PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ค่าเงินริงกิตมาเลเซียร่วงไม่หยุด

(Dec 2) ค่าเงินริงกิตมาเลเซียร่วงไม่หยุด: สกุลเงินริงกิตของมาเลเซียอ่อนค่าลงอย่างหนักเกือบ 7% ในรอบ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางความไม่แน่นอนของปัจจัยทั้งภายในและภายนอก ส่งผลให้เกิดการไหลออกอย่างต่อเนื่องของเงินทุนจากต่างประเทศ
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 2 ธ.ค.ว่าสกุลเงินริงกิตซึ่งเป็นค่าเงินประจำชาติของมาเลเซียตกลงเกือบ 7% ระหว่างวันที่ 9 พ.ย.- 1 ธ.ค. ที่ผ่านมา โดยเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแล้วอยู่ที่ 4.46 ริงกิต เมื่อช่วงเช้าของการซื้อขายในวันศุกร์ตามเวลาท้องถิ่น ถือเป็นการแข็งค่าที่สุดของเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับเงินริงกิต นับตั้งแต่เดือนก.ย.ปีที่แล้ว
ทั้งนี้ หลายฝ่ายเชื่อว่าปัจจุบันสำคัญที่ส่งผลให้ค่าเงินของมาเลเซียร่วงลงอย่างหนัก เป็นผลจากการที่นักลงทุนต่างชาติซึ่งถือครองพันธบัตรในตลาดเป็นสัดส่วนราว 40% พากันเทขายตราสารหนี้ด้วยความวิตกกังวลว่า นโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐในอนาคตภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อขั้นรุนแรง
ขณะเดียวกัน การที่ว่าที่ผู้นำสหรัฐยืนยันการถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก ( ทีพีพี ) ที่มาเลเซียเป็นหนึ่งใน 12 ประเทศสมาชิกด้วย ส่งผลให้ปริมาณทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศของมาเลเซีย ณ วันที่ 15 พ.ย. อยู่ที่ 98,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 3.44 ล้านล้านบาท ) ลดลงมากถึง 1 ใน 3 เมื่อเทียบกับสถิติของปี 2556 ซึ่งอยู่ที่ 141,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 4.9 ล้านล้านบาท )
นอกจากนี้ ปัญหาเรื้อรังภายในประเทศคือสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง จากกรณีอื้อฉาวเรื่องการคอร์รัปชั่นในกองทุนพัฒนาประเทศ "วันเอ็มดีบี" ของนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัค และราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ถูกลงอย่างมากตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2557 ส่งผลกระทบต่อมูลค่าการส่งออกของมาเลเซียซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศส่งออกน้ำมันดิบ
Source: เดลินิวส์ออนไลน์
There seems to be no respite in sight for the Malaysian ringgit, which is already among Asia’s worst performing currencies. Is the central bank…
CHANNELNEWSASIA.COM

ไม่มีความคิดเห็น: