PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2560

คลั่งชาติ-เกลียดชาติ-ขายชาติ

ถ้าจะสังเกตเห็น เวลานี้มีความขัดแย้งเล็กๆ แต่หยั่งรากลึก นั่นคือเรื่อง เกลียดประเทศไทย อยากไปใช้ชีวิตต่างแดน
พูดง่ายๆ ประเทศไทยอะไรๆ ก็ผิด!
ผิดหลายแบบครับ
เช่นผิดเพราะไม่ได้ดั่งใจ ผิดเพราะไร้ระเบียบวินัย ผิดเพราะไม่เคารพกฎเกณฑ์ ผิดเพราะล้าหลัง ไปจนถึงผิดเพราะมีรัฐบาล คสช.
บางเรื่องก็สมเหตุสมผล
แต่หลายเรื่องเกลียดแบบไร้สาระ เพราะใช้การเมืองเป็นตัวตั้ง ขี้หมูราขี้หมาแห้งจับโยงการเมือง สร้างความเกลียดชัง พวกนี้ถ้าไม่โยงการเมือง กินไม่ได้นอนไม่หลับ
ยกตัวอย่างเรื่องที่เกิดเมื่อคืนวันเสาร์ที่ ๕ ต่อเนื่องวันอาทิตย์ที่ ๖ สิงหาคมที่ผ่านมา ปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul รัวๆ ร่ายยาวตั้งแต่หัวค่ำยันดึก ว่าด้วยเรื่องไปรับเมียที่ดอนเมือง
"มารับภริยาผมที่ดอนเมือง เธอส่งรูปมาให้ดู นี่คือการต่อแถวที่ ตม.ที่ทุเรศทุลักทุเลที่สุด นี่หรือประเทศที่มีรายได้อยู่ที่การท่องเที่ยวเป็นหลัก เธอประเมินว่าน่าจะ ๒,๐๐๐ คน และแถวไม่ขยับเลย ผมคิดว่าเธอคงเซ็งมาก เดินทางมาจากสิงคโปร์ จากสนามบินที่ดีที่สุดในโลก มาประเทศไทย สนามบินที่บริหารจัดการแย่ติดอันดับต้นๆ ของโลก
เธออยู่มา และไปๆ มาๆ ๘-๙ ปี เธอบอกผมว่า ประเทศไทยถอยลงไปเยอะจริงๆ ในทุกๆ เรื่อง ผมเห็นด้วย นี่คืออีกหนึ่งตัวอย่าง....
....กลับมาจากฝรั่งเศสได้ไม่นาน ผมอยากกลับไปฝรั่งเศสอีกแล้ว หรือขอไปอยู่ที่อื่นก็ได้ เดนมาร์กก็ได้ สิงคโปร์ก็ได้
ภริยาผมบอกว่า เธอไม่อยากอยู่ประเทศนี้แล้วจริงๆ
เมื่อก่อน เธอไม่เคยพูดแบบนี้ พึ่งมาปีนี้นี่แหละ ที่ผมได้ยินบ่อยๆ
ผมเอง ก็ไม่ค่อยอยากจะอยู่เท่าไร
และถ้ามีลูก ผมไม่มีวันให้ลูกผมเรียนและเติบโตที่นี่แน่นอน
ประเทศไทย คงเหมาะกับการมาเที่ยวประเดี๋ยวประด๋าว หรือหากจะอยู่ ก็ไม่ควรชอบทำกิจกรรมอะไรมาก นอกจากอยู่บ้าน อยู่บ้าน อยู่บ้าน
ในทางการเมือง ก็แย่ลงไปทุกวัน ดูทีท่าว่าคงไม่ฟื้นกลับมาแน่
ในทางเศรษฐกิจ คนรวย ก็มีแต่รวยขึ้นๆ คนชั้นกลาง ก็ดิ้นรนอยู่เป็นไปเรื่อยๆ ใช้สารพัดกลวิธีในการถีบตัวเองขึ้นไป แต่คงหาคนที่รอดถีบตัวเองได้น้อยลง คนจนก็จนลงๆ จนดักดานมากขึ้น
ในทางคุณภาพชีวิต สวัสดิการ การบริการ มาตรฐานขั้นต่ำ ก็แย่ลงไปกว่าเดิม
ในทางการศึกษา ก็กลายเป็นธุรกิจไปจนหมด แถมยังเจอระบบเกณฑ์ สกอ สารพัด
ต่อไป คนไทยคงจะไหลออกมากขึ้น ถ้าคนไทยได้ภาษาอังกฤษกว่านี้ คงมีคนไหลออกมากขึ้นอีก
ต่อไปพวกที่อยู่ได้ คือพวกที่รวย สบาย แล้วก็ที่นี่ให้อภิสิทธิ์ และเป็นคอมฟอร์ท โซน ความยากลำบากที่คนส่วนใหญ่ต้องเผชิญ พวกเขาก็สามารถใช้เงินแก้ไขได้
เหลือก็คือ พวกที่หาหนทางออกไปไม่ได้ ก็ต้องปรับตัว ทนกันไป บ้างก็ใช้วิธี 'องุ่นเปรี้ยว' หลอกตนเองไปเรื่อยๆ ว่า ประเทศไทยสุดยอดที่สุด บ้างก็ใช้วิธีอดทน หน้าชื่น อกตรม
การเมือง ส่งผลต่อการพัฒนาประเทศ ความเจริญของประเทศ จริงๆ
ระยะยาว ผมไม่เห็นเลยว่าประเทศนี้จะไปต่อได้อย่างไร จะดีขึ้นได้อย่างไร
ของที่เราขาย ก็มีแต่จะขายไม่ออกมากขึ้น ไม่ว่าค่าแรง สินค้า เกษตร อุตสาหกรรม จะพัฒนาไปสตาร์ทอัพ เทค ก็ไปไม่ทันเขาอีก เอามาสร้างภาพขายฝัน
เหลือแต่การท่องเที่ยว กินบุญเก่าไป ซึ่งคงใช้ได้อีกไม่นาน
บางครั้ง ผมก็อิจฉาคนอายุ ๖๐-๗๐ ซึ่งทนอีกแป๊บเดียว ก็สบายแล้ว
ผมสงสารเยาวชนคนรุ่นใหม่ ต้องมารับผลนี้ และต้องอยู่แบบนี้ไปอีกนาน
ผมเอง คนที่เคยผ่านรุ่นวิกฤต ๒๕๔๐ มา คนที่เคยผ่านรุ่นการเมืองเริ่มเข้าที่ เศรษฐกิจกำลังทะยาน แล้วพอมาเห็นแบบนี้ ก็ได้แต่เศร้าใจ
ผมเชื่อว่า นี่ยังไม่ใช่จุดที่เลวร้ายที่สุด มันยังต่ำดิ่งลงกว่านี้ได้อีก...
...เวลาผ่านไปนับตั้งแต่เครื่องบินลงจอดได้ ๔ ชั่วโมงแล้ว ภริยาของผมยังคงติดอยู่ที่ ตม. และคนยังแน่นเหมือนเดิม
๔ ช.ม. เราสามารถนั่งรถไฟจากปารีสไปนีซ
๔ ช.ม. เราสามารถอ่านหนังสือ เขียนหนังสือ หาความรู้
๔ ช.ม. เราสามารถดูหนังได้สองเรื่อง ดูโอเปร่าขนาดยาวได้ 1 เรื่องแบบมีเวลาเหลือ
๔ ช.ม. เราสามารถดูฟุตบอลได้สองนัด
๔ ช.ม. เราสามารถไปกลับ สิงคโปร์ กทม. ได้
๔ ช.ม. เราสามารถนอนหลับพักผ่อนได้
๔ ช.ม. เราสามารถทำงาน หารายได้
ต้องใช้เวลา ๔ ช.ม. และอาจถึง ๕ ช.ม. เพียงเพื่อผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ในระยะทางไม่กี่เมตร
แบบนี้ คงต้องเรียกประเทศ 'เฮงซวย'
เฮงซวย
เฮงซวย
เส็งเคร็ง
ห่วยแตก...."
ตัดทอนไปบางส่วน แต่ก็อยากให้อ่านให้ครบถ้วน เพราะจะได้เห็นในหลายๆ มิติ
ยุคนี้คนบ่นออกสื่อกันง่ายครับ และบางครั้งอารมณ์พาไป จนเกิดความพลาดพลั้ง
ประเด็นแรก ตม.ดอนเมืองมีปัญหาในการบริหารจัดการ และเข้าใจว่ามีปัญหามานานพอควรแล้ว แต่ไม่มีการแก้ไขที่เป็นรูปธรรม
จากคำชี้แจงของนาวาอากาศโท สุธีรวัฒน์ สุวรรณวัฒน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานดอนเมือง ที่บอกว่า
"...ในวันเกิดเหตุ ๕ สิงหาคม ระหว่างเวลา ๐๐.๐๐ - ๐๕.๐๐ น. มีเที่ยวบินขาเข้าระหว่างประเทศและเที่ยวบินปกติ รวมทั้งสิ้น ๒๑ เที่ยวบิน
รวมกับมีเที่ยวบินที่ทำการบินล่าช้าหรือดีเลย์ คือเที่ยวบินจากสิงคโปร์ ๒ เที่ยวบิน และเที่ยวบินจากฮ่องกง ๑ เที่ยวบิน ประกอบกับมีเที่ยวบินพิเศษของสายการบินแอร์เอเชียทำการบินจากประเทศจีนอีก ๑ เที่ยวบิน ทำให้ในช่วงเวลาดังกล่าวมีเที่ยวบินรวมทั้งสิ้น ๒๕ เที่ยวบิน และมีจำนวนผู้โดยสารรวมประมาณ ๔,๙๗๗ คน
ในขณะที่ปัจจุบันด้วยพื้นที่ที่จำกัดและจำนวนของเจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานดอนเมือง สามารถรองรับการบริการได้ประมาณ ๑,๐๐๐ คนต่อชั่วโมงเท่านั้น จึงทำให้เกิดความล่าช้าในการบริการดังกล่าว
ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการยื่นแบบขออนุญาตจากกรมการบินพลเรือน ในการปรับปรุงขยายพื้นที่ให้บริการด่านตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งคาดว่าจะสามารถปรับปรุงขยายพื้นที่และเพิ่มช่องให้บริการได้ภายในเดือนกันยายนนี้ และเมื่อปรับปรุงแล้วเสร็จจะสามารถรองรับการบริการผู้โดยสารเป็น ๑,๘๐๐ คนต่อชั่วโมง ซึ่งจะทำให้ได้รับความสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น..."
ประเด็นความล่าช้าในการทำงานของ ตม. ที่ "ปิยบุตร แสงกนกกุล" จุดประเด็นขึ้นมา ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม
อย่างน้อยก็ทำให้สังคมได้รับรู้ว่า สนามบินดอนเมือง ไม่มีประสิทธิภาพพอที่จะรองรับผู้โดยสารขาเข้าในปริมาณมากได้ แม้จะอยู่ในวิสัยที่สามารถแก้ไขได้ก็ตาม
เพราะเที่ยวบินขาเข้านั้นทางสนามบินรู้ล่วงหน้านานนับชั่วโมง ว่าเที่ยวไหนล่าช้าจะมาถึงช่วงเวลาใด รวมถึงเที่ยวบินที่มีการเพิ่มขึ้นมาว่ามีกี่เที่ยว ยิ่งเป็นเที่ยวบินต่างประเทศ มีเวลาเตรียมการอย่างน้อยสุด ๒ ชั่วโมง
กลับไม่มีการบริหารจัดการที่ดีพอ
แต่การบ่นเรื่องประเทศไทยเฮงซวยห่วยแตก ทำให้เห็นถึงวุฒิภาวะของ "ปิยบุตร แสงกนกกุล" ว่า...น่าเป็นห่วง เพราะเป็นถึงครูบาอาจารย์ สอนวิชากฎหมาย
กลับสรุปเรื่องราวเหมือนคนไร้การศึกษา!
เช่นเดียวกันเรื่องนี้ถูกโยงเป็นการเมืองในโลกออนไลน์ ว่ากันไปไกลถึงขั้นแยกขั้วแยกสี ถ้าเห็นต่างกันเมื่อไหร่ ไม่ต้องถามหาเหตุผล ไม่ต้องดูเรื่องราว ค้านไว้ก่อน!
อย่าให้ทุกเรื่องเป็นความขัดแย้งหมดเลยครับ จะอยู่กันไม่มีความสุข แล้วที่บอกว่าประเทศไทยไม่น่าอยู่ ก็คนไทยทั้งหมดต้องรับผิดชอบร่วมกันไม่ใช่หรือ
ที่บ่นๆ ทุกวันนี้ประเทศเฮงซวยเพราะอะไร?
ต่างฝ่ายต่างก็โทษกัน มีใครเปิดกว้างที่จะหาข้อเท็จจริงบ้าง สุดท้ายแล้วใครซวย?
ก็ประเทศไทยซวย!
นักการเมืองขายชาติ คนซวยก็คือประเทศไทย
พวกคลั่งชาติผิดทาง คนซวยก็ไม่พ้นประเทศไทย
ราวกับประเทศไทยมีไว้เพื่อให้พลเมืองรุมโทรม!
ยอมรับความจริงแล้วทำเพื่อประเทศกันซะ
ยอมรับความเชื่อทางการเมืองที่แตกต่างได้ แต่ไม่ใช่ยอมรับคนโกงเพื่อให้มีหลังพิง
วานนี้ (๗ สิงหาคม) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไปพูดที่ พระนครศรีอยุธยา
"...วันนี้ต่างชาติยังค้าขายกับเราเหมือนเดิม เพียงแต่ไม่ให้ผมเดินทางไปเยือนเพียงคนเดียว เพราะผมเป็นหัวหน้าคณะ คสช. แต่ปัญญารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเดินทางไปเยือนต่างประเทศได้หมด ไปค้าขายทุกประเทศ คิดถึงจิตใจผมบ้าง แต่ก็ไม่ได้เดือดร้อนเพราะอยากอยู่กับคนไทย นั่งบริหารในประเทศแล้วเอาคนอื่นไปทำ ขณะที่มีแขกต่างประเทศเดินทางมาทำเนียบรัฐบาลทุกวัน วันนี้ก็มีมา เขามาค้าขายชื่นชมบ้านเมืองสงบเรียบร้อย เขาเห็นแผนยุทธศาสตร์ชาติ เห็นช่องทางที่จะเข้ามา...
...ผมมายืนตรงนี้เพราะถูกลิขิตมา อะไรจะเกิดต่อไป จะเป็นลิขิตของประเทศไทยว่าจะเจริญหรือไม่เจริญ จะล่มสลายหรือไม่ล่มสลายอยู่ที่มือคนไทยทุกคน..."
หายากครับที่ผู้นำประเทศจะยอมรับในจุดอ่อนของตัวเองแบบนี้
ถ้าคิดแค่เปลือก พล.อ.ประยุทธ์ก็ลาออกไปซิ เลือกตั้งเร็วๆ เดี๋ยวฝรั่งก็ยอมรับเอง
แต่ที่ผ่านมาต่างชาติยอมรับรัฐบาลจากการเลือกตั้ง แล้วนักการเมืองใช้ประโยชน์จากการยอมรับนั้นได้แค่ไหน?
อย่าว่าไปไกลถึงต่างประเทศเลยครับ รัฐบาลจากการเลือกตั้งไม่ได้ทำตัวให้สมกับการได้รับความไว้วางใจจากประชาชน กลับแต่จะสร้างปัญหาให้ความขัดแย้งทางการเมืองบานปลายขึ้นเรื่อยๆ
ครับ...ประเทศไทยจะไม่เฮงซวย หากยอมรับในสิ่งที่เป็น แล้วหาทางแก้ปัญหาเสีย
ถ้าเอาแต่พูดสะใจ มันจะห่วยแตกไม่มีจบสิ้น.
ผักกาดหอม

ไม่มีความคิดเห็น: