นายอรรถพล ใหญ่สว่าง อสส.คนปัจจุบัน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาอย่างกะทันหัน ซึ่งสาเหตุอาจเกิดความขัดแย้งกับนายอรรถพล ใน 2 ประเด็นด้วยกัน คือ 1.นายอรรถพลได้สั่งให้นายจุลสิงห์ไปชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ชุดหนึ่งของวุฒิสภา เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2556 ที่ผ่านมา กรณีมีความเห็นไม่ส่งฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีก่อการร้าย แต่นายจุลสิงห์ปฏิเสธจะไปชี้แจงต่อ กมธ.ชุดดังกล่าว โดยอ้างว่ามีข้อขัดข้อง
แหล่งข่าวกล่าวว่า และ 2.อาจจะเกิดจากความขัดแย้งเรื่องตำแหน่งของกรรมการบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ทั้งนี้เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2556 บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้ทำหนังสือแจ้งตลาดหลักทรัพย์ว่านายจุลสิงห์ได้ขอลาออกจากการเป็นกรรมการบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ซึ่งภายหลัง คณะกรรมการบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ก็ได้มีมติแต่งตั้งนายอรรถพลเข้าเป็นกรรมการบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) แทน
“อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2556 ทางบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้ทำหนังสือแจ้งตลาดหลักทรัพย์อีกครั้งว่า นายจุลสิงห์ได้ขอยกเลิกการลาออกจากการเป็นกรรมการบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ทำให้คณะกรรมการบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) มีมติแต่งตั้งนายจุลสิงห์กลับรับตำแหน่งอีกครั้ง แล้วยกเลิกการแต่งตั้งนายอรรถพลเป็นกรรมการบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)” แหล่งข่าวระบุ
ภาพประกอบ - (ซ้าย) จุลสิงห์ วสันตสิงห์ และ (ขวา) อรรถพล ใหญ่สว่าง ภาพจากอินเทอร์เน็ต
ด้านล่าง (1) หนังสือที่ ปตท.แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์เรื่องการลาออกจากบอร์ด ปตท.ของนายจุลสิงห์ ทำให้นายอรรถพลได้รับเลือกให้เป็นบอร์ด ปตท.แทน และ (2) หนังสือที่ ปตท.แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์เรื่องการขอยกเลิกการลาออกจากบอร์ด ปตท.ของนายจุลสิงห์ ทำให้นายอรรถพลต้องพ้นจากบอร์ด ปตท.
pttjulat1
pttjulat2
 

ขอบคุณอัยการสูงสุดที่ออกมาเผารัฐบาลและเสื้อแดงได้เนียนมากๆ ครับ

พล.ท.นันทเดช

    กรณีอัยการสูงสุดฟ้องคุณอภิสิทธิ์ฯ และคุณสุเทพฯ ในความผิดฐาน “ฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาโดยเล็งเห็นผล” มีโทษสูงสุดประหารชีวิตนั้น มีเรื่องน่าคิดอยู่ ๒ กรณี คือ :-

            ๑. ทางอัยการออกมาชี้นำในการแถลงสำนวนระบุว่า ถ้าผู้ต้องหาจะต่อสู้ว่า “คำสั่งนั้นออกระหว่างดำรงตำแหน่งนายกฯ, รองนายกฯ ซึ่งจะอยู่ภายใต้การไต่สวนของ ปปช.ก่อน” ก็สามารถทำได้ และทางอัยการยังชี้ต่อไปอีกว่า “กรณีผู้ต้องหาจะกล่าวอ้างเรื่องการปะทะกับคนชุดดำนั้น ผุ้ต้องหาก็สามารถทำได้อีกเช่นกัน เพราะใน “สำนวนของดีเอสไอไม่มีกล่าวถึงเรื่องชายชุดดำรวมอยู่ด้วย”

                    ทั้ง ๒ กรณีที่อัยการชี้นำมานั้น เป็นจุดอ่อนในสำนวนของดีเอสไอ ทำไมทางอัยการจึงระบุออกมา ซึ่งพอจะพิจารณาได้ว่า “ทางอัยการต้องการบอกคุณอภิสิทธิ์ฯ และคุณสุเทพฯ ว่าอัยการสุงสุดพิจารณาตามที่ดีเอสไอส่งเข้ามา แม้จะรู้ว่าสำนวนมีจุดอ่อนก็ต้องทำ” โดยเฉพาะเรื่องดีเอสไอไม่ส่งเรื่องชายชุดดำเข้ามารวมอยู่ในสำนวนด้วย

            ๒. ความผิดของคุณอภิสิทธิ์ฯ และคุณสุเทพฯ ตามที่ดีเอสไอระบุนั้น ตามปกติต้องส่งให้ ปปช.เป็นผู้พิจารณาตามกฎหมาย ปปช. มาตรา ๘๙ เนื่องจาก “เป็นการกระทำผิดในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐ” ซึ่งเรื่องนี้ก็ชัดเจนอีกเพราะ ถ้าคุณอภิสิทธิ์ฯ และคุณสุเทพฯ ไม่ใช่นายกฯ และรองนายกฯ แล้ว จะไปใช้ “ทหาร” ออกไปปฏิบัติการได้อย่างไร และยังเป็นการใช้ผ่าน พ.ร.บ.ความมั่นคงภายในอีกด้วย

    กรณีนี้ทางอัยการย่อมน่าจะรู้ดี แต่ก็ยังส่งฟ้องโดยไม่ส่งกลับมาที่ ปปช. แถมยังแนะนำให้ทั้งคุณอภิสิทธิ์ฯ และคุณสุเทพฯ สู้ในประเด็นนี้อีก “งงกับการกระทำของอัยการสูงสุดไหม” ผมว่าอย่าไปงงเลยครับ ถ้าให้ผมเดาใจอัยการสูงสุด ผมขอเดาได้ว่าอัยการสูงสุดกำลังชี้ทางสว่างให้คุณอภิสิทธิ์ฯ และคุณสุเทพฯ ในการกำจัดปัญหาเรื่องนี้ของดีเอสไอออกไปให้เด็ดขาดเลยมากกว่า

ผลเสียที่จะเกิดขึ้นกับคุณอภิสิทธิ์ฯ และคุณสุเทพฯ จากการส่งฟ้องคดีของอัยการสูงสุดจึงมีน้อยมากครับ แต่ผลดีจะมีมากมายหลายประการ เช่น

            ก. ตั้งแต่นี้ต่อไปทางพรรค ปชป.จะมีการนำเรื่องการเผาบ้านเผาเมือง ยิงทหารและตำรวจของคนเสื้อแดงออกมาเผยแพร่อย่างไม่หยุดยั้ง ทุกเรื่อง     ทุกกระบวนความ ยกตัวอย่างกรณีมีการค้นพบดินระเบิดซีโฟร์ต่อวงจรกับถังแก็ส ซ่อนไว้ในบังเกอร์ย่านประตูน้ำ (ซีโฟร์เป็นระเบิดที่ใช้ในการก่อการร้าย)

            ข. การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงนั้น ศาลแพ่งพิจารณามาแล้วว่า “ไม่ใช่การชุมนุมโดยสงบ”

            ค. เบื้องหลังที่คนเสื้อแดงไปก่อเหตุไว้ที่ไหนบ้าง เช่น เรื่องจ่ายักษ์ไปก่อเหตุไว้ เรื่องไปถึงไหนแล้ว บางส่วนที่เสื้อแดงหลุดคดีนั้นเพราะการทำสำนวนอ่อนไปหรือเปล่า ฯลฯ

    ถ้าพรรค ปชป.เล่นเรื่องนี้เป็น ผลเสียจะกลับไปอยู่ที่รัฐบาลและพลพรรคเสื้อแดงทั้งหลายรวมถึง ครม.ด้วย ที่พอฟังข่าวนี้ถึงกับกระโดดตบมือไม้ตบมือ บางคนถึงกับจัดงานเลี้ยงโดยไม่ได้ฟัง ไม่ได้ดู ไม่ได้นึกถึงเหตุผลต่างๆ ยกเว้นคุณธาริตฯ ซึ่งพอฟังการแถลงของอัยการเสร็จถึงกับเหงื่อตกเลยครับ

    แน่นอนเมื่อฟากรัฐบาลเลือกเดินทางเส้นนี้แล้ว “เงินก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอกครับ” ไม่สบายใจไปตลอดชีวิต เพราะ “ความจริงไม่เคยตาย ไม่เคยสูญหายไปจากโลก” ใครดีใครชั่วปกปิดกันไม่มิดหรอกครับ แน่นอนเรื่องนี้จะส่งผลมาถึง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมอีกด้วย ส่วนใครที่ออกมาโจมตีอัยการสูงสุดนั้น ผมขอมองต่างนิดหน่อย ขอบคุณอัยการสูงสุดครับ

*******************

คำต่อคำการแถลงข่าวของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กรณีที่อัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งฟ้อง


คำต่อคำการแถลงข่าวของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กรณีที่อัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งฟ้อง
29 ต.ค. 2556

คำต่อคำการแถลงข่าวของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กรณีที่อัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งฟ้อง


    (29 ต.ค. 2556) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์แถลงข่าวว่า สืบเนื่องจากที่ทางสำนักงานอัยการสูงสุดได้มีการแถลงข่าวเมื่อวานนี้ว่าจะสั่งฟ้องผม กับคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ในข้อหาร่วมกันก่อให้มีการฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ย่อมเล็งเห็นผล ตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ส่งสำนวนไปให้ก่อนหน้านี้ วันนี้ผมกับคุณสุเทพก็อยากจะมาเรียนยืนยันถึงข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง แล้วก็จุดยืนของเราทั้ง 2 คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แล้วก็เรื่องของกฎหมายนิรโทษกรรมให้เกิดความชัดเจน 

ผมเรียนให้ทราบเป็นเบื้องต้นก่อนว่า เดิมทีนั้นทางสำนักงานอัยการสูงสุดได้มีหนังสือให้ผมกับคุณสุเทพนั้นไปรับทราบคำสั่งคดีนี้ว่า อัยการสูงสุดจะสั่งฟ้องหรือไม่ในวันที่ 31 ตุลาคม คือวันพฤหัสบดีที่จะถึงนี้เพียงแต่ว่าเมื่อวานนี้ทางสำนักงานอัยการสูงสุดได้ตัดสินใจที่จะแถลงข่าวก่อนที่จะถึงวันนัด 

อย่างไรก็ตามวันนัดหมายนี้ก็ยังมีอยู่ เพราะฉะนั้นในวันพฤหัสบดีที่จะถึงนี้ผม กับคุณสุเทพ ก็จะเดินทางไปที่สำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อรับทราบว่าคำสั่งของอัยการสูงสุดเป็นเช่นไร แล้วก็จะต้องปฏิบัติกับผมกับคุณสุเทพต่อไปอย่างไร คือสรุปง่ายๆ ก็คือว่า ยืนยันว่าพวกผมทั้ง 2 คนไม่หนีไปไหน จะเผชิญแล้วก็ต่อสู้คดีนี้ตามกระบวนการยุติธรรมทุกประการ ด้วยเหตุผลซึ่งผมเคยได้ย้ำไปหลายครั้งแล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของข้อเท็จจริง หรือข้อกฎหมาย เรามีประเด็นที่โต้แย้ง หักล้าง สิ่งที่ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ แล้วก็อัยการสูงสุดได้มีความเห็นไป 

ผมไม่ลงรายละเอียดมากครับ แต่ยืนยันว่า ในส่วนของข้อเท็จจริง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2553 ผมและคุณสุเทพ ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่ในการรักษาความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง เกิดการชุมนุมทางการเมืองที่เป็นการชุมนุมที่ศาลวินิจฉัยว่าผิดกฎหมาย เลยขอบเขตของการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญ มีการดำเนินการประกาศใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องในการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองตามกฎหมายและตามขั้นตอนต่างๆ ซึ่งแม้มีผู้โต้แย้ง ศาลก็ได้วินิจฉัยว่าเป็นคำสั่งที่ออกมาโดยชอบ 

จากนั้นก็เป็นเรื่องของการปฏิบัติ ซึ่งในเหตุการณ์ดังกล่าว พี่น้องประชาชนทราบดีว่าการชุมนุมนั้นได้ลุกลามไปเป็นลักษณะของการมีผู้มีอาวุธ จะแฝงตัว หรือจะเคลื่อนไหวคู่ขนานไปกับผู้ชุมนุมก็แล้วแต่ แต่ได้ใช้อาวุธสงครามในการทำร้ายประชาชนในการก่อความไม่สงบ ไม่ว่าจะเป็นการยิงระเบิด หรือทำให้ผู้คน เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร หรือประชาชนเสียชีวิต ซึ่งตลอดระยะเวลาดังกล่าว ทั้งผม แล้วก็คุณสุเทพ ก็มีจุดยืนที่ชัดเจนว่าจะต้องนำบ้านเมืองกลับสู่ภาวะปกติ ความสงบสุข โดยหลีกเลี่ยงความสูญเสีย และมีนโยบายที่ไม่เข้าไปสลายการชุมนุมอย่างชัดเจน 

อย่างไรก็ตามครับ ทางสำนักงานอัยการสูงสุดนั้นได้แถลงออกไป ตรงกันข้ามกับข้อเท็จจริงดังกล่าว โดยอ้างว่าสำนวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษนั้นไม่ได้ระบุถึงเรื่องชายชุดดำ ก็ขอเรียนย้ำครับว่า ผมและคุณสุเทพได้ทำหนังสือขอความเป็นธรรมไปยังอัยการสูงสุด และผู้ที่รับผิดชอบในคดี แสดงให้เห็นว่า การละเลยข้อเท็จจริงดังกล่าว ซึ่งมีนัยยะสำคัญมากต่อการวินิจฉัยว่ามีการกระทำผิดหรือไม่นี้ เป็นสิ่งที่ทางอัยการสูงสุดย่อมทราบดีอยู่ เหตุผลที่อัยการสูงสุดย่อมทราบดีว่ามีชายชุดดำนั้นไม่ใช่เพราะว่าหน่วยงานต่างๆ อย่างเช่น คอป. หรือกรรมการสิทธิมนุษยชน ล้วนแล้วแต่มีรายงานยืนยันการมีผู้มีอาวุธอยู่ในการชุมนุม แต่เป็นเพราะสำนักงานอัยการสูงสุด และอัยการสูงสุด คือผู้ที่ส่งฟ้องคดีก่อการร้าย คดีหมายเลข 2542/2553 ซึ่งสำนักงานอัยการสูงสุดย่อมทราบดีว่า ในสำนวนคดีดังกล่าว มีการระบุถึงการปฏิบัติการณ์ของชายชุดดำ หรือผู้ติดอาวุธอยู่ ผมว่าไม่น้อยกว่า 20 หน้า 

ดังนั้นการที่ทางอัยการสูงสุดจะอ้างเพียงแค่ว่า สำนวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษในคดีนี้ไม่ระบุถึงการต่อสู้ หรือการมีอาวุธที่ใช้ในการชุมนุมนี้จึงฟังไม่ได้ เพราะอยู่ในหนังสือร้องขอความเป็นธรรม และอยู่ในสำนวนคดีที่อัยการสูงสุดได้ส่งฟ้องคดีก่อการร้ายไปแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 

ประเด็นถัดมาก็คือในเรื่องของข้อกฎหมาย ผม และคุณสุเทพ ก็ได้ทำเรื่องร้องขอความเป็นธรรม ในประเด็นที่ว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษนี้ไม่มีอำนาจในการสอบสวนคดีนี้ เนื่องจากว่าในการบรรยายพฤติกรรมของผม และคุณสุเทพ ความผิดที่อ้างว่าผม และคุณสุเทพได้ทำนั้นคือการออกคำสั่ง ผมในฐานะนายกรัฐมนตรี คุณสุเทพในฐานะที่เป็นประธาน หรือผู้อำนวยการใน ศอฉ. ซึ่งไม่ว่าจะเป็นกรณีใดก็ตาม ล้วนแล้วแต่เป็นการออกคำสั่งในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐ การบรรยายในสำนวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษในหน้า 9 ยังได้ระบุด้วยซ้ำว่า พฤติกรรมที่กระทำผิดนี้เป็นเรื่องของการปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งแสดงให้เห็นได้ชัดว่า มูลเหตุที่จะมีการพิจารณาคดีนี้เป็นเรื่องของการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ทางราชการ ซึ่งตามรัฐธรรมนูญ และตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องจึงเป็นอำนาจของ ปปช. ที่จะดำเนินการในการสอบสวนคดีนี้ มิใช่อำนาจของกรมสอบสวนคดีพิเศษ 

การจะมากล่าวอ้างว่า คดีนี้เป็นคดีฆาตกรรม จึงมีความขัดแย้งในตัว เพราะถ้าผม หรือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กระทำการนี้ ย่อมไม่มีอำนาจไปออกคำสั่งใดๆ ทั้งสิ้น ที่เป็นที่มาของเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ดังนั้นเราจึงเห็นว่า ทางอัยการสูงสุดนั้นตระหนักดีทั้งถึงข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องในคดีนี้ แต่กลับมีความเห็นสั่งฟ้องผม และคุณสุเทพ จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบ 

ผมและคุณสุเทพนั้น ได้ฟ้องอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษว่าได้กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ และใช้ตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมกลั่นแกล้ง เราเห็นว่าพฤติกรรมของอัยการสูงสุดไม่ต่างจากอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพราะฉะนั้นผม และคุณสุเทพก็จะฟ้องร้องดำเนินคดีกับอัยการสูงสุดในกรณีนี้เช่นเดียวกันต่อไป ด้วยเหตุผลข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายที่ได้สรุปให้ท่านทั้งหลายได้ทราบคร่าวๆ นี่คือจุดยืน แล้วก็ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับตัวคดีที่มีการส่งผม และคุณสุเทพ ไปฟ้อง 
ถัดมาเมื่อเกิดเหตุนี้ขึ้น มีการวิพากษ์วิจารณ์หรือมีการวิเคราะห์ไปต่างๆ นานาว่า จะส่งผลอย่างไรต่อท่าทีที่ผม และคุณสุเทพมีต่อกฎหมายนิรโทษกรรม เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าคณะกรรมาธิการเสียงข้างมากได้มีการแก้ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ให้มาครอบคลุมถึงคดีที่เกิดขึ้นในปี 2553 ทั้งหมด ซึ่งหมายรวมถึงคดีนี้ด้วย โดยที่ผมต้องขอยืนยันว่า การอภิปราย และการลงมติของผมทุกครั้ง ในการประชุมกรรมาธิการฯ นั้น ผมได้แสดงจุดยืนคัดค้านการนิรโทษกรรมดังกล่าว ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่า ผมยืนยันว่าความผิดต่อชีวิต ไม่ใช่ความผิดที่พึงจะนิรโทษกรรม ไม่ว่าการกระทำผิดต่อชีวิตจะเกิดขึ้นจากฝ่ายเจ้าหน้าที่หรือจากฝ่ายผู้ชุมนุม หรือชายชุดดำ หรือใครก็ตาม เพราะการนิรโทษกรรมนี้เป็นเรื่องของการละเว้นการใช้อำนาจรัฐในกรณีที่มีประชาชนนั้นแข็งขืนต่อรัฐ แต่ชีวิตของผู้สูญเสียทั้งหลายนี้ไม่ใช่ชีวิตของรัฐ รัฐเอาสิทธิ์อะไรที่จะไปบอกว่า ละเว้นการใช้อำนาจรัฐดำเนินคดีกับการที่ใครก็ตามไปเอาชีวิตของบุคคลอื่น 

ผมจึงยืนยันคัดค้านตรงนี้ แล้วก็เป็นจุดยืนที่สอดคล้องกับคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติ และองค์กรทางด้านสิทธิมนุษยชนทั้งหลายที่บอกว่า การนิรโทษกรรมการกระทำความผิดที่เป็นการจงใจ ละเมิดสิทธิมนุษยชนของผู้อื่นนั้นเป็นสิ่งที่ไม่พึงกระทำ ไม่นับรวมว่าความพยายามที่จะทำเรื่องนี้ก็คือ เพื่อที่จะไปเหมารวมกับคดีทุจริต คอร์รัปชั่น ซึ่งไม่มีที่ไหนในโลกที่เขาจะให้การนิรโทษกรรมแก่คนที่โกงกินทำความเสียหายให้แก่ชาติบ้านเมือง 

ผมย้ำเพื่อความมั่นใจกับพี่น้องประชาชนทุกคนครับ กับผู้สนับสนุนผม สนับสนุนพรรคฯ หรือคุณสุเทพว่า การเดินหน้าคัดค้านเรื่องนี้จะเข้มข้นยิ่งกว่าเดิม ไม่เอาเรื่องคดีที่ผม แล้วก็คุณสุเทพ ตกเป็นจำเลยนี้มาเกี่ยวข้องในการดำเนินงานทางการเมือง และการแสดงจุดยืนของพวกเรา การคัดค้านที่ผมประกาศไปแล้วในขั้นตอนต่อไปก็คือการดำเนินการคัดค้านในสภา ทั้งในวาระที่ 2 ทั้งในวาระที่ 3 และจะใช้สิทธิ์ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในการยื่นเรื่องนี้ให้ศาลรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นกฎหมายที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญหลายมาตรา 

การเคลื่อนไหวนอกสภา ผมก็ได้บอกแล้วว่า พร้อมที่จะทำครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ ขอบเขตที่เป็นสิทธิของประชาชนที่จะเคลื่อนไหวตามรัฐธรรมนูญ เพราะแม้ผมจะเป็น สส. หรือเป็นนักการเมืองนั้น ผมก็เป็นประชาชนคนหนึ่งที่มีสิทธิ เสรีภาพ ในการเคลื่อนไหวเช่นเดียวกัน ก็จะดำเนินการ 

ผมทราบครับ มีฝ่ายที่ต่อต้านผมพยายามตั้งข้อสังเกตหลายอย่างว่า การคัดค้านจริงจังหรือไม่แค่ไหนอย่างไร ก็ขอเรียนอย่างนี้ว่า ประการแรกที่พยายามจะพูดว่า ก็คัดค้านไปอย่างนั้น เพราะรู้ว่าเสียงก็สู้ไม่ได้ ไม่ใช่ครับ เพราะผมไม่ได้คัดค้านเฉพาะการลงมติในสภา ผมจะใช้สิทธิ์ในการให้ศาลชี้ขาด และผมมั่นใจครับว่า ศาลจะต้องพิจารณาว่าความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายนี้เป็นอย่างไร และผมได้ให้ความเห็นชัดเจนแล้วว่า มีคนจำนวนมากที่เห็นตรงกับผมด้วยว่ากฎหมายนี้ขัดรัฐธรรมนูญ เพราะฉะนั้นถ้าผมเล่นละครคัดค้าน ผมก็จะต้องไม่ส่งศาลสิครับ เพราะว่าผมมั่นใจว่าศาลนั้นจะชี้ว่ากฎหมายนี้มีปัญหา นี่คือสิ่งที่เป็นประการที่อยากจะเรียนว่า เราไม่ได้ค้านเล่นๆ หรอกครับ ค้านจริงๆ แล้วก็ขอให้ติดตามบทบาทของเราทั้งในและนอกสภาต่อไป 

ประการที่ 2 มีการแสดงความคิดเห็นทำนองว่า ผม หรือคุณสุเทพนั้นถือดี ที่ไม่เกรงกลัวในเรื่องของการขึ้นศาลนี้ ไปอ้างว่ามีแบคดี ผมย้ำอย่างนี้ครับ ข้อแรก ผมกับคุณสุเทพก็ปุถุชนละครับ ไม่มีใครต้องตก อยากจะตกอยู่ในสภาพที่ต้องเป็นจำเลยในคดีที่มีข้อกล่าวหาร้ายแรงอย่างนี้ครับ แต่ประเด็นก็คือว่า เรามั่นใจในความบริสุทธิ์ของเรา ไม่ควรที่จะไปเอาความชอบ ไม่ชอบทางการเมืองนั้น ทำลายความน่าเชื่อถือของศาล ศาลเป็นอิสระในการที่จะพิพากษาคดี ผมกับคุณสุเทพไม่มีแบคหรอกครับ ถ้ามี ทำไมศาลมีคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ที่นำมาสู่ที่มาของคดีนี้ล่ะครับ ถ้าแบคดีจริง อ้างว่าแทรกแซงอะไรอะไรต่างๆ ได้ ก็คงไม่ต้องมาถึงตรงนี้ แบคเดียวที่เรามีครับ คือความเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของเรา และเราจะเดินหน้าในการต่อสู้ เพราะเราเชื่อว่าสังคมนี้จะต้องมีความเป็นธรรม 

ผมพูดว่า เราต่อสู้คดี ไม่หนีไปไหน เรามั่นใจในความบริสุทธิ์ เรามั่นใจว่าจะได้รับความเป็นธรรม แต่หากแม้นว่าศาลจะตัดสินว่าเราผิด ผมก็ยืนยันว่าผมรับผิด ก็ต้องรับผิด แล้วต้องเคารพต่อการวินิจฉัยของศาล และผมก็บอกว่า คดีของผม หรือคุณสุเทพ รวมทั้งคดีอื่นๆ ที่พยายามจะนิรโทษกรรมตัดตอนกันอยู่นี้ ถึงเวลาแล้วที่จะเป็นนักการเมือง หรือใครก็ตาม ต้องรับผิดชอบกับการกระทำของตนเอง บ้านเมืองถึงจะเดินได้ 

ผมทราบครับบางคน บางฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า มันจะเป็นไปได้เหรอ ที่คนจะคิดอย่างนี้ ไม่กลัวถูกประหารชีวิต ไม่กลัวติดคุก ผมบอกว่า วันนี้ต้องพิสูจน์ครับว่า มันมีคนที่พร้อมจะเอาประเทศชาติ อยู่เหนือผลประโยชน์ของตัวเองจริงๆ 

คนที่มาจากตระกูลที่มีสันดานจากการโกงกิน แล้วเอาผลประโยชน์ตัวเองเป็นหลัก ไม่มีทางเข้าใจหรอกครับ อันนี้ผมก็เห็นใจ แต่ขอให้เชื่อเถอะครับว่า บ้านเมืองนี้ยังมีคนที่พร้อมจะเอาประเทศอยู่เหนือผลประโยชน์ของตัวเอง และผมกับคุณสุเทพจะพิสูจน์สิ่งเหล่านี้ต่อไป ขอบคุณครับ 

ขอเรียนสุดท้ายนะครับว่า ถือโอกาสนี้ขอบคุณพี่น้องประชาชนที่แสดงความห่วงใย หรือให้กำลังใจผม แล้วก็คุณสุเทพมา หลังจากที่มีการแถลงข่าวเมื่อวานนี้ แล้วก็สำหรับทุกๆ ท่านเหล่านั้น ผมขออย่าหวั่นไหว แล้วก็ขอให้ร่วมมือกับประชาชนที่จะต่อต้านกฎหมายนิรโทษกรรมต่อไปอย่างเข้มข้น แล้วก็สุดท้ายจริงๆ ก็คือที่มีความพยายามบอกว่าการหยิบเรื่องกฎหมายนิรโทษกรรมมาคัดค้านหรืออะไรก็ตามหวังผลเพื่อจะล้มรัฐบาลนั้น ผมขอยืนยันนะครับว่า ความมุ่งหมายของการเคลื่อนไหวต่อต้านทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของกฎหมาย ผมไม่ได้สนใจว่าใครเป็นรัฐบาล แล้วถ้าการเคลื่อนไหวนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองใดๆ ในขณะนี้ ผมยืนยันครับว่า ผมไม่มีเข้าไปเกี่ยวข้องกับการไปช่วงชิงอำนาจ หรือไปดำรงตำแหน่งใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเป้าหมายของผมก็คือการต่อต้าน และไม่ให้กฎหมายฉบับนี้ออกมาใช้เท่านั้นนะครับ ขอบคุณครับ 

การเบิกจ่ายยารักษาในโรงพยาบาลรัฐบาล

น่าสนใจติดตาม กรณีระเบียบใหม่ เรื่องการเบิกจ่ายยารักษาในโรงพยาบาลรัฐบาลที่ผลกระทบตกอยู่ที่ข้าราชการ
////
กำลังติดตาม · 5 ตุลาคม ผ่านทาง โทรศัพท์มือถือ
ใกล้ Amphoe Dusit 

ถึงกรมบัญชีกลางที่เคารพรัก

ท่านทำงานและทำหน้าที่ได้ดีมาก
ที่ช่วยหลวงช่วยรัฐรัดเข็มขัดเรื่องการจ่ายยาและการรักษาผู้ป่วย
ถึงแม้ว่าการออกมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลใช้เงินผลาญเงินแก้ปัญหาด้านอื่นมันสวนทางกันสิ้นดี กับสิ่งที่ท่านกำลังทำ

อ่าน(ตามรูป)แล้วหมออยากลาออกกันเป็นทิวแถว
เพราะอย่าลืมว่า!! หมอก็ป่วยได้ กลายเป็นคนไข้ได้
พอตัวเองป่วย จะกินยาตัวนั้นก็เบิกไม่ได้
จะกินยาตัวนี้ก็ไม่มีในโรงพยาบาลรัฐ
ต้องไปหาที่ร้านยาหรือโรงพยาบาลเอกชน
นึกถึงตัวเองตอนนั้น...มันน่าเศร้าใจมากๆ
ทำงานได้ค่าแรงถูกกว่าโรงพยาบาลเอกชน 7 เท่า แต่สวัสดิการเทียบเท่ากับประกันสังคมและ 30 บาท

คุณกรมบัญชีกลางจงอ่าน...แล้วคิดตาม...

เหล่าครูบาอาจารย์ พยาบาล เภสัช หมอหมอฟัน ตำรวจ ทหาร ทนาย ข้าราชการชั้นผู้น้อย พวกเขาทำงานให้คุณเต็มที่ เพราะคิดแค่ว่า พอแก่ตัวจะพึ่งพาให้พวกคุณหายาดีๆ มารักษา ดูแลเลี้ยงดูครอบครัวของพวกเขาได้
อดทนรับเงินเดือนน้อยกว่า ไม่มีโบนัสปลายปีหรือมีแต่ก็น้อยกว่า ..น้อยกว่าบริษัทเอกชน
แต่สิ่งที่คุณกำลังทำ!!
มันกีดกันการรักษา ไม่ใช่การควบคุมการใช้ยาอย่างที่คุณคิด
คุณกำลังจะพาระบบการรักษาของประเทศไทยลงเหว!!!

คุณทำได้แม้กระทั่งการริดรอนสิทธิ์การเข้าถึงยาและการรักษา
ของครูบาอาจารย์ที่เคยสอนคุณ หรือกำลังสอนลูกของคุณ
คุณทำร้ายทหาร ตำรวจ รั้วของชาติที่ปกป้องให้ส่วนกลางทำงานอย่างปกติ
และคุณทำร้ายคนทำงานในด้านสาธารณสุขกันเอง
ให้เขาทำงานยากขึ้น ลำบากใจและอึดอัด
อึดอัดต่อกระบวนการงี่เง่าที่มีมากขึ้นทุกปี
(คุณมันเป็น Autoimmune disease ชัดๆ)

สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากการใช้กฏระเบียบนี้หลังวันที่ 1 มกราคม 2557
1. ยา original หลุดออกจากโรงพยาบาลรัฐ เพราะสู้ราคากลางไม่ได้ ไม่คุ้มที่จะจ้างผู้แทนยา แม้กระทั่งโรงเรียนแพทย์ ทำให้เหลือแต่ยาที่เป็น local made ที่ใช้หลักการผลิตด้วยวิธี biosimilar หรือภาษาชาวบ้านคือ ก๊อปปี้ แน่นอน การก๊อปปี้ยา บางทีดูแค่ยามีโครงสร้างคล้ายกัน กินแล้วแตกตัวดูดซึมเหมือนยา original ดูแค่นี้พอ!! เลิก!!! ยาบางหรือหลายตัวไม่เคยเอามาเทียบผลการรักษาเลยว่า ได้ผลเท่ากับ original ไหม เอาแค่ดีกว่า placebo ก็หรูแล้ว จะบ้าเหรอครับคุณ คนนะไม่ใช่หมาแมว!!!
เมื่อไม่มียา original ใน โรงพยาบาลรัฐ
ยาพวกนี้จะไปสถิตที่โรงพยาบาลเอกชน
(เพราะตระกูลใหญ่บางตระกูลถือหุ้นในโรงพยาบาลเอกชนนี่นา!!)

2. เมื่อจำกัดการขายยาทุกตัว กำไรก็น้อยลง
ปกติราคาจัดซื้อยา โรงพยาบาลบวกกำไรได้ 10% ยา original ซื้อมา 30฿ กำไรได้ตั้ง 3฿/เม็ด พอไม่มียา original ให้ขาย ต้องขายแต่ยา local made เม็ดละ 1 บาท หรือกำไรเม็ดละ 10 สตางค์ จะต้องขาย 30 เม็ด ถึงได้กำไร 3 ฿

อย่าลืม!!! กำไรที่ได้..
โรงพยาบาลเอาไป จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ
ค่าจ้างลูกจ้างต้ังแต่พนักงานทำความสะอาด ยาม เข็นเปล ผู้ช่วยพยาบาล พยาบาล เจ้าหน้าที่ต่างๆ ที่ไม่ได้เป็นข้าราชการ โรงพยาบาลต้องจ่ายเงินเดือนเอง จ่ายค่าเวรค่าโอที ค่าเวรหมอก็ด้วย

เมื่อรายได้ลด!!!
แต่รายจ่ายมีเท่าเดิม
พอมีค่าซ่อมหลังคารั่ว ค่าเปลี่ยนลิฟท์ ค่าซ่อมเครื่องมือแพทย์
เงินเก็บโรงพยาบาลจะค่อยๆ ถูกดึงมาใช้
และลดลง จนเกิดการขาดสภาพคล่อง
สุดท้าย...โรงพยาบาลต้องลดภาระ
เลิกจ้างคนงาน ทำให้งานหนักขึ้น
ลดค่าเวร ทำให้เจ้าหน้าที่ชักหน้าไม่ถึงหลัง
สุดท้าย...ลาออก ไปทำงานโรงพยาบาลเอกชน ที่ได้รายได้สูงกว่าและการเข้าถึงยาดีกว่า ทำให้โรงพยาบาลเอกชนขยายเครือข่ายได้มากขึ้น เพราะตอนนี้หาหมอมาเป็น full time ยาก เพราะหมอยังอยู่ในระบบด้วยใจและศรัทธา ถ้ามันเกินรับไหว ก็พร้อมที่จะย้ายที่ทำงาน โรงพยาบาลเอกชนจะดูดหมอและเจ้าหน้าที่ดีๆ เก่งๆ จากระบบไปง่ายขึ้น
(เพราะตระกูลใหญ่บางตระกูลถือหุ้นในโรงพยาบาลเอกชนนี่นา!!)

3. ยา original ราคาแพงเพราะอะไร
ก็เพราะกว่าจะพัฒนาขึ้นมา ต้องใช้งบประมาณสูง และกว่าจะนำมาใช้แพร่หลายต้องลองใช้กับสัตว์และสุดท้ายคือคน
ต้องลองอย่างน้อย 3-5 ปีกว่าจะออกมาขายได้ พอนำมาขาย ก็ต้องศึกษาต่ออีกว่ามีผลข้างเคียงในระยะยาวกับคนไข้ไห
ราคายาจึงแพงมากในช่วงแรกๆ แต่พอเมื่อถึงจุดคุ้มทุน เค้าก็ลดราคาให้ หรือประเทศในกลุ่มกำลังพัฒนาอย่างประเทศไทย บางตัวขายถูกกว่าประเทศแถบยุโรปครึ่งต่อครึ่ง
ใช่ว่าเขาจะไม่มีมนุษยธรรม
แถมสนับสนุนงานวิจัยและการศึกษาให้แพทย์ พยาบาล เภสัช ด้วย
ในขณะยา local made ก๊อปปี้มาขายถูก
ลดต้นทุน ไม่มีค่าสนับสนุนอะไร เน้นทำให้ตัวเองถูกไว้ก่อน ไม่มีการศึกษาเทียบผลการรักษาในระยะยาว

จะว่าไป...ยาที่อยู่ในบัญชียาหลัก
มักจะเป็นยาที่เคยเป็นยานอกยัญชียาหลัก
เหตุผลเดียว...ตอนนั้นมันแพง!!!
ไม่ดูเลยว่า..คนไทยจะมีโอกาสเข้าถึงยาดีๆ มีมาตรฐานในการรักษาอย่างประเทศอื่นไหม!! กว่าจะเข้าถึงยาตัวเดียวกัน
คนไทยต้องรอ 10 ปี ให้มันราคาตกก่อน
น่าสังเวช!!!
อย่างงี้..ไม่ต้องย้ายเข้ามาให้ใครด่าดีกว่า
คิดว่ามันไม่ควรเข้าก็ไม่ต้องเอามาเข้า

สุดท้าย...ยา original จะหาซื้อได้ที่โรงพยาบาลเอกชน (เพราะตระกูลใหญ่บางตระกูลถือหุ้นในโรงพยาบาลเอกชนนี่นา!!)

4. คนไทยจะหมดศรัทธาต่อโรงพยาบาลรัฐ
แล้วเข้าหาโรงพยาบาลเอกชน (เพราะตระกูลใหญ่บางตระกูลถือหุ้นในโรงพยาบาลเอกชนนี่นา!!) เพราะหมอรู้ดีว่า
คนไข้บางราย กินยา local made ไม่ตอบสนองหรือมีผลข้างเคียงเยอะกว่า original จนคนไข้ติดชื่อยา
ถ้าในโรงพยาบาลรัฐไม่มียาชื่อนี้
โรงพยาบาลเอกชนคือคำตอบ!!! (เพราะตระกูลใหญ่บางตระกูลถือหุ้นในโรงพยาบาลเอกชนนี่นา!!)

ธุรกิจประกันชีวิตจะล้อตามไปกับการเลือกใช้บริการในโรงพยาบาลเอกชน..ก็ดี!!!

เมื่อโรงพยาบาลเอกชนได้กำไรดี
ค่าแรงหมอ พยาบาลและเจ้าหน้าที่ก็จะมากขึ้น ทำให้ส่วนต่างรายได้ระหว่างรัฐกับเอกชนห่างกันมากๆ แล้วใครจะอดใจอยู่ที่เดิมได้!!!

เมืี่อกรูกันเข้ามา..มีตัวเลือกเยอะ...ราคาก็ตก
แต่จะหันหลังกลับก็ไม่ได้!!!
(อันนี้ฝากเตือนไว้ด้วยครับ)

5. การฟ้องร้องจะมากขึ้น...เพราะกินยาแล้วไม่หาย แล้วไม่มียาดีๆ ที่มีการศึกษาชัดเจนของเขาเองให้รักษา
เป็นคุณ คุณจะมองหมออย่างไร ถ้าคนไข้ที่เป็นตัวคุณหรือครอบครัวของคุณ ไม่หายหรือตาย!!! คุณจะยังศรัทธาอยู่อีกไหม
ออกข่าวสรยุทธเลย!!!

******ก่อนที่จะออกมาตรการการรัดเข็มขัดการจ่ายยา คุณควร...
1. ทำให้หมอและคนไข้ เชื่อมั่นยา local made ว่าให้ผลการรักษาดี มีผลข้างเคียงน้อย นั่นคือ...ต้องทำการศึกษาอย่างถูกต้อง ไม่ใช่มาพูดลอยๆ ว่ากินแล้วดูดซึมได้เท่ากัน โครงสร้างยาคล้ายกัน...มันไม่พอ

2. ทุกโรงพยาบาลยังต้องมียาทั้ง 2 กลุ่ม เพราะ ต้องมียาพร้อมให้เปลี่ยนแก่คนไข้ที่กิน local made แล้วมีปัญหา อาจลอง original ก่อน และกำไรที่เกิดจากการขายยา สามารถนำมาใช้จ่ายและพัฒนาโรงพยาบาล พัฒนาความรู้และจัดกิจกรรมให้ลูกจ้างเจ้าหน้าที่ในวันปีใหม่บ้าง

จนกว่า...กรมบัญชีกลาง
จะเข้ามาจ่ายค่าน้ำค่าไฟ เงินเดือน ค่าเวรลูกจ้างเจ้าหน้าที่และหมอ
การจัดหาหรือจ่ายค่าซ่อมเครื่องมือแพทย์ การก่อสร้างตึกใหม่หรือซ่อมแซมตึกเก่าๆ
หากกรมบัญชีกลางรับภาระเองทั้งหมด
อยากจะทำอะไร...ก็ทำ!!!

3. อย่าทำตัว...เอ็นดูเขา เอ็นเราขาด
มัวแต่เอางบประมาณไปใช้สิ้นเปลือง
แต่ทำให้ปิดโรงพยาบาลเพราะขาดทุนหรือไม่มีหมอตรวจ
งบซื้อ Tablet งบอุดหนุนข้าว ยางพารา ล่าสุดข้าวโพด!! งบเยียวยาประท้วง
งบสร้างเขื่อนแค่ชะลอน้ำ ไม่ได้แก้น้ำท่วม
แต่ตัดงบการรักษา...ทุกวิถีทาง
ตั้งแต่โครงการ 1 โรค 1 โรงพยาบาล
โครงการจำกัดการจ่ายยา 9 ประเภท
ดีที่...อาจารย์แพทย์เบรคเรื่องเหล่านี้ไว้กับ สว. ได้

อย่างไรก็ตาม...
ที่ว่ามา...ไม่ได้จงเกลียดจงชังหรืออคติต่อกรมบัญชีกลา
แต่อยากให้คุณมีทัศนคติในการทำงานใหม่
ให้มองพวกเราที่เป็นข้าราชการเป็นกลุ่มคนที่คุณต้องดูแลอย่างดีที่สุด ถ้าข้างบนบังคับหรือทำอะไรให้พวกเราถูกริดรอนสิทธิ์
พวกคุณต้องช่วยโต้แย้งและให้เหตุผลที่ถูกต้อง
ไม่ใช่ตามน้ำตามคำสั่ง
แล้วมองข้าราชการกว่า 2 ล้านคนเป็นขี้ข้า
เป็นลูกไก่ ที่จะบีบก็ตาย จะคลายก็ตาย
มันใช้ไม่ได้...

ฝากไว้ด้วยครับ...คุณกรมบัญชีกลาง

หมอเอ้ รักษ์โลกและข้าราชการทั่วไท

สำรวจพิกัดความไม่พอใจรัฐบาลสุดสัปดาห์

สาระภาพ: สำรวจพิกัดความไม่พอใจรัฐบาลสุดสัปดาห์


สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ชุมนุมหลากสีหลายฝ่ายต่างออกมาเคลื่อนไหวแสดงความไม่พอใจรัฐบาลอย่างคึกคัก ผู้สื่อข่าวประชาไทรวบรวมข้อมูลการชุมนุมปักหลักแสดงความไม่พอต่อรัฐบาล ในพื้นที่ต่างๆ ทั้งในกรุงเทพมหานครในรอบสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เท่าที่มีการรายงานโดยสื่อมวลชนแขนงต่างๆ โดยแต่ละกลุ่มทั้งที่ยังคงชุมนุมอยู่ และพักการชุมนุมไปแล้ว มีพื้นที่ปักหลัก และข้อเรียกร้องดังนี้
1. เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.)
ถนนพระราม 6 ใกล้แยกอุรุพงศ์ กทม.
ผู้ชุมนุมเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย หรือ คปท. นำโดย อุทัย ยอดมณี เป็นกลุ่มที่แยกออกมาจาก "กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ" หรือ กปท. ซึ่งเดิมปักหลักชุมนุมขับไล่รัฐบาลอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อ 8 ต.ค. 56 ต่อมารัฐบาลมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และให้ตำรวจเจรจาผู้ชุมนุม กปท. ให้ย้ายพื้นที่ชุมนุมออกไปนอกพื้นที่ พ.ร.บ.ความมั่นคง โดยให้เหตุผลว่าระหว่างวันที่ 11 - 13 ต.ค. นายกรัฐมนตรีจีนจะมาเยือนทำเนียบรัฐบาล ทำให้ในวันที่ 10 ต.ค. ผู้ชุมนุม "กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ" ซึ่งมีผู้ชุมนุมจากกองทัพธรรมมูลนิธิ ของพุทธศาสนิกชนจากกลุ่มสันติอโศกด้วย ได้ย้ายไปชุมนุมที่สวนลุมพินี แต่มีผู้ชุมนุมบางส่วนนำโดย นิติธร ล้ำเหลือ ทนายความพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และอุทัย ยอดมณี นายกองค์การบริหารนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้ไปเคลื่อนปักหลักอยู่ที่แยกอุรุพงษ์ ด้านถนนพระราม 6 ขาออก ใกล้จุดขึ้นลงทางยกระดับ ใช้ชื่อว่า "เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย" หรือ คปท.
จากรายงานของ โพสต์ทูเดย์ ข้อเรียกร้องของ คปท. ที่ประกาศไว้เมื่อ 13 ต.ค. ระบุว่า
1.ขอให้รัฐบาลหยุดดำเนินการติดต่อกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และอย่าให้เข้ามาแทรกแซงการทำงานของรัฐบาล 2.ขอตรวจสอบคำวินิจฉัยของอัยการสูงสุด ที่สั่งไม่ฟ้อง พ.ต.ท. ทักษิณ ในข้อหาก่อการร้าย โดยให้ตรวจสอบอย่างละเอียด 3.ขอเรียกร้องไปยังรัฐบาลไม่ให้แต่งตั้งนายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อดีตอัยการสูงสุด ไปดำรงตำแหน่งใดทางการเมืองและองค์กรอื่นๆ นอกจากนี้ยังขอเรียกร้องไปยังรัฐบาลไม่ให้ปิดกั้นการเดินทางของประชาชนที่จะเดินทางเข้าร่วมการชุมนุมในทุกวิถีทาง
อย่างไรก็ตามผู้ชุมนุมอยู่ระหว่างพักปราศรัยทางการเมือง 3 วัน เพื่อถวายความอาลัยแด่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ส่วนกิจกรรมล่าสุดนั้น เมื่อวันที่  27 ต.ค. ผู้ชุมนุม คปท. นำโดย อุทัย ยอดมณี เดินทางไปที่สถานีตำรวจนครบาลพญาไท ถ.ศรีอยุธยา เพื่อแจ้งความว่ามีผู้ไม่หวังดีนำหมามุ่ยมาโปรยลงมาจากทางด่วนพระราม 6 ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บกว่า 50 ราย นอกจากนี้ผู้ชุมนุมได้ไปสอบถามที่สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ด้วย เพื่อขอดูภาพวงจรปิดบนทางด่วน แต่เนื่องจากบนทางด่วนไม่มีกล้องวงจรปิด ผู้ชุมนุมจึงเดินทางกลับมาชุมนุมต่อยังแยกอุรุพงษ์ตามเดิม
ล่าสุดในช่วงเย็นวันที่ 27 ต.ค. ผู้ชุมนุมได้เคลื่อนมาปิดบริเวณแยกอุรุพงษ์ ด้าน ถ.เพชรบุรีด้วย โดยเป็นการปิดแยกอุรุพงษ์ทุกด้าน ยกเว้นมาจากแยกศรีอยุธยา มุ่งหน้าถนนพระราม 6 เลี้ยวซ้าย ไปถนนเพชรบุรี ได้เส้นทางเดียว

2. กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ (กปท.)
สวนลุมพินี กรุงเทพมหานคร
กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ หรือ กปท. มีแกนนำในรูปแบบคณะเสนาธิการร่วม ประกอบด้วย พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ พล.อ.ชูเกียรติ ตันสุวัฒน์ พล.อ.ท.วัชระ ฤทธาคณี พิเชษฎ พัฒนโชติ และไทกร พลสุวรรณ นอกจากนี้ยังมีพุทธศาสนิกชนจากสันติอโศก โดยกองทัพธรรมมูลนิธิ นำโดย ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ เป็นมวลชนสำคัญด้วย โดยเริ่มชุมนุมที่สวนลุมพินีตรงลานอนุสาวรีย์สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อ 4 ส.ค. 56 ต่อมาในวันที่ 6 ส.ค. 56 ได้ย้ายเข้าไปชุมนุมภายในสวนลุมพินี ด้วยเหตุผลด้านการรักษาความปลอดภัยการชุมนุม
ข้อเรียกร้องของกลุ่มที่ระบุในแถลงการณ์ฉบับที่ 1 "ลั่นระฆังรบ โค่นระบอบทักษิณ" ได้ระบุข้อเรียกร้องว่า 1. เราขอลั่นระฆังต่อสู้ตามระบอบประชาธิปไตย เพื่อโค่นล้มระบอบทักษิณ ให้หมดสิ้นไปจากประเทศไทย 2. เราขอคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมและกฎหมายฉบับอื่นๆ ที่จะนำมาสู่การล้างความผิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ 3. เราจะชุมนุมโดยสงบสันติ อหิงสา ปราศจากอาวุธ ตามวิถีของประชาธิปไตย และ 4. เราขอเชิญชวนประชาชนทุกหมู่เหล่า ทหาร ตำรวจ ทั้งในและนอกราชการ พี่น้องประชาชนที่รักชาติ ประชาธิปไตย และเทิดทูนไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้เข้าร่วมการชุมนุมเพื่อปฎิรูปประเทศไทย
ทั้งนี้ กปท. ได้เคลื่อนไปปักหลักที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อ 8 ต.ค. แต่ในวันที่ 10 ต.ค. ได้ย้ายกลับมาชุมนุมที่สวนลุมพินีตามเดิม หลังตำรวจเจรจาว่าจะมีนายกรัฐมนตรีจีนเดินทางเยือนประเทศไทยและทำเนียบรัฐบาลระหว่างวันที่ 11-13 ต.ค. อย่างไรก็ตาม ผู้ชุมนุมส่วนหนึ่งไม่ยอมกลับมาที่สวนลุมพินี และได้แยกตัวออกมาตั้งกลุ่ม เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ชุมนุมกันอยู่ที่แยกอุรุพงษ์ดังกล่าว

3. แนวร่วมคนไทยรักชาติรักษาแผ่นดิน
ซอยโยธินพัฒนา 3 ถ.ประดิษฐ์มนูธรรม กทม. (ยุติกิจกรรมเมื่อวันที่ 27 ต.ค. 56 เวลา 15.30 น.)
แนวร่วมคนไทยรักชาติรักษาแผ่นดิน นำโดยไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ซึ่งเคยชุมนุมอยู่ในสนามหลวงในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานั้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 27 ต.ค. เวลา 14.00 น. ชุมนุมกันที่ปั๊มน้ำมัน ปตท. ปากซอยห้างสรรพสินค้า Chic Republic ห่างจากปากซอยโยธินพัฒนา 3 ถ.ประดิษฐ์มนูธรรม ทางเข้าบ้านพักของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
โดย สปริงนิวส์ รายงานว่า ข้อเรียกร้องแนวร่วมคนไทยรักชาติรักษาแผ่นดินคือ ต้องการพบนายกรัฐมนตรี และเรียกร้องให้ไทยไม่รับคำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ศาลโลกที่จะอ่านคำตัดสินคดีปราสาทพระวิหารในวันที่ 11 พ.ย. นี้ ส่วนจะมีการยกระดับการชุมนุมหรือไม่นั้น จะต้องประเมินจำนวนผู้ชุมนุมก่อน
ทั้งนี้เป้าหมายเดิมของแนวร่วมคนไทยรักชาติรักษาแผ่นดินคือชุมนุมที่ปากซอยโยธินพัฒนา 3 อย่างไรก็ตามมีคนเสื้อแดง "กลุ่มสื่อวิทยุเพื่อประชาธิปไตย" หรือ กวป. มาชุมนุมไว้ก่อนหน้านี้ ทำให้กลุ่มที่มีนายไชยวัฒน์เป็นแกนนำย้ายมาปักหลักห่างจากกลุ่มคนเสื้อแดงดังกล่าว
ต่อมา ผู้กำกับ สน.โชคชัย ได้มาประสานแจ้งว่าจะรับเรื่องไปแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบและให้ผู้ชุมนุมสลายตัวไปก่อน โดยนายไชยวัฒน์ กล่าวว่า ให้เวลาตำรวจในการประสานงานภายใน 7 วัน หากไม่มีความคืบหน้าจะนัดมวลชนกลับมาชุมนุมอีกครั้งในวันที่ 3 พ.ย. เวลา 14.00 น.ที่บ้านพักของนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง จากนั้นได้มีการประกาศยุติการชุมนุม และไม่มีเหตุรุนแรงใดๆ เกิดขึ้น

4. เครือข่ายภาคประชาชน 77 จังหวัด
หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กทม. (ยุติกิจกรรมเมื่อวันที่ 27 ต.ค. 56 เวลา 16.00 น.)
การประชุมดังกล่าว เป็นการหารือของผู้นำมวลชนคัดค้านการทำหน้าที่ของรัฐบาลกลุ่มต่างๆ โดยเมื่อวันที่ 27 ต.ค. 56 ตั้งแต่เวลา 9.00 น. ที่หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กลุ่มเครือข่ายภาคประชาชน 77 จังหวัด นำโดย สุริยะใส กตะศิลา, สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์, นิติธร ล้ำเหลือ, อุทัย ยอดมณี, ระวี มาศฉมาดล, สมบูรณ์ ทองบุราณ, ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์, สุริยันต์ ทองหนูเอียด เข้าร่วมประชุมเพื่อคัดค้านการออกร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม พร้อมติดตามความเคลื่อนไหวคดีปราสาทพระวิหาร
คมชัดลึก รายงานความเห็นของสุริยะใสต่อร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่เห็นว่า "กฎหมายฉบับนี้ไม่ใช่ Set zero หรือเริ่มต้นกันใหม่ แต่เป็น Zero sum game เพราะมีคนๆ เดียวได้ประโยชน์ และยิ่งจะสร้างความแตกแยกเพิ่มเติม"
ในตอนท้ายมีการแถลงข่าว โดยไทยโพสต์ได้รายงานการแถลงข่าวของสุริยะใส ที่ระบุว่า ที่ประชุมได้มีมติสนับสนุนการเคลื่อนไหวของประชาชนกลุ่มต่างๆ ที่มีการชุมนุมคัดค้านการบริหารงานของรัฐบาลอยู่ในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเกษตรกรชาวสวนยางภาคใต้ กลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) กลุ่มกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ (กปท.) และกลุ่มที่เคลื่อนไหวกรณีปราสาทพระวิหาร
"การกำหนดการเป่านกหวีดชุมนุมใหญ่นั้น จะจัดขึ้นในวันถัดไปหลังจากสภาผู้แทนราษฎรมีมติผ่านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมวาระ 3 เสร็จสิ้น โดยไม่รอการพิจารณาของวุฒิสภา หรือหลังจากมีคำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเกี่ยวกับกรณีพิพาทไทยกัมพูชา โดยผลออกมากว่าไทยเสียดินแดน"
โดยระหว่างนี้ให้มวลชนในแต่ละจังหวัดจัดกิจกรรมให้ความรู้กับประชาชนเกี่ยวกับประเด็นที่กล่าวมา เพื่อเตรียมความพร้อมในการจัดชุมนุมใหญ่ แต่การเป่านกหวีด จะขึ้นอยู่แต่ละสถานการณ์ เพราะหากไม่เข้าเงื่อนไขของเรา อย่างการชะลอร่างกฎหมายนิรโทษกรรม หรือศาลโลกตัดสินเป็นผลดีกับไทย ก็ถือว่าเป็นโชคดีของคนไทย
"หากมีการเป่านกหวีดใหญ่ครั้งนี้ จะมีประชาชนออกมาเข้าร่วมมากกว่าสมัยกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ชุมนุมขับไล่ทักษิณ และจากที่พูดคุยกับแกนนำพันธมิตรฯ ที่มีคดีความติดตัวจากการชุมนุมทางการเมืองอยู่ 96 คน ได้พูดคุยกันแล้ว ก็มีประมาณ 60-70 คน ที่จะเข้าร่วมในการชุมนุมครั้งนี้" โดยก่อนที่จะมีการชุมนุมใหญ่ แกนนำที่มีคดีความติดตัวติดเงื่อนไขของศาลนั้น จะเดินทางได้แจ้งต่อศาลว่าจะจัดการชุมนุมอย่างสงบปราศจากอาวุธไม่มีการปลุกระดม อย่างเช่นการจัดชุมนุมนายไทกร พลสุวรรณ หรือพิเชฐ พัฒนโชติ ที่ชุมนุมอย่างสงบ ก็ไม่ถูกถอนประกัน
5. ต้านนิรโทษกรรมสุดซอย โดยกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง
แมคโดนัลด์/ราชประสงค์ (ยุติกิจกรรมวันที่ 27 ต.ค.เมื่อเวลาประมาณ 14.00 น.)
กลุ่มวันอาทิตย์สีแดงนำโดยสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด นำผู้ชุมนุมราว 300 คน ทำกิจกรรมผูกผ้าแดงต่อต้านการนิรโทษกรรมเหมาเข่งที่สี่แยกราชประสงค์ จากนั้นได้มารวมตัวกันบริเวณแมคโดนัลด์ สาขาอัมรินทร์ พลาซ่า
บก.ลายจุดให้สัมภาษณ์ว่า ในขณะนี้จะให้เวลาพรรคเพื่อไทยถึงวาระที่ 3 เพื่อทำจุดยืนให้ชัดเจน มิเช่นนั้นจะเรียกชุมนุม "หมื่นอัพ" ในอนาคต โดยเรียกคนที่ไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมเหมาเข่งมาชุมนุมให้ถึงหมื่นคน เพื่อแสดงพลังการคัดค้าน
สำหรับสถานการณ์ล่าสุด  วันที่ 28 ต.ค. กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ได้พิจารณาเนื้อหา และลงมติเพื่อรับรองรายงานการประชุมเสร็จสิ้นแล้ว และจากนี้ต้องมีการแก้ไขถ้อยคำและรอคำแปรญัตติจากกรรมาธิการฯ ที่จะส่งมาเพิ่มเติม
6 ผู้ชุมนุมชาวสวนยางปิดถนนเพชรเกษม หนุนตั้งไตรภาคีเจรจาราคา
บางสะพาน ประจวบฯ
เครือข่ายเกษตรกรชาวสวนยางพาราและปาล์มน้ำมัน 16 จังหวัดภาคใต้ ที่ปิดถนนเพชรเกษม บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 415 บ้านศรีนคร หมู่ที่ 7 ต.ช้างแรก อ.บางสะพานน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ ตั้งแต่ช่วงเย็นวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา
โดยหลังจากที่แกนนำได้เจรจากับพล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกรัฐมนตรีและ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 27 ต.ค.ที่ผ่านมาได้รับข้อตกลงจากรัฐบาลในการเตรียมจัดตั้งไตรภาคีเพื่อร่วมกันแก้ปัญหาแล้ว แต่ผู้ชุมนุมยืนยัยปักหลักต่อไปจนกว่าการแก้ไขปัญหาจะบรรลุตามความต้องการของเกษตรกร
ทั้งนี้พล.ต.ต.หาญพล นิตย์วิบูลย์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ได้สั่งกำลังชุดปราบจลาจลในภาค 7 รวมกำลังกว่า 1 พันนาย เข้าไปตรึงกำลังในพื้นที่ดังกล่าว