PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2557

จากใจและบทเรียนในคดีของสนธิ ลิ้มทอกุล โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
บทเรียนจากคดีเอ็มกรุ๊ปที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุล สารภาพและโดนศาลอาญาจำคุก 85 ปี แต่กฎหมายให้จำคุกได้สูงสุด 20 ปี ดังนี้

1. ลักษณะคดีนี้เหตุเกิดตั้งแต่ปี 2538 เป็นคดีเก่าที่เกิดขึ้นก่อนจะกราบขอโทษประชาชนที่เวทีสนามหลวงตั้งแต่ปี 2549 ว่าเคยทำเรื่องทั้งดีและไม่ดีในอดีตและจะขอใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อชาติและประชาชน ดังนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็เป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้วและไม่มีใครสามารถเปลี่ยนเรื่องอดีตได้ และเกิดขึ้นก่อนที่จะเป็นผู้นำมวลชน ดังนั้นจึงเชื่ิอว่ามวลชนส่วนใหญ่เข้าใจในประเด็นนี้ชัดเจนอยู่แล้ว

ในประเด็นนี้ต่างจากนักการเมืองโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับ ทักษิณ ชินวัตร ที่แม้ความผิดในอดีตจะเปลี่ยนไม่ได้เช่นกัน แต่ทักษิณกลับไม่เคยคิดจะเปลี่ยนตัวเองทำตัวให้ดีขึ้น เพื่อชดใช้ความผิดของตัวเองที่ได้กระทำเอาไว้

2. ภาวะความเป็นผู้นำ แม้ในทางปฏิบัติคุณสนธิจะไม่ได้เป็นคนจัดทำเอกสารโดยตรงในการเอาบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ไปค้ำประกันบริษัทนอกตลาดโดยไม่ได้รายงานแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ อันเป็นการกระทำที่ผิดต่อ พรบ.ตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธในฐานะคนลงนามในเอกสารในฐานะผู้นำองค์กรได้ คุณสนธิตัดสินใจกันกรรมการบริษัทคนอื่นๆออกจากคดีโดยการรับสารภาพในคดีนี้ไว้เสียเอง โดยไม่ต้องตะแบง หรือปฏิเสธข้อหาลากคดีให้ยืดเยื้อออกไป (ซึ่งหากจะเลือกหนทางนั้นก็ย่อมทำได้)
ในประเด็นนี้ต่างจากนักการเมืองโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับ ทักษิณ ชินวัตร นักการเมืองอื่นๆ ที่ไม่เคยมีใครสารภาพความผิดของตัวเอง พยายามใช้เล่ห์ทางกฎหมายเพื่อตะแบง หรือลากยาวเพื่อให้ตัวเองมีอิสรภาพให้นานที่สุด

3. การต่อสู้คดีความ แม้ว่าคุณสนธิจะสารภาพในคดีความ แต่ในข้อเท็จจริงที่ศาลอาญาอ้างเหตุมาลงโทษนั้นยังมีข้อต่อสู้อยู่อีกหล่ยประเด็น เช่น ประเด็นที่ธนาคารกรุงไทยได้ไปให้การว่าธนาคารไม่เสียหายในการปล่อยกู้ (เหตุเพราะมีหลักทรัพย์เกินจำนวนและมีการชำระหนี้ด้วย) และไม่ได้มีโจทก์ร่วมอื่นที่แสดงตนว่าเกิดความ้สียกาย แต่ศาลอาญาพิพากษาว่าไม่เชื่อว่าธนาคารไม่เสียหาย แต่ในท้ายที่สุดศาลกลับไม่พิพากษาให้มีค่าปรับแต่ประการใด และศาลอาญามีการเปลี่ยนคณะองค์พิพากษา แต่เมื่อทนายทักท้วงศาลอาญากลับบอกว่าเป็นความหลงผิดแต่ไม่ได้ทำผิด ฯลฯ ดังนั้นแม้สารภาพแล้วแต่ก็ยังมีข้อต่อสู้ในเฉพาับทลงโทษที่เกิดขึ้นในชั้นอุทธรณ์ต่อไป

ในประเด็นนี้ คุณสนธิ โดนลงโทษสถานหนักถึง 85 ปี (ยิ่งกว่าคดีฆาตกรรมหรือยาเสพติดในหลายคดี)แต่เมื่อคุณสนธิสารภาพศาลจึงลดโทษเหลือกึ่งหนึ่งคือ 42 ปี แต่กฎหมายให้ลงโทษได้แค่ 20 ปี ดังนั้นความจริงการสารภาพไม่ได้มีผลต่อการได้รับโทษต่ำกว่า 20 ปีได้เลย (ตามคำพิพากษาของศ่ลอาญา) แต่คุณสนธิกลับเลือกหนทางนี้

หากเทียบกับกรณีของทักษิณ ชินวัตร จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะทักษิณไม่เคยสารภาพผิด จึงโดนโทษจำคุก 2 ปี ความจริงหากสารภาพผิด หรือสำนึกผิด และประพฤติตัวดี ก็มีโอกาสที่จะได้ลดโทษลง หรือได้รับการอภัยโทษร่วมด้วยกับนักโทษคนอื่นๆในครรลองที่ถูกต้องต่อไป และอาจติดอยู่ไม่นาน ซึ่งสถานภาพดีกว่าคุณสนธิหลายเท่าทวีคูณที่ถูกพิพากษามากกว่าทักษิณถึง 10 เท่าตัว แต่ทักษิณกลับเลือกหนทาง ไม่ยอมรับผิด ไม่สารภาพ ไม่สำนึกผิด และด่ากระบวนการยุติธรรมไทยแทน

3. ความเป็นใจนักเลง ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมามีนักการเมืองหลายยุคแสดงตนออกมาจะช่วยเหลือในการ "เป่าคดี"นี้ เพื่อแลกกับการที่คุณสนธิหยุดโจมตีรัฐบาล แต่เมื่อคุณสนธิตัดสินใจเดินหน้าตรวจสอบและชนทั้งรัฐบาลชวน 2 และรัฐบาลทักษิณ รัฐบาลทุกยุคจึงสานต่อคดีนี้มาอย่างต่อเนื่อง เงินที่เป็นเงินกู้มาก็นำมาเพื่อหล่อเลี้ยงองค์กรในยามที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ (เหมือนกับองค์กรอื่นๆ ที่ต้องมีการปลด ลดพนักงาน จ่ายเงินเดือนช้า จนถึงขั้นจ่ายเงินเดือนไม่ได้มาแล้ว )

ตลอดระยะเวลา 17 ปีที่ผ่านมา มีนักการเมืองนอกจากจะมีข้อเสนอให้เป่าคดีิาญาแล้ว ยังมีนักการเมืองเสนอจะช่วยเคลียร์ล้างหนี้ทั้งหมดเพื่อแลกกับการหยุดโจมตีรัฐบาล และมีข้อเสนอที่จะซื้อ ASTV ด้วยจำนวนเงินมหาศาลที่จะทำให้คุณสนธิกลับมาเป็นมหาเศรษฐีได้ แม้แต่การตรวจสอบรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ที่จะทำให้สูญเสียมวลชน สูญเสียเงินบริจาค สูญเสียลูกค้าในการซื้อสินค้า ASTV Shop แม้แต่การตรวจสอบรัฐวิสาหกิจหลายแห่งแบบไม่ถอยไม่หยุดจนเขาต้องหยุดโฆษณา หยุดซื้อหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ แต่คุณสนธิก็เลือกที่จะต่อสู้กับความไม่ถูกต้องตรวจสอบความผิดของนักการเมือง ข้าราชการ และรัฐวิสาหกิจ เหล่านั้นทุกยุคต่อไป

ส่วนคนบางกลุ่มที่กล่าวว่าพันธมิตรฯสู้แล้วรวยนั้น หรือชุมนุมเพื่อหาเงินบริจาคนั้น คุณสนธิก็เป็นผู้เสนอให้ตั้งมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน เพื่อให้มีการบริหารที่เป็นรูปองค์กรที่มีกระบวนการตรวจสอบเพื่อความโปร่งใส และเป็นผู้เสนอให้เปิดเผยบัญชีรายรับรายจ่ายทั้งหมดเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ (เป็นการสร้างมาตรฐานสูงกว่ากฎหมายและยังคงเป็นองค์กรที่มีการชุมนุมทางการเมืองในประเทศไทยเปิดเผยบัญชีดังกล่าว) และแสดงให้เห็นว่าไม่มีใครได้เงินเดือน หรือรายรับส่วนตัวจากเงินบริจาคดังกล่าว แม้ในยามวิกฤติที่สุดที่ไม่เงินจ่ายเงินเดือนหรือจ่ายค่าดาวเทียมจน ASTV จอดับ ก็ไม่เคยนำเงินบริจาคดังกล่าวมาจ่ายเงินเดือนของพนักงานบริษัทหรือมาใข้ประโยชน์ส่วนตนแต่ประการใด

ความจริงเงินบริจาคที่มาจุนเจือช่วยเหลือและค้ำยัน ASTV นั้นยังน้อยกว่าการหาเงินส่วนตัวจากคุณสนธิมาลงให้กับ ASTV เฉลี่ยเดือนละ 20 ล้านบาท สิ่งที่คุณสนธิได้ทำคือ เอารายได้จากหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ม่วยทีวี การนำทรัพย์สินของครอบครัวลิ้มทองกุลออกมาขาย กู้ยืมเงินจากคนอื่น ตามทวงหนี้จากเพื่อเก่าที่เคยขอยืมเงินคุณสนธิไปนานแล้ว และการเจรจากับผู้ลงโฆษณาในเว็บไซต์บางรายให้ช่วยจ่ายเงินล่วงหน้า ฯลฯ ดังนั้นถ้าคำนวณเงินคุณสนธิ ลิ้มทองกุลลงเงินกับ ASTV ไปแล้ว ไม่ต่ำกว่า 2 พันล้านบาท

ซึ่งถ้าคุณสนธิไม่เลือกหนทางในชีวิตแบบนี้คุณสนธิก็คงเป็นเศรษฐีรายใหญ่อีกคนหนึ่งในประเทศไทย และคดีความต่างๆที่เกิดขึ้นในอดีตก็คงจบลงด้วยดี คดีใหม่ก็คงไม่มีเหมือนกับทุกวันนี้

คุณสนธิในวันนี้ไม่ได้รวยเหมือนวันก่อน หาเงินมาจ่ายเงินเดือนชนต่อเดือนแบบเลือดตาแทบกระเด็น และบอกให้พวกเราทราบว่าถ้าเป็นอย่างนั้น ชีวิตคงไม่มีความสุขอะไร เพราะชีวิตยังคงยึดติดอยู่กับเงิน แต่วันนี้ยังมีความสุขกว่า เพราะตื่นขึ้นมามองกระจกแล้วไม่อายตัวเอง เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน

ต่างจากทักษิณที่ทุกอย่างยังยึดติดอยู่ในผลประโยชน์และอำนาจ อยากล้างความผิดในอดีตให้กับตัวเอง อยากได้ทรัพย์สินคืน และอยากกระชับอำนาจให้กับพวกตัวเองซึ่งมีมากอยู่แล้วให้มีมากขึ้นไปอีก ซึ่งชีวิตแบบนี้มีแต่ความร้อนรุ่มไม่มีทางจะมีความสุขได้เลย

ด้วยเหตุผลเช่นนี้คนอย่างพลตรี จำลอง ศรีเมือง คนดีมีศีลอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งไม่เคยเอ่ยปากขอบริจาคให้ใครมาก่อนตลอดชีวิต จึงยอมเอาตัวเองมารณรงค์ให้คนบริจาค ASTV อีกทั้งยังทำธุรกิจปุ๋ยชีวภาพเพื่อเอารายได้มาจุนเจือ ASTV จนถึงทุกวันนี้

4. คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ต่อสู้เพื่อให้ทุกคนเคารพหลักนิติรัฐมาโดยตลอด แม้ว่าจะมีความเสี่ยงที่จะรับโทษจำคุกหนัก แต่ก็เลือกหนทางที่จะรักษาหลักนิติรัฐ ยืดอกยอมรับสารภาพว่าตัวเองทำผิด แม้จะยังมีอีกหลายคดี ทั้งคดีการก่อการร้าย, คดี พรก.ฉุกเฉิน, คดี พรบ.ความมั่นคง, คดีหมิ่นประมาท แม้ว่าคดีเหล่านี้จะสามารถจบลงได้ด้วยดีหากยอมจับมือปรองดองกับนักการเมืองหยุดตรวจสอบโจมตีรัฐบาลได้ในหลายยุคที้ผ่านมา แต่คุณสนธิก็เลือกใช้สิทธิ์ต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม และแม้ว่าในบางคดีจะไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือไม่ได้รับความเมตตาจากผู้พิพากษที่เลือกข้างหรือเคยขึ้นเวทีเสื้อแดง แต่คุณสนธิกลับให้ความสำคัญมากกว่าในการรักษาระบบศาลภายใต้พระปรมาภิไธย ดังนั้นคุณสนธิจึงไม่เคยหลบหนีหมายของศาล ประกาศมาตลอดว่าเคารพในศาล และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเคารพในกระบวนการยุติธรรม

ต่างจากทักษิณ ชินวัตร ที่ด่าศาล ทำลายความน่าเชื่อถือของศาล (ทั้งๆที่ทนายทักษิณเคยเอาขนม 2 ล้านบาทไปให้ที่สำนักงานศาลยุติธรรมจนถูกโทษจำคุกมาแล้ว) เวลาศาลตัดสินเป็นคุณกับตัวเองก็บอกว่าตัดสินด้วยความเป็นธรรมแล้ว แต่เวลาศาลตัดสินเป็นโทษกับตัวเองกับพวกก็โวยวายกล่าวร้ายว่าศาลมีใบสั่งและอำมาตย์อยู่เบื้องหลัง ยอมทำทุกอย่างเพื่อล้างความผิดให้กับตัวเอง ทั้งการทำลายหลักนิติรัฐ มีขบวนการใช้มวลชนเสื้อแดงใช้กำลัง ใช้อาวุธสงคราม และใช้ไฟเผาบ้านเผาเมือง เพียงเพื่อช่วงชิงอำนาจมาและทำลายกระบวนการยุติธรรมอยู่ในปัจจุบัน

คุณสนธิ ปีนี้อายุ 64 ปี ผ่านร้อน ผ่านหนาวมาเยอะแล้ว มีทั้งการทำความผิด และทำในสิ่งที่ถูก แต่ที่คุณสนธิได้ประกาศขอโทษต่อพี่น้องประชาชนตั้งแต่ปี 2549 แล้วสัญญาว่าจะใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อชดใช้หนี้แผ่นดิน จะทำเพื่อชาติ และราชบัลลังก์ ความผิดในอดีตที่เปลี่ยนไม่ได้การแสดงความสำนึกคือการยืออกรับสารภาพผิดและเคารพกระบวนการยุติธรรม หากคุณทักษิณรู้จักคำว่า "เสียสละ"ทำได้อย่างคุณสนธิ ประเทศชาติก็คงไม่วุ่นวายเช่นนี้

คุณสนธิ ลิ้มทองกุลพูดให้ผมฟังว่า:

"ชีวิตคุณสนธิเดินมาถึงวันนี้ไม่เสียใจ เพราะการที่ได้รับความเมตตา กับศรัทธาจากพี่น้องประชาชนนั้นเป็นสิ่งที่มีค่าเกินกว่าสิ่งใดๆ ชีวิตคุณสนธิว่างเปล่า ชีวิตคุณสนธิตายหด้เพื่อศรัทธาเหล่านี้ คุณสนธิจึงจะไม่ทำให้พี่น้องประชาชนต้องเสียใจ

สิ่งที่มีค่าอีกประการหนึ่ง คือได้ร่วมงานกับพื่อนพ้อง น้องพี่ ถ้าคุณสนธิมุ่งแต่จะแสวงหาความรวยอย่างเดียว ก็คงไม่ได้เจอเพื่อนร่วมงานที่น่ารักและมีความศรัทธาต่อการทำคุณงามความดี ในทางตรงกันข้ามถ้าคุณสนธิไม่สู้แบบนี้เพื่อนร่วมงานเหล่านี้ก็คงก็ไม่มีเวทีเพื่อทำคุณงามความดีให้กับประเทศชาติและประชาชน และสุดท้ายคงเป็นผู้ที่ไร้จิตวิญญาณถูกพญามารครอบเอาตัยไปตามกระแสแห่งทุนสามานย์

สองสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นนี้ทำให้คุณสนธิมีกำลังใจไม่ถ้อถอย การโดนยิง 200 นัดแล้วรอดมาได้ได้เตือนสติคุณสนธิว่าชีวิตมีความไม่แน่นอนต้องเร่งทำคุณความดีให้กับประเทศชาติให้มากที่สุดในชีวิตที่เหลืออยู่ ส่วนความผิดในอดีต คนเราแกัไขอดีตไม่ได้ และโทษที่ถูกจำคุกถึง 85 ปี ไม่ใช่เป็นการฉ้อโกงใคร และธุรกิจก็ล่มสลายไปพร้อมกับวิกฤติเศรษฐกิจ แต่เมื่อเราทำผิดขั้นตอนที่กฎหมายบัญญัติก็ต้องยอมรับ และทำใจ ปล่อยให้เป็นไปตามกฎแห่งกรรม และต้องเข้มแข็ง เพื่อพี่น้องประชาชนไม่เสียกำลังใจ"

คนเรากระทำความผิดได้ แต่รู้สำนึกผิด ยอมยืดอกรับสารภาพผิด และพร้อมรับโทษ พร้อมกลับตัวแก้ไขมาทำให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติเป็นที่ประจักษ์แล้ว ย่อมน่านับถือมากกว่านักการเมืองเกือบทั้งหมดที่ไม่เคยรู้สำนึกผิด ไม่เคยสารภาพผิด ไม่เคยพร้อมรับโทษ ไม่เคยคิดกลับเนื้อกลับตัว และยังพยายามทำลายคนที่มาตัดสินตัวเองเสียอีก นักการเมืองเหล่านั้นสิ น่ารังเกียจหลายเท่านัก

ไม่มีความคิดเห็น: