PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2559

"ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้ มันเป็นคนละเรื่องเดียวกันทั้งสิ้น"

วันอังคารที่ 26 มกราคม 2559 เวลา 16.00 น.
บทความจากคุณ สนธิ ลิ้มทองกุล
เจ้าคุณเสนาะ (นายเสนาะ - ธัมมชโย - สมเด็จช่วง (รักษาการสมเด็จพระสังฆราช) - วิษณุ เครืองาม - สมเด็จเกี่ยว - มหาเถรสมาคม - ตุ๊กตาลูกเทพ)
"ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้ มันเป็นคนละเรื่องเดียวกันทั้งสิ้น"
นายเสนาะ (เจ้าคุณเสนาะ) ปาราชิก มาตั้งแต่โดนจับได้ ว่าทุจริต และโกงเงินไป 67 ล้านบาท แต่ก็ได้มีการช่วยเหลือกัน เพียงแค่ปลดออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสระเกศ ทั้งๆที่การกระทำดังกล่าวนั้น เป็นปาราชิก

นายเสนาะ เป็นพระมือขวา คนสนิทของสมเด็จเกี่ยว - สมเด็จพระพุฒาจารย์ - อดีตรักษาการณ์สมเด็จพระสังฆราช ที่มรณภาพไปแล้ว
นายเสนาะ สมัยที่ยังเป็น เจ้าคุณเสนาะ มีสมณะศักดิ์ เป็นพระเถระชั้นพรหม ซึ่งชั้นต่อไปก็จะเป็นสมเด็จ กลายเป็นพระมหาเถระชั้นผู้ใหญ่ ที่สามารถมีสิทธิ์มีเสียงในมหาเถระสมาคมได้
สมเด็จเกี่ยว ได้ส่งนายเสนาะ ไปรักษาการเจ้าอาวาส วัดโสธรฯ นายเสนาะขณะนั้น ก็เอาสีกาคนหนึ่ง ที่มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับตนเองเป็นพิเศษ เข้าไปดูแลผลประโยชน์ของวัดโสธรฯ จนมีเรื่องมีราวกันขึ้น เป็นที่ฉาวโฉ่ มีการเอาเงินที่ประชาชนบริจาคให้วัดโสธรฯ เข้าพกเข้าห่อ แต่เรื่องราวก็เงียบหายไป เพราะนายเสนาะ เป็นคนใกล้ชิดสนิทสนมกับสมเด็จเกี่ยว ซึ่งเป็นผู้อุปถัมภ์ ธัมมชโย และลัทธิธรรมกายมาโดยตลอด
นายเสนาะ ถูกจับได้ว่าทุจริต เงิน 67 ล้านบาท จากการที่ไปเบิกเงิน 67 ล้านบาท เพื่อมาซื้อโต๊ะหมู่บูชา เอาไปแจกวัดต่างๆทั่วประเทศ ทั้งๆที่ในข้อเท็จจริงแล้ว มีประชาชนผู้มีจิตศรัทธาได้บริจาคโต๊ะหมู่บูชาให้จนครบจำนวน
การทุจริตโต๊ะหมู่บูชา จากนายเสนาะ ไม่ได้ต่างกว่าการทุจริตในเรื่องอุทยานราชภักดิ์ ซึ่งมีการอ้างว่า ได้ซื้อต้นปาล์มมาต้นละ 3 แสนบาท แต่ก็มีผู้บริจาคต้นปาล์มออกมายืนยันว่า ต้นปาล์มทุกต้นในอุทยานราชภักดิ์นั้น มีผู้บริจาคให้ฟรี ไม่ต้องเสียเงิน เสียแค่ค่าขนส่งเท่านั้น
การปลดนายเสนาะออกจากเจ้าอาวาส วัดสระเกศ นั้น มหาเถระสมาคม ไม่มีทางเลือกเพราะผู้ตรวจพบการทุจริตครั้งนี้คือ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ถึงอย่างนั้นเถอะ แม้แต่ความผิดขนาดนี้ ซึ่งถือว่าต้องปาราชิกแล้ว ก็ยังลงโทษสถานเบา เพียงแค่ให้ปลดออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสเท่านั้น
มิหนำซ้ำ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ก็ยังออกมาให้สัมภาษณ์ ให้ท้ายนายเสนาะอีกว่า ไม่ผิด เพราะได้คืนเงินให้วัดไปเรียบร้อยแล้ว เหมือนกับที่สมเด็จช่วง ฯบอกว่า ธัมชโย ไม่ผิด เพราะได้คืนเงินที่ยักยอกมาให้หมดแล้ว
สาธุชนที่รู้เรื่องนี้ ติดตามข่าวเรื่องนี้ และศึกษาเรื่องนี้ ก็ย่อมมีความท้ออก ท้อใจ ที่วันนี้ชาติบ้านเมือง ไม่มีอะไรเหลือ จะให้เป็นที่พึงอย่างถูกต้องเป็นธรรมอีกต่อไปแล้ว
เมื่อโรงเรียนก็โกง วัดก็โกง ครูอาจารย์ก็โกง พระมหาเถระชั้นสูงก็โกง แล้วยังมีคนระดับพระมหาเถระชั้นผู้ใหญ่ ชั้นสมเด็จ - รักษาการสมเด็จพระสังฆราช ตลอดไปจนถึงรองนายรัฐมนตรี ที่เชี่ยวชาญและรู้เรื่องทางกฎหมาย ยังร่วมให้ท้าย เห็นดีเห็นชอบกับพระที่ทำผิดศีลข้อ 2 เรื่องเอาทรัพย์สมบัติที่ไม่ได้เป็นของตัวเอง (อทินนาทานา เวรมณีสิกขาปทัง สมาทิยามิ) มาเป็นของตัวเอง
ทหารที่มีเกียรติ์ ยศ พล.ต. -พล.ท. -พล.อ. ก็โกงจากโครงการอุทยานราชภักดิ์
ทั้งหมดนี้แล้ว เราจะมาโทษความด้อยปัญญาของสังคมไทยได้อย่างไรว่า ป่วยทางจิต เอาตุ๊กตายาง มาบูชา แล้วเรียกว่า ตุ๊กตาลูกเทพถ้ามองตามหลัก ปฎิจจสมุปบาท (อิทัปปัจจยตา) คนที่มีธรรมในใจ ก็ต้องถามตัวเองว่า ตุ๊กตาลูกเทพนี้ พ่อแม่มาจากไหน ถ้าพ่อแม่มาจากเทวดาชั้นพรหม ก็ต้องไปถามเรื่องตำนานเทพพรหมอีกครั้ง ว่า เทวดาชั้นพรหมนั้น เป็นเทวดาที่ไม่มีเพศ หรือเป็นเพศชายทั้งหมด แล้วตุ๊กตาลูกเทพ ที่คนโง่ คลั่งกันนี้ มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ?
และทำไมคนไทยมันถึงโง่ จนกระทั่งไม่รู้ความลึกของความโง่ ที่วัดไม่ถึงจริงๆว่า มันโง่กันขนาดนี้ได้อย่างไร รวมไปถึงบรรดาพระสงฆ์องค์เจ้า ที่วิปริตหนัก เข้ามาทำพิธีปลุกเสกตุ๊กตาลูกเทพ เพื่อให้ดูขลัง จะได้เอาไปขายในเชิงพาณิชย์ ให้ได้ราคาสูง โดยอ้างว่าปลุกเสกมาแล้ว
พระสงฆ์องค์เจ้า (ผมแทบไม่อยากเรียกว่าพระ เสียด้วยซ้ำ) ก็วิปริตไม่ใช้ธรรมพิจารณา ใช้ความโง่ ใช้กิเลส เข้ามาทำสังฆกรรม ที่ผิดๆ มาสวดมนต์คาถา เพื่อปลุกเสกตุ๊กตายางเหล่านี้
เมื่อมองเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว มองไปที่นายเสนาะ (เจ้าคุณเสนาะ อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศ)
มองไปที่ธัมมชโย (คนที่สร้างจรวดจำลอง และค้อนทองจำลอง เพื่อให้พุทธศาสนิกชนบริจาคเงินเพื่อจะได้ขึ้นสวรรค์ - และบอกว่า ผู้ใดเสียเงินเสียทองทำบุญ มีระดับชั้นของสวรรค์เป็นอัตราส่วนกับระดับเงินทำบุญบริจาคที่จ่ายไป - ยิ่งทำบุญมาก ยิ่งขึ้นสวรรค์ได้มาก - และยังบอกว่าตัวเองได้ไปพบกับสตีฟ จ๊อบ และได้ทำบุญตักบาตรให้พระพุทธเจ้า ฯลฯ)
มองไปที่สมเด็จเกี่ยว (สมเด็จพระพุฒาจารย์ ที่มรณภาพไปแล้ว ที่ให้การสนับสนุน ธัมมชโย และนายเสนาะ ตลอดจนสมเด็จช่วง วัดปากน้ำ ที่ออกมาปกป้องธัมมชโย)
เมื่อมองไปที่ นายวิษณุ เครืองาม ที่เป็นต้นเหตุและตัวการตั้งสมเด็จเกี่ยวฯ ขึ้นมา เป็นรักษาการณ์สมเด็จพระสังฆราช แทนสมเด็จญาณสังวรฯ
เมื่อมองไปที่ อุทยานราชภักดิ์ ที่โกงกินกัน และบรรดาผู้มีอำนาจทั้งหลายออกมาช่วยกันปกป้องว่า ไม่มีอะไรผิดปกติ
เช่นเดียวกับที่ มหาเถระสมาคม ตลอดจนนายวิษณุ เครืองาม ที่บอกว่าธัมมชโย และนายเสนาะ ไม่ผิด เพราะคืนเงินแล้ว
เมื่อมองไปที่ ผู้อำนวยการ โรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ ที่ต้องมากราบนักเรียนชั้น ม. 6
ฯลฯ
เพียงแค่นี้สังคมไทย ไม่ใช่เป็นสังคมที่ไม่สบายอย่างเดียวเท่านั้น ยังเป็นสังคมที่นอกจากจะด้อยปัญญาแล้ว ยังบ้าอีกต่างหาก
ก็ไม่น่าประหลาดใจใดๆทั้งสิ้น ที่จู่ๆคนบ้า และคนป่วย เอาตุ๊กตายางมาบูชา และบอกว่าเป็นตุ๊กตาลูกเทพ
ก็คงอีกไม่นานหรอก ก็อาจจะมีคนบ้าเอารูปศิวะลึงค์ ของพระศิวะมาบูชา เพื่อความเป็นสิริมงคล
สังคมไทยไม่มีที่พึ่งพาทางใจจริงๆ
คนอย่างนายเสนาะ (พระชั้นพรหม) เป็นผู้ที่เชี่ยวชาญ และสอนหลักปริยัติ ให้กับพระภิกษุสงฆ์ ยังตัดสินใจฆ่าตัวตาย ทั้งๆที่ ในหลักพุทธศาสนาแล้ว อย่าว่าแต่พระเลย คนที่ฆ่าตัวตายนั้น จะถูกปิดประตูสวรรค์ และต้องลงนรกลูกเดียว ยิ่งเป็นพระที่ฆ่าตัวตาย ยิ่งเลวกว่าคนที่เป็นฆราวาสฆ่าตัวตายเสียอีก เพราะตัวเองต้องรู้ ยิ่งสอนหลักปริยัติแล้ว ต้องรู้ว่ากรรมของการฆ่าตัวตายนั้นมันคืออะไร
ตัวเองเป็นถึงพระชั้นพรหม สอนหนังสือพระทางปริยัติ ตัวเองยังไม่เข้าใจ และจะไปตำหนิพวกโง่ๆ ที่มันเอาตุ๊กตายางมาบูชาเป็นเทพเป็นเจ้าได้อย่างไร
ยิ่งมองเรื่องราวต่างๆ ยิ่งใช้ธรรมพิจารณา แต่ละเรื่องแล้ว ยิ่งเห็นได้ชัดว่า มหาเถระสมาคม คือ สมาคมแห่งการรวมกิเลส
คนที่นั่งอยู่ในนั้น ล้วนแล้วแต่ได้สมณะศักดิ์มา ด้วยการใช้กิเลสเกือบทั้งสิ้น
ยิ่งมองมหาเถระสมาคมวันนี้ ทำให้เห็นว่า ไม่ได้ต่างกว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติเลย
มองพระชั้นราช - ชั้นเทพ - ชั้นพรหม - ชั้นสมเด็จ มองแล้ว เส้นทางที่จะขึ้นสมณะศักดิ์ แต่ละขั้นๆนั้น เป็นเส้นทางที่ไม่ต่างไปกว่า พ.ต.อ. ขึ้น พล.ต.ต. - พล.ต.ต. ขึ้น พล.ต.ท. - พล.ต.ท. ขึ้น พล.ต.อ. ที่ถ้าไม่ใช้กิเลส เพื่อผลักดันตัวเองแล้ว ตัวเองก็จะไม่มีวันที่จะได้ขึ้นสู่ตำแหน่งใหญ่สมณะศักดิ์ กับพัดยศ ก็เช่นกัน

ก็เลยไม่ต้องประหลาดใจว่าทำไมพระดีๆ อย่างท่านเจ้าคุณพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตโต) ปราชญ์ทางศาสนาพุทธแห่งประเทศไทย มหานิกาย ทำไมถึงไม่ได้ขึ้นสมเด็จซักที หรือพระพุทธทาส ซึ่งเป็นมหานิกาย เหมือนกัน ก็ยังเป็นพระพุทธทาสเหมือนเดิม ไม่ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในมหาเถระสมาคม

ก็ไม่ได้ต่างกับตำรวจดีๆ ที่ซื่อสัตย์ กล้าหาญ มีคุณธรรม ไม่กลัวอำนาจอิทธิพลใดๆทั้งสิ้น ก็จะไม่ได้รับการแต่งตั้ง ให้มีอำนาจสูงขึ้นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ฉันท์ใดฉันท์นั้น
ด้วยเหตุนี้ มหาเถระสมาคมวันนี้ ไม่ใช่เป็นที่รวมสงฆ์ที่มีประสบการณ์ ในทางธรรม แต่กลับเป็นที่รวมสงฆ์ส่วนใหญ่ ที่หมกมุ่น และใช้กิเลส เพื่อทำให้ตนเองก้าวขึ้นมาอยู่ในมหาเถระสมาคม
คนอย่างท่านเจ้าคุณพรหมคุณาภรณ์ (ท่านประยุทธ์ ปยุตโต) หรือคนอย่างท่านพุทธทาส หรือคนอย่างท่านปัญญานันทภิกขุ ฯลฯ คนพวกนี้จะไม่มีวันที่จะได้เข้าไปบริหารจัดการกับสงฆ์ เพราะคนพวกนี้เป็นคนที่ใช้ธรรมนำหน้า สำหรับคนพวกนี้แล้ว ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่าธรรม
เพราะธรรมเป็นคำตอบ
เพราะธรรมเป็นสรณะ
สองสามวันที่ผ่านมานี้ มีพระ 2 องค์ที่มรณภาพไป องค์หนึ่ง ก็คือ นายเสนาะ ที่ฆ่าตัวตายจะด้วยสำนึกผิด หรือจะด้วยอะไรก็ตามแต่ นายเสนาะเป็นตัวอย่างรอยด่างทางวงการสงฆ์ ที่เมื่อดูให้ดีๆแล้ว สามารถจะเห็นเครือข่ายของสงฆ์ชั่วๆ ที่เอาหน้ากากความดีมาใส่ แล้วหลอกตัวเองว่า ตัวเองเป็นสงฆ์ที่ดี
อีกองค์หนึ่งที่เพิ่งมรณภาพไป คือหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน ซึ่งการมรณภาพของท่าน แตกต่างกับการฆ่าตัวตายของนายเสนาะ ราวฟ้ากับดิน
หลวงพ่อจรัญ เป็นพระอริยะสงฆ์ เคยเป็นพระธุดงค์มาก่อน เมื่อมีวัดเป็นของตัวเอง ก็สอนให้พุทธศาสนิกชน ได้เข้าใจหลักพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สอนให้ประชาชนเน้นการภาวนาสมาธิ การปฏิบัติธรรม เน้นไปที่การฝึกจิต ท่านเคยบริจาคเงินก้อนใหญ่ ให้กับการกุศล เงินที่ญาติโยมมีจิตศรัทธามอบให้ท่าน ท่านเอาไปทำบุญทำกุศลทั้งหมด
หรือหลวงตามหาบัวญาณสัมปันโน ที่เอาเงินที่ประชาชนมีศรัทธามาร่วมทำบุญ ซื้อทองคำเพื่อไปช่วยชาติ ในยามที่ชาติวิกฤติ และยังมีอีกหลายองค์ พระ 2 กลุ่มนี้ ช่างต่างกันราวกับสวรรค์ และนรก กลุ่มหนึ่ง ยึดถือธรรมพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ และปฏิบัติด้วยศีลที่บริสุทธิ์ อีกกลุ่มหนึ่ง ยึดกิเลสเป็นสรณะ และใส่หน้ากากธรรมเอาไว้หลอกชาวบ้าน
หลวงตามหาบัว ท่านเคยพูดกับผมว่า พระมหากษัตริย์อ่อนแอ ศาสนาก็อ่อนแอ
ศาสนาอ่อนแอ พระมหากษัตริย์ก็อ่อนแอ
หลายปีที่ผ่านมานี้ พระมหากษัตริย์สุขภาพพลานามัยไม่สมบูรณ์ เจ็บไข้ได้ป่วยตลอด ศาสนาก็เลยพลอยอ่อนแอตาม
และถ้าพวกเรายังไม่เข้ามาร่วมกันต่อสู้ เพื่อทำให้ศาสนานั้นเข้มแข็ง ในที่สุดแล้ว ก็จะเป็นภัยต่อสถาบันกษัตริย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
วันนี้ จริงๆแล้วศาสนาไม่ได้อ่อนแอ แต่เป็นวิกฤติของสงฆ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ ที่น่าเสียดาย ควรจะเป็นคนที่มาสั่งสอนสังคมไทย ให้รู้จักบาป บุญ คุณ ชั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระดับพระมหาเถระ
แต่พวกเขาส่วนใหญ่ กลับละเลย และส่งเสริม ให้พระละทิ้งธรรม และยึดกิเลส เป็นตัวตั้ง วันนี้สาธุชนไม่ต้องเข้าวัดทำบุญกับพระก็ได้ ถ้าเรามีพระที่ไม่มีศีล ซึ่งก็จะไม่มีธรรม เราจะไปเสียเวลากับเรื่องพวกนี้ทำไม สู้เรารักษาจิต รักษาใจ ของเรา ให้นิ่ง ให้สงบ ยึดถือพระธรรมคำสั่งสอนเป็นสรณะ และพยายามปฏิบัติตนให้เป็นไปในทิศทางที่พระธรรมคำสั่งสอนนำทางเราให้ดีที่สุด
ทุกวงการวันนี้ เราพึ่งไม่ได้เลย แม้แต่วงการเดียว
มันวิปริต และมันบ้าไปหมด
พระไม่เป็นพระ
ทหารไม่เป็นทหาร
ครูไม่เป็นครู
นักเรียนไม่เป็นนักเรียน
มันเป็นบ้ากันไปหมดแล้ว
รีบดูแลตัวเอง รักษาจิตใจตัวเองให้นิ่ง ให้สงบ จะเป็นทิศทางที่ดีที่สุด...
26 มกราคม 2559
สนธิ ลิ้มทองกุล
เเล้วพบกันในรายการ มองโลก มองเรา กับสนธิ เร็วๆนี้ ...

ไม่มีความคิดเห็น: