PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

คดีจ้างพรรคเล็ก

คุกจ้างพรรคเล็กลงเลือกตั้ง ปลาซิวโดน‘ธรรมรักษ์’รอด
Thursday, February 4, 2016 - 00:00

ศาลฎีกาพิพากษาคดีจ้างพรรคเล็กลงเลือกตั้งปี 2549 สั่งจำคุกเจ้าหน้าที่ กกต. 3 ปี 4 เดือน และจำคุกอดีต 3 ผู้สมัคร ส.ส.พรรคพัฒนาชาติไทยคนละ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา พร้อมออกหมายจับ "ชวการ-สุขสันต์" ที่ยังหลบหนี ขณะที่ "พล.อ.ธรรมรักษ์" รอดหลังชั้นอุทธรณ์ให้ยกฟ้อง โดยอัยการโจทก์ไม่ยื่นฎีกาต่อ

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 3 กุมภาพันธ์ ที่ห้องพิจารณาคดี 913 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำ อ.961/2553ที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 5 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อายุ 76 ปี อดีต รมว.กลาโหม และกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย, นายอมรวิทย์ สุวรรณผล อดีตเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิจัยและพัฒนาระบบบริหารฐานข้อมูลพรรคการเมือง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.), นายชวการ หรือกรกฤต โตสวัสดิ์ อดีตสมาชิกพรรคพัฒนาชาติไทย, นายสุขสันต์ หรือจตุชัย ชัยเทศ อดีต ผอ.การเลือกตั้งพรรคพัฒนาชาติไทย และนายบุญทวีศักดิ์ อมรสินธุ์ อดีตหัวหน้าพรรคพัฒนาชาติไทย เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานกระทำผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 6 และ 11

โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2553 สรุปว่า ระหว่างวันที่ 2-7 มีนาคม 2549 ต่อเนื่องกัน จำเลยที่ 1 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 3 จ้างวานให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพนักงานสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต โดยมอบเงินค่าตอบแทนให้จำเลยที่ 2 จำนวน 30,000 บาท ให้ดำเนินการตัดต่อเปลี่ยนแปลงแก้ไขรายชื่อ ข้อมูลสมาชิกของพรรคพัฒนาชาติไทยที่ไม่มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากเป็นสมาชิกพรรคพัฒนาชาติไทยไม่ครบ 90 วัน ตามที่กฎหมายกำหนด เหตุเกิดที่แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง,แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร และแขวงรองเมือง เขตปทุมวัน กทม. เกี่ยวพันกัน

สำหรับคดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2555 ว่า จำเลยที่ 1, 3-5 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 11 ให้จำคุกคนละ 3 ปี 4 เดือน ส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ กกต. มีความผิดตาม พ.ร.บ.เดียวกัน มาตรา 6 ให้จำคุก 5 ปี โดยไม่รอลงอาญาทั้งหมด และให้ริบเงินสดของกลางจำนวน 30,000 บาท ต่อมาจำเลยที่ 1-5 ยื่นอุทธรณ์

โดยศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2557 ว่า นายอมรวิทย์ จำเลยที่ 2 โจทก์มีพยานซึ่งเป็นผู้บริหารและพนักงานของ กกต.เบิกความสอดคล้องกันว่า การจัดทำบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับสมาชิกพรรคการเมือง จะมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับผิดชอบและเป็นบุคคลเดียว ที่มีรหัสผ่านระบบคอมพิวเตอร์เพื่อบันทึกข้อมูล ขณะที่เมื่อได้มีการตรวจสอบเปรียบเทียบฐานข้อมูลสมาชิกของพรรคพัฒนาชาติไทย ที่เคยแจ้งกับ กกต.ไว้เพียงครั้งเดียวเมื่อปี 2548 กับข้อมูลที่มีการบันทึกในระบบคอมพิวเตอร์ ปรากฏว่าแม้ตัวเลขที่กำกับลำดับที่ของข้อมูลสมาชิกพรรคจะตรงกัน แต่ได้มีการเปลี่ยนแปลงรายชื่อ ผลจากการตรวจสอบคอมพิวเตอร์ มีการบันทึกข้อมูลสมาชิกพรรคอีกครั้งในวันที่ 7 มีนาคม 2549 เวลา 09.30 น. และโอนถ่ายข้อมูลเสร็จสิ้น ในเวลา 10.44 น. ซึ่งจำเลยที่ 2 ก็ยอมรับว่า เป็นผู้บันทึกข้อมูลดังกล่าว ส่วนเงิน 30,000 บาท ที่จำเลยที่ 5 มอบให้เป็นเพียงการอำนวยความสะดวกนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 2 ได้ปฏิบัติหน้าที่มานานกว่า 2 ปีเศษ ย่อมที่จะเข้าใจขั้นตอนการปฏิบัติที่ต้องเสนอผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น เพื่อพิจารณาก่อนการบันทึกข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์

แต่พบว่า จำเลยที่ 2 ได้เดินทางไปรับข้อมูลสมาชิกพรรคพัฒนาชาติไทย จากนายบุญทวีศักดิ์ จำเลยที่ 5 ที่แยกลำสาลี ในยามวิกาล ถือว่าผิดวิสัยและผิดปกติ และยังมีการรีบเร่งบันทึกข้อมูลในวันรุ่งขึ้นตั้งแต่ช่วงเช้า ที่สำนักงาน กกต.ได้เปิดเวลาทำการ โดยจำเลยที่ 2 ไม่ดำเนินการตามขั้นตอนบันทึกเลขสารบรรณและเสนอผู้บังคับบัญชาก่อน ส่วนจำเลยที่ 3-5 ที่เป็นสมาชิกและผู้บริหารพรรคพัฒนาชาติไทยนั้น ปรากฏว่าช่วงเกิดเหตุได้มีการประชุมพรรค ดังนั้น น่าเชื่อว่าจะได้ร่วมรู้เห็น เรื่องที่จำเลยที่ 5 นำเงิน 30,000 บาท มอบให้จำเลยที่ 2 เพื่อสนับสนุนการกระทำดังกล่าว

จึงพิพากษาลงจำคุกนายอมรวิทย์ จำเลยที่ 2 เป็นเวลา 3 ปี 4 เดือน ส่วนจำเลยที่ 3-5 เห็นควรแก้โทษจำคุกคนละ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ส่วน พล.อ.ธรรมรักษ์ จำเลยที่ 1 เห็นว่าแม้โจทก์จะมีหลักฐานเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดที่ได้จากศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม ที่พวกจำเลยเดินอยู่บนระเบียง โดยภาพช่วงที่เข้าไปยังกระทรวงกลาโหมและออกจากกระทรวงกลาโหมแตกต่างกันตรงที่ปรากฏซองสีขาวในมือของบุคคลที่ปรากฏในภาพวงจรปิด แต่โจทก์ก็ไม่มีประจักษ์พยานเบิกความยืนยันว่าพวกจำเลยได้เข้าไปพบจำเลยที่ 1 ภายในห้องรับรองและจำเลยที่ 1 จะเป็นผู้มอบซองที่อาจจะมีการบรรจุเงินในซองดังกล่าวให้กับจำเลยที่ 3 เพื่อไปมอบต่อให้กับจำเลยที่ 4 และ 5 นำไปให้จำเลยที่ 2 จริงหรือไม่

ขณะที่จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธมาโดยตลอด คงมีเพียงคำให้การของจำเลยที่ 3 และ 4 ในชั้นสอบสวนเท่านั้นว่าไปพบจำเลยที่ 1 ซึ่งคำให้การดังกล่าวเสมือนเป็นคำซัดทอดของผู้ต้องหาด้วยกัน จึงต้องรับฟังด้วยความระมัดระวังเพราะคดีมีอัตราโทษจำคุกสูงถึง 10 ปี ซึ่งในชั้นสืบพยานจำเลยที่ 3 และ 4 ก็ไม่ได้เบิกความยืนยันตามคำให้การชั้นสอบสวน พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมา ยังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 3-5 สนับสนุนจำเลยที่ 2 กระทำผิด จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัย ตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1

อย่างไรก็ดี ในวันนี้ เมื่อถึงเวลานัด นายอมรวิทย์ จำเลยที่ 2 ซึ่งได้รับการประกันตัวเดินทางมาศาล ขณะที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้เบิกตัวนายบุญทวีศักดิ์ จำเลยที่ 5 มาจากเรือนจำ ส่วนนายนายชวการ จำเลยที่ 3 และนายสุขสันต์ จำเลยที่ 4 ซึ่งศาลได้ออกหมายจับไปก่อนหน้านี้ ขณะนี้ครบกำหนด 1 เดือนแล้วยังไม่สามารถติดตามจับกุมตัวจำเลยได้ จึงอ่านคำพิพากษาในวันนี้

ศาลฎีกาประชุมสำนวนปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมานั้นมีน้ำหนักรับฟังได้ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ พร้อมออกหมายจับนายชวการ จำเลยที่ 3 และนายสุขสันต์ จำเลยที่ 4 ให้มารับโทษด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ พล.อ.ธรรมรักษ์ จำเลยที่ 1 คดีถึงที่สุดในชั้นอุทธรณ์แล้วที่ให้ยกฟ้อง เนื่องจากอัยการโจทก์ไม่ยื่นฎีกาต่อ.

ไม่มีความคิดเห็น: