PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558

ฟัง บิ๊กตู่ นินทา อ.น้อง....ตามประสา คนเกรงใจเมีย

ฟัง บิ๊กตู่ นินทา อ.น้อง....ตามประสา คนเกรงใจเมีย....ใครที่ดุกว่า บิ๊กตู่ และคำยืนยัน ที่จะไม่กลับมาเป็นนายกฯอีก และเชื่อ ไม่มีปฏิวัติอีก
นายก” ร่วมทานข้าวกับสื่อฯทำเนียบฯ ขอบคุณที่ลงข่าวเต็มที่ ยอมรับเป็นคนใจร้อน เกรงใจเมีย เผยพร้อมคุย สื่อต่างประเทศ ถ้าสื่อนอก อยากพบตอนไปประชุม UN ให้ทำเรื่องมา แต่ไม่รู้เวลาให้ไหม ได้ข่าวว่ามีติดต่อมาเหมือนกัน ระบุอยากให้ประเทศสงบ ยันไม่เป็นนายกแล้ว นายกคนนอกก็ไม่เอา เผยยังไม่มีชื่อประธานกรธ.
ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้า คสช. พร้อมด้วย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับสื่อมวลชนประจำทำเนียบฯ
โดยเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนได้พูดคุยและสัมภาษณ์ ซึ่งถือเป็นครั้งที่ 4หลังเข้ามารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ
สำหรับอาหารกลางวันในครั้งนี้ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สลน.) ได้จัดเตรียม ข้าวเหนียว -ไก่ย่างเขาสวนกวาง ข้าวขาหมูตรอกซุง ก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟวัดแขก ขนมจีนแกงเขียวหวานปลากรายป้าน้อย ถนนดินสอ ลอดช่องวัดเจษ ไอกรีมมหาชัย ผลไม้ เป็นต้น
นายกรัฐมนตรีกล่าวระหว่างร่วมรับประทานอาหารตอนหนึ่งว่า "วันนี้อยากทานอะไรเปรี้ยวๆ และเป็นคนที่ทานอะไรง่ายๆ เวลาทำงานอยู่บนตึกไทยคู่ฟ้าก็จะสั่งอาหารย่านตลาดนางเลิ้ง ข้าวแกงบ้าง ก๋วยเตี๋ยวบ้าง เพราะเป็นคนทานง่าย
บิ๊กตู่ เผย วัยเด็ก พ่อสอนให้ทำทุกอย่าง รีดผ้า พ่อเราเย็บเสื้อก็ได้ เย็บจักรก็เป็น เย็บกระดุมเสื้อได้ ทำกับข้าวก็เก่ง สอนเราทุกอย่าง ช่วงเด็กๆทำเอง "เด็กๆผมต้องทำทุกอย่างเอง รีดผ้า พ่อสอนทำหมด แต่วันนี้มีคนมาคอยดูแลให้จะได้มีแรงที่จะมาทำงานต่างๆ ให้กับประเทศ"เผย คุณพ่อเป็นคนดุ ผมก็ถูกตี ถ้าไม่ดุป่านนี้เสียคนไปแล้ว ถ้าทำผิดก็ตี ส่วนคุณแม่ใจดี ซึ่งตอนนี้พ่อก็ป่วยซึ่งก็เป็นไปตามวัยอายุ 92แล้ว
นายกรัฐมนตรีกล่าวระหว่างร่วมรับประทานอาหารตอนหนึ่งว่า "วันนี้อยากทานอะไรเปรี้ยวๆ และเป็นคนที่ทานอะไรง่ายๆ เวลาทำงานอยู่บนตึกไทยคู่ฟ้าก็จะสั่งอาหารย่านตลาดนางเลิ้ง ข้าวแกงบ้าง ก๋วยเตี๋ยวบ้าง เพราะเป็นคนทานง่าย
พลเอกประยุทธ์ เผยว่า ตั้งแต่เด็ก พันเอกประพัฒน์ คุณพ่อผมสอนให้ทำทุกอย่าง พ่อเราเย็บเสื้อก็ได้ เย็บจักรก็เป็น เย็บกระดุมเสื้อก็ทำได้ ทำกับข้าวก็เก่ง สอนเราทุกอย่าง ช่วงเด็กๆ ลำบากไม่มีใครมาทำอะไรให้ ต้องทำทุกอย่างเองตั้งแต่รีดผ้า
แต่วันนี้ก็มีคนมาคอยดูแลให้ก็จะได้มีแรงที่จะมาทำงานต่างๆ ให้กับประเทศ ไม่เคยคิดที่จะทำอะไรเพื่อตัวเอง
ยอมรับว่าคุณพ่อเป็นคนดุ ถ้าไม่ดุป่านนี้เสียคนไปแล้ว ถ้าทำผิดก็ตี ส่วนคุณแม่ใจดี ซึ่งตอนนี้ท่านก็ป่วยซึ่งก็เป็นไปตามวัยอายุ 92 ปีแล้วก็ต้องอ่อนแรงลงไป ความจำต่างๆ ก็ไม่ค่อยดีแล้ว แต่เรื่องเก่าๆ จะจำได้แม่น
"สำหรับผมสอนลูกก็มีตีบ้าง ถ้าทำผิดใช้มือตี แต่ตอนนี้โตแล้ว ไม่ตีแล้ว ช่วงเด็กๆ ก็มีดื้อบ้าง ซึ่งก็เป็นการสอนเราไปในตัวและทบทวนด้วยว่าขนาดลูกยังคิดไม่เหมือนเรา แล้วจะมาให้คนอื่นมาคิดแบบเราทั้งหมดคงไม่ได้ อยู่ที่ว่าจะร่วมมือกันได้ตรงไหน"
สิ่งที่เราพูดและรัฐบาลทำมาอาจจะไม่ถูกใจใครก็ได้ มีอะไรก็ให้เสนอเข้ามาไม่ใช่มาติทั้งหมดทั้งกระบวน ทุกคนก็รู้ปัญหาดังนั้นถ้าอยากได้อะไร แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ร่วมมือแล้วมันจะได้ได้อย่างไร เพราะฉะนั้นก็ต้องไปหาทางออกมา เพราะปัญหามันผูกพันกับคนทั้งประเทศ ถ้าคุยกันรู้เรื่อง ป่านนี้ไปได้ตั้งนานแล้ว อย่ามัวแต่คิดแต่เรื่องของตัวเอง แต่ก็โทษไม่ได้ เพราะเขายังยากจนอยู่ ซึ่งก็เป็นเรื่องปวดหัวให้ทั้งผมและคุณสมคิด มานั่งคิดแก้ปัญหาอยู่ในขณะนี้ คิดตลอดวัน ตลอดคืน จนท่านสมคิดเป็นห่วง ไม่อยากให้เครียด แต่สิ่งที่ผมเป็นห่วงมากก็คือเวลาข่าวออกไปต่างประเทศแล้วมันแก้ลำบาก ในความเป็นจริงเราควรจะแก้ปัญหาของเรา"นายกรัฐมนตรี กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่าวันนี้เกือบจะไม่ได้ลงมาร่วมทานอาหารด้วยแล้วเพราะยังรู้สึกงอนๆ อยู่ แต่จริงๆ ไม่ใช่หรอก ถ้าไม่ได้พูด ไม่เห็นหน้ากันก็คิดถึง เรามันคู่กันต่างคนต่างขาดกันไม่ได้ ถ้าไม่ได้พูดหรือโต้เถียงกันก็ปวดท้อง แต่ถ้าให้โมโหมากๆ เส้นโลหิตในสมองก็แตก
แต่โชคดีที่คนข้างๆ ผมทั้งท่านสมคิด พล.อ.สุรศักดิ์และพล.อ.วิลาส อรุณศรี เลขาฯ นายกรัฐมนตรี เป็นคนใจเย็น มีตนใจร้อนอยู่คนเดียว
เมื่อถามว่า เวลานายกฯ ใจร้อนและเผลอหลุดคำพูดต่างๆ ออกมา ภริยาดุหรือตำหนิบ้างหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวยอมรับว่า "ผมดุก่อน แต่พอเขาดุมา ผมก็สู้ไม่ได้ เขาเป็นอาจารย์ ผมเป็นลูกศิษย์ พอเวลาภรรยาผมดุ ผมก็เงียบ" ผู้สื่อข่าวชายจึงกระเซ้าว่า เจอแล้วคนที่นายกฯ กลัวที่สุดในประเทศ ทำให้นายกฯ หันย้อนถามกลับว่า "แล้วไม่กลัวหรือ ต้องเกรงใจด้วยนะ คือในบ้านมันควรจะไม่มีอะไร โมโหก็ไม่ได้อยู่แล้ว ยิ่งวันนี้เราโมโหอะไรไม่ได้เลย พอเข้าบ้านเราอยากให้บ้านเราสงบสุขสบายใจ"
ทั้งนี้พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวขอบคุณสื่อมวลชนว่าต้องขอบคุณทุกคนที่เสนอข่าวและลงความเห็นของตนเกือบทั้งหมดเพื่อให้ประชาชนเข้าใจเพราะไม่เช่นนั้น คนเพียงไม่กี่คนก็มาสร้างความวุ่นวายซึ่งตนก็รู้สึกเบื่อหน่าย ยิ่งสื่อไปเปิดพื้นที่ให้คนเหล่านี้ประชาชนก็จะเกิดความเข้าใจผิด และตั้งแต่ช่วงที่ตนเข้ามาทำงานเป็นนายกฯ ทำให้หนังสือพิมพ์ขายดีกว่าช่วงอื่นๆ เพราะคนชอบอ่านสิ่งที่พวกสื่อนำเสนอ

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ในงานการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นจีเอ) ในวันที่ 23 กันยายน – 1ตุลาคมที่จะถึงนี้ ว่าจะมีการไปพบสื่อต่างประเทศหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ย้อนถามว่า เขาจะมาพบตนหรือไม่เล่า ถ้าพบได้ก็จะพบ ให้เขาทำเรื่องมาซิ ถ้าพบก็พบ แต่ไม่รู้จะมีเวลาหรือเปลา ตนไม่เคยกลัวนักข่าวอยู่แล้ว ส่วนหัวข้อที่จะไปพูดที่การประชุมยูเอ็นนั้น เขามีให้มา 4-5 ข้อ แต่ตนได้เลือก 2หัวข้อที่ตรงกับของเรา คือเรื่องการแก้ปัญหาความยากจน และ ความยั่งยืน

เมื่อถามว่า มีหัวข้อเรื่องความยั่งยืน 15 ปี ใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ใช่ มันตรงกับของเรา ซึ่งเราก็พูดในวาระของยูเอ็น ในห้วง 2015เป็นต้นไป 15 ปี ใน 4 เสาหลัก แล้วเขาจะแบ่งย่อยออกมาที่ตนให้ร่างไว้ว่าประเทศของเรามีอะไรขึ้นมา ซึ่งตนพูดในนามของประชาคม พูดประเทศไทยอย่างเดียวไม่ได้ เพราะเราไปในนามของเวทีโลก ต้องพูดให้คนอื่นเขา แล้วเราค่อยยกตัวอย่างของเราว่ากำลังทำอย่างนี้อยู่ อย่างแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทุกคนชอบหมด คราวก่อนที่ให้รองนายกฯไปยังประเทศฟิจิ ทางนั้นก็พอใจ
เมื่อถามว่า เรื่องการเดินหน้าตามโรดแมปของเราจะมีการพูดให้ประชาคมโลกฟังในเวทียูเอ็นหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เขาไม่ได้อยู่ในวาระ จะพูดได้อย่างไรเล่า จะพูด 2-3ประโยคก็ไม่ได้เพราะไม่ได้อยู่ในวาระ ซึ่งเราก็พูดเพียงแค่ว่า เราทำเต็มที่ในการขับเคลื่อนประเทศไทย ให้ไปสู่การเป็นประชาธิปไตย ทุกอย่างเป็นไปตามโรดแมป ทำไมต้องไปอธิบายให้เขาเยอะ ทำไมต้องไปอธิบายเดือนไหน ปีไหน เมื่อไหร่ มันได้ก็ได้ ตนไม่ได้อยากจะครองอำนาจอะไรนักหนา วันนี้ไปดูว่ามีอะไรดีขึ้นมาบ้าง อย่าไปทบทวนว่าตนมาอย่างไร
“ผมมาทำให้ใครเล่า เพื่อนผมก็มาลำบากกับผมด้วย รัฐมนตรีทุกคนเขาก็ไม่ได้มาขอผมเป็นซักคน ผมเป็นคนเลือกเขาเอง ไม่มีใครมาวิ่งเต้นกับผม ผมก็ดูว่าใครดีก็ไปเชิญเขามา ที่ผ่านมาชุดที่แล้วเขาก็ทำในเรื่องแก้ปัญหาเดิม ออกกฎหมาย ก็ว่าไป แต่วันนี้จะมาลงในรายละเอียด ดูในเรื่องเล็กๆ และเรื่องใหญ่ไปด้วย ที่ผ่านมาปัญหามันเยอะ วันนี้ก็ยังเยอะอยู่ ลงไปจับข้างล่างก็เยอะกว่าเดิมอีก”
นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า จะทำอย่างไรให้ประเทศไทยมีที่ยืนในเวทีโลก ให้เขาเห็นประเทศไทย เห็นคนไทย เป็นเมืองแห่งการเจริญเติบโต ไม่ใช่ประเทศที่มีความขัดแย้ง เราไม่ใช่ประเทศที่รบกันทุกวัน เราอยากจะเป็นแบบนั้นหรือ ถ้าไม่แก้เราก็จะเป็นแบบนั้น ตนบอกไว้เลย ตนไม่อยากจะพูดว่ามันเลวร้ายหรือไม่ เพราะมันเป็นเรื่องของวัฒนธรรมทางการเมืองของเรา ที่ไม่เหมือนเขา ของเราจะมีอารมณ์เยอะหน่อย มีอารมณ์ โกรธ เกลียด รักเยอะ เลยทำให้ไม่มองเห็นในส่วนที่ควรจะเป็น ทุกคนก็ต้องทำตามใจตัวเองหมด ถึงตนจะดูแบบนี้ แต่ก็เป็นคนที่รับฟังหมด คุณไม่รู้หรือว่าบางอย่างนั้นตนแก้ไปตั้งเยอะ

นายกรัฐมนตรีกล่าวระหว่างรับประทานอาหารร่วมกับสื่อมวลชนว่า อยากให้บ้านเราสงบสุข กลับไปนั่งดูทีวีอย่างสบายใจ เพราะทุกวันนี้ดูทีวีไปก็เขียนงานไป เพราะกลัวว่าจะลืมไม่อย่างนั้นไม่ทันเวลา ต้องการให้ดูว่าเราทำงานให้เร็ว ให้เสร็จ
"ถ้าอยากให้อยู่ในอำนาจนาน ก็ทำไปเรื่อยๆ ทำติ๊งต๊องไปเรื่อยๆ วันๆไม่ต้องมทำอะไรมาก ไม่ต้องสั่งมาก ประชุมครม. ชั่วโมงเดียวก็เสร็จแล้ว นี่พูด 3-4 ชั่วโมง เริ่มเป็นร้อยเรื่องให้ไปถามข้าราชการดู ว่าวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง ต่างกันหรือไม่ ผมไม่ได้ว่าใครดีไม่ดี ผมขี้เกียจทะเลาะกับคนแล้ว ทันเหมาะสมกับสถานการณ์บางสถานการณ์ แต่ละประเทศ อย่างเช่นของผมอาจเหมาะสมกับสถานการณ์แบบนี้ เหมือนการตั้งคนต้องดูสถานการณ์วันนี้ว่าไปไหวไหม ส่วนตัวไม่ได้รังเกียจรังงอนใคร ไม่คิดไปสร้างฐานอำนาจ"นายกฯ กล่าว
นายกฯ กล่าวชี้แจงถึงการแต่งตั้งเลขาฯ สมช. ว่า ในเรื่องของรองเลขาฯสมช. ตนก็ได้ดูแล เรื่องก็จบแล้ว ซึ่งท่านก็เป็นภรรยาพี่ของตน เราต้องอย่าสอนให้คนมุ่งหวังแต่อำนาจ เพราะพอมีอำนาจทุกคนก็จะสั่งนู้นสั่งนี่คนไทยส่วนใหญ่อยากมีอำนาจ แล้วก็ใช้ไม่เป็นใช้ไม่ถูกต้อง ใช้ไปในทางที่ไม่สร้างสรรค์ เลยทำให้เกิดไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ
"อยากให้คนไทยสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันให้ได้ ถ้าเชื่อใจให้ผมทำ ก็ได้ทำงานของผมแต่ถ้าไม่เชื่อใจกันก็เปล่าประโยชน์ มีปัญหาไปหมด วันนี้อย่าไปแยก เว้นแต่เขาจะแยกตัวออกไป มีแต่เขามาแตะผมก่อน ผมบอกผมไม่ทะเลาะกับใคร ก็ยังพยายามมาเล่นงานผมอยู่ได้ทุกวัน อาจารย์สมคิดก็บอกผมว่าอย่าไปสนใจเลยครับ พอไม่สนใจหลก็เลยมาโมโหสื่อแทน แต่ผมก็รู้ ต้องให้กำลังใจกัน ทิ้งกันไม่ได้อยู่แล้ว ไม่มีช่วงไหนหนังสือพิมพ์จะขายดีเท่ากับตอนผมอยู่ส่วนหนังสือพิมพ์ไหนขอบมากๆ ก็อ่านก่อน ชอบน้อยก็อ่านทีหลัง ผมอ่านทุกคอลัมน์ รู้หมดใครเขียนอะไร คิดอย่างไร มีทั้งสองข้าง ไอ้สะเก็ดไฟตัวดี"นายกฯ กล่าว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าไปจีบนายสมคิด อย่างไรจึงยอมมาร่วมงานด้วย นายกฯ กล่าวว่า ไปบอกท่านว่ามาทำเพื่อประชาชน ไม่ได้ทำเพื่อตนหรือ คสช. ก่อนที่ตนจะสร้างความไว้วาวใจกับประชาชน ก็ต้องสร้างความไว้วางใจกับพี่ๆ ที่มาร่วมงานก่อน อธิบายให้ฟังว่าเข้ามาเพื่ออะไร จำเป็นต้องมีทหารอยู่เพื่ออะไร เพราะบางกระทรวงต้องเร่งงาน วันนี้จึงต้องปรับวิถีการทำงานของข้าราช ให้บูรณาการมากขึ้น เห็นได้ว่ากระทรวงหลักๆต้องให้ทหารลงไป ส่วนกระทรวงที่ต้องเร่งรัดด้านเศรษฐกิจก็ต้องให้อาจารย์สมคิดไปดูแล
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวหันไปสอบถามนายสมคิดว่ากังวลหรือไม่ที่เข้ามาในช่วงนี้ นายสมคิด กล่าวว่า ไม่กังวล เพราะเข้ามาทำเพื่อประเทศชาติ และเพื่อนายกฯ
เมื่อถามถึงกรณีการปล่อยตัวกลุ่มนักการเมือง หลังคสช. เรียกควบคุมตัวไปปรับทัศนคติ นายกฯ กล่าวว่า หลังจากนี้สัญญาอะไรก็ต้องทำตามสัญญากันบ้าง เขาบริหารราชการมาด้วยกัน แล้ววันนี้ประเทศชาติมีปัญหา เขาก็ต้องเวลาไปแก้ปัญหาในช่วงเวลาของเขา วันนี้ไม่ใช่เวลาของเขา ไม่ใช่วันที่เลือกตั้ง ถ้าเลือกตั้งชนะก็เข้ามา แล้วจะมาพูดทำนองให้ร้ายรัฐบาลไม่ได้ เพราะตนไม่ห่วงว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ห่วงว่าประชาชนจะตื่นตระหนก ถามว่าจะทำง่ายๆ แจกเงินแล้วก็เลิก มานั่งคอย แล้วแจกใหม่อีก ตนไม่ได้ทำงานแบบนั้น 

ผู้สื่อข่าวถามว่าระยะกว่า 1 ปีที่ผ่านมา ยังมีงานอะไรที่ติดขัดหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า มีเรื่องเศรษฐกิจ เพราะไม่ใช่ซื้อของขายของธรรมดา แต่มีความผูกพันกับต่างประเทศ และสิ่งท้าทายต้องปรับปรุงใหม่อีกมาก ต้องไปด้วยกัน ซึ่งเราจะมีมาตรการช่วยเหลือ แรงจูงใจและแนะนำภาคอุตสาหกรรมเข้าครม. ในสัปดาห์หน้า ส่วนมาตรการที่ให้คนกล้าใช้เงินก็อยู่ที่สื่ออย่าเขียนให้สร้างความเสียหาย โจมตีให้เศรษฐกิจตกต่ำ สื่อสารกันแบบนี้ทุกวัน คนจนก็ยิ่งไม่กล้าใช้ คนกลางๆ ก็ไม่กล้าใช้ไปด้วย

ผู้สื่อข่าวถามว่า อีก 20 เดือน คนจะเบื่อนายกฯ หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่ต้องมาเบื่อตน เพราะทุกวันนี้ก็เบื่อตัวเองอยู่แล้ว บอกแล้วว่าอยู่มากอยู่น้อยก็แล้วแต่ แต่ถามว่าวันเวลาที่อยู่วันนี้คุ้มกับที่อยู่หรือไม่ ทุกวันนี้ปัญหาทับซ้อน เราก็พร้อมส่งต่อให้คนในวันหน้า แต่ต้องถามว่าเขาจะทำหรือไม่
เมื่อถามว่าถ้าได้นักการเมืองหน้าเดิมกลับมาจะทำอย่างไร นายกฯ กล่าวว่า จะให้ทำอย่างไรอำนาจเป็นของทุกคนในการเลือกตั้ง เมื่อถามย้ำว่า ทหารจะเข้ามาอีกในอนาคตหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่มีแล้ว เพราะสถานการณ์เปลี่ยน โลกล้อมประเทศอยู่ใครจะเข้ามาก็ต้องพยายามไม่ให้เกิดขึ้นอีก หากเกิดสถานการณ์เหมือนเดิมอีกก็ไม่เกี่ยว กลับบ้านแล้ว เรื่องทุกอย่างขึ้นอยู่กับทุกคน ไม่ต้องมากลัวนายกฯคนนอก ตนไม่เป็นแน่นอน

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้ามีประชาชนเรียกร้อง นายกฯ กล่าวว่า ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะตนรู้ทำอะไรได้แค่ไหน ฉะนั้นถ้าตนทำสำเสร็จมันก็จบในห้วงที่ตนอยู่ ถ้าไม่เสร็จก็หาคนมาทำใหม่
ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงความเป็นไปได้ในการเลื่อนระยะเวลาโรดแมป 6-4-6-4 ว่า เป็นสิ่งที่ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯประเมินให้ฟังในฐานะนักกฎหมาย ตนไม่สามารถพูดแทนได้ เมื่อนักกฎหมายประเมินมาว่าลดได้แค่ไหน เราก็บอกไปว่าลดได้ก็ลด ซึ่งจากที่นายวิษณุบอกมาว่าสามารถลดได้ก็จะเป็นประมาณนี้ จากที่ข่าวออกมา ไม่ใช่ตนไปสั่ง ก็บอกแล้วว่า 20 เดือนก็ 20เดือน รัฐธรรมนูญประกาศใช้ออกไปได้ก็ 20เดือน หรือน้อยกว่านั้น แต่ถ้าประเด็นรัฐธรรมนูญไม่ผ่าน ตนคิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะทำอย่างไร 

เมื่อถามว่า ถ้า 20 เดือน ตามโรดแมป จะมีการเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคม 2560ใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า มั้ง จำไม่ได้แล้ว ก็นับไปซิ 20 เดือน เขากำหนดไว้แล้ว กรกฎาคม 2560ถ้ามันเร็วกว่านั้นได้ในการตัดทอนแต่ละขั้น
ลดไปได้อย่างละครึ่งเดือนบ้าง รวมกันกี่เดือนตนก็ไม่รู้
เมื่อถามว่าโควตาสัดส่วน สมาชิกสภาขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศ(สปท.) เป็นอย่างไร นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ตนปรับทุกวัน ส่วนชื่อประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญนั้น ตอนนี้ยังไม่มี

ไม่มีความคิดเห็น: