PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

อาการ “บิ๊กป้อม” ชี้วัด ชีพจรประเทศไทย

อาการ “บิ๊กป้อม” ชี้วัด ชีพจรประเทศไทย


ผ่า 4 ปี คสช.ศรัทธา“ถอย” กองหนุน “สะอึก”
อากาศเมืองไทยยังแปรปรวน มีทั้งฝน ร้อน หนาว แยกฤดูไม่ออก
พานให้คนสุขภาพไม่แข็งแรง ภูมิคุ้มกันไม่ดี เจ็บป่วยไปตามๆกัน
โดยสภาวะอากาศที่ล้อไปกับห้วงบรรยากาศทางการเมืองที่รัฐบาลของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ก็กำลังตกอยู่ในสภาวะ “ภูมิคุ้มกัน” ลดลง
ตามกาลเวลาที่ผ่านการบริหารมา 3 ปีกว่า ย่างปีที่ 4 เข้าสู่ท้ายเทอม
กระแสเร้าเลือกตั้งตามธรรมชาติการเมืองแบบไทยๆ
ในอารมณ์ที่ดูเหมือนรัฐบาลทหารทำอะไรก็ผิด ติดๆขัดๆไม่ไหลลื่นเหมือนขวบปีแรก
แต่อย่างไรก็ดี มันยังมีสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่กำลังติดลมบนมาเป็นตัวช่วยประคองสถานการณ์ ตามข่าวดีที่การันตีโดยสื่อระดับโลก เว็บไซต์ U.S. News&World Report ของสหรัฐอเมริกา เปิดผลสำรวจล่าสุดยกให้ประเทศไทยเป็นอันดับหนึ่ง ประเทศที่เหมาะเริ่มต้นธุรกิจมากที่สุดในโลก
ครองอันดับติดต่อกัน 2 ปีซ้อนๆ
ตามรูปการณ์ที่รัฐบาลต้องเดินหน้าตีเหล็กกำลังร้อน “นายกฯลุงตู่” กับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจ กดปุ่มใส่เกียร์ห้าเร่งเครื่องเมกะโปรเจกต์ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (อีอีซี) ตามจังหวะที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ทำคลอดกฎหมายรองรับ
เพราะนี่คือฟันเฟืองขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักของประเทศในอนาคตนับจากนี้ไป
แรงกระแทกทางการเมืองหนักๆแต่เศรษฐกิจก็ยังเอาอยู่
ประกอบกับยุทธศาสตร์ คสช.ที่ดูจะผ่านการวางแผนมาเป็นอย่างดี ประเมินจากการที่ คสช.จัดการรับมือกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มคนที่ออกมากดดันการเลื่อนเลือกตั้ง
สังเกตจากการปล่อยให้เครือข่ายแกนนำขบวนการต่อต้าน คสช.หน้าเดิมๆของฝ่ายความมั่นคง อย่าง “จ่านิว” นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ นายรังสิมันต์ โรม นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล ฯลฯ รวมพลในนามขบวนการใหม่ “Start Up People” แสดงพลังต้าน คสช.สืบทอดอำนาจ บนสกายวอล์ก แยกปทุมวัน
แต่ผ่านไปไม่กี่วัน พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารปฏิบัติการประจำกองบัญชาการกองทัพบก ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าส่วนปฏิบัติการคณะทำงานด้านกฎหมายส่วนงานรักษาความสงบแห่งชาติ ได้รับมอบอำนาจจาก คสช.เข้าร้องทุกข์ที่ สน.ปทุมวัน
เพื่อดำเนินคดีกับแกนนำเคลื่อนไหว “Start Up People” ข้อหาฝ่าฝืนคำสั่ง คสช.ที่ห้ามชุมนุมเกิน 5 คน ในการออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านการเลื่อนเลือกตั้ง
สำทับด้วยเสียงเข้มๆของ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก ย้ำเลยว่า ฝ่ายความมั่นคงยังเข้มงวดบังคับใช้กฎหมาย เพราะเกรงว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของความรุนแรงและนำพาบ้านเมืองกลับไปสู่สถานการณ์เดิม
เพราะประเทศเราเคยมีบทเรียนที่เจ็บปวด มีความสูญเสียในอดีต
ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกระบวนการกฎหมาย
เป็นเรื่องที่ทุกคนทราบดี การเรียกร้องและการชุมนุมสามารถแสดงออกได้ แต่อะไรที่ขัดเจตนารมณ์กฎหมายก็ต้องถูกดำเนินการ
นี่คือมิติใหม่ที่ทหารไม่ได้ใช้ปืนใช้กำลังบังคับเหมือนอดีต แต่ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ
นั่นก็เท่ากับเลี่ยง “น้ำผึ้งหยดเดียว”
ดังนั้น สถานการณ์แหลมๆเสียวๆที่มีพวกพยายามปั่นพยายามลุ้นให้นักศึกษา นักวิชาการ ปัญญาชน เผชิญหน้ากับทหาร ล้อประวัติศาสตร์เดือนตุลา เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ
ดูแล้วยังห่างไกลความจริง ทั้งเงื่อนไขและหัวเชื้อชนวนก่อไฟ
เรื่องของเรื่อง จุดอ่อนไหว สถานการณ์หนักหนาสุดของรัฐบาล คสช.ตอนนี้ก็มีแค่จุดเดียว
ปรากฏการณ์แบบที่ “พี่ใหญ่” อย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม โดนถล่มลากยาวแบบข้ามปี เจอกระแสไล่บี้ปมนาฬิกาหรูไม่ได้หายใจหายคอ
เจ้าตัวเองยังออกปากยอมรับในชีวิตไม่เคยโดนหนักอย่างนี้มาก่อน
โดยเฉพาะสถานการณ์หลังจากที่ “พี่ใหญ่” พูดเปิดใจบนเวทีงานเลี้ยงอาหารกลางวันให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และข้าราชการกระทรวงกลาโหม รวมถึงสื่อมวลชนสายทหาร เนื่องในโอกาสปีใหม่ 2561
โยงความถึงเรื่องนาฬิกาหรูเป็นนัย
“ทหารไม่ได้มีความขัดแย้งกันกับสื่อ และการที่สื่อนำเสนอข่าวตรงไปตรงมา น่าจะเป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนต้องการที่จะให้เป็นเช่นนั้น ผมไม่ได้มาขอร้อง ว่าจะต้องทำอย่างนั้นหรือทำอย่างนี้ แต่อยากจะบอกสื่อสายทหารว่า ผมรับราชการมาตั้งแต่ปี 2511 จนถึงขณะนี้ผ่านมา 50 ปีแล้ว ไม่เคยมีเรื่องอะไรหนักๆ
ก็ดูเอาแล้วกันว่าผมได้ทำอะไรที่เสียหายกับประเทศชาติบ้านเมือง หรือไม่ ผมเข้ามาเพราะอยากจะช่วยเหลือบ้านเมืองอยากทำงานในบ้านเมือง ถ้าประชาชนไม่ต้องการ ผมก็พร้อมที่จะไปจากตำแหน่งนี้ เพราะฉะนั้นอยากจะฝากกับสื่อว่า อยากให้ดูว่าผมทำงานมาตลอด 50 ปี ได้ทำอะไรไว้บ้าง”
เท่านั้นแหละ โพลนับสิบน้อยร้อยปล่อยกันว่อนโซเชียลมีเดีย
แน่นอน ตามฟอร์มสถานการณ์ที่กระแสนาฬิการ้อนกำลังไหล ตัวเลขผลที่ออกมาเข้าเหลี่ยมขบวนการโห่ไล่ เสียงส่วนใหญ่อยากให้ “บิ๊กป้อม” ออกไป
มันก็ยิ่งมัดคอ “พี่ใหญ่” แน่นเข้าไปอีก
การณ์กลับกลายเป็นว่า จากอารมณ์เบื้องลึกของ “บิ๊กป้อม” ที่พูดด้วยความรักศักดิ์ศรีและมั่นใจว่าทั้งชีวิตไม่เคยทำอะไรให้บ้านเมืองเสียหาย และยังรักษาความสงบไว้ได้ จึงหลุดคำพูดด้วยอารมณ์ว่า ถ้าประชาชนไม่เอาก็จะไป แต่หารู้ไม่ว่า เท่ากับเป็นการเอาบ่วงรัดคอในทันใด
เป็นเหยื่อที่ถูกรุมขย้ำในทันที
จากปมนาฬิกาหรูที่ยังไม่ผิดกฎหมาย แต่ล่อแหลมในมุมจริยธรรม กระแสชี้นำเตลิดไปไกลแล้ว
แนวโน้มเข้าเหลี่ยมขบวนการโค่น “พี่ใหญ่” ล้มต้นไทรเกราะกำบัง คสช. รายการ “กฐินสามัคคี” ที่มีเจ้าภาพเพียบ ทั้งกลุ่มพันธมิตรฯที่ล่อเป้ามาอย่างต่อเนื่องตามท้องเรื่องที่โยงจากอาการฝังแค้นคดีลอบสังหาร “สนธิ ลิ้มทองกุล” ไหนจะนักการเมืองทั้งเพื่อไทยประชาธิปัตย์ ที่จ้องเตะตัดขาขุมอำนาจ คสช.
โดยเฉพาะขุมข่ายที่ซ่อนอยู่หลังกำแพงบ้านใหญ่ย่านเทเวศร์
แต่ที่แน่ๆสถานการณ์มาถึงตรงนี้ “บิ๊กป้อม” จะถอยไปเลยก็ไม่ได้ เพราะเท่ากับยอมรับสภาพที่โดนถล่มจนสะบักสะบอมมอมแมม
ขณะที่ “บิ๊กตู่” ก็ยากจะตัด “พี่ใหญ่” ออกจากรัฐบาล เพราะมันจะฆ่าซ้ำ “บิ๊กป้อม” ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด
ที่สำคัญด้วยความเป็น “น้องเล็ก” ที่ต้องพึ่งพิงกับ “พี่ใหญ่” ตลอด จนเหมือนขาดกันไม่ได้ แบบที่ “บิ๊กตู่” สะท้อนท่าทีมาตลอด ทั้งการพูดทีเล่นทีจริง “พี่ป้อม” ต้องอยู่กับผมจนตายกันไปข้าง หรือการแอ่นอกการันตี “พี่ใหญ่” เป็นคนดี ไม่อย่างนั้นเลิกคบกันนานแล้ว
จนมาถึงปมนาฬิกาที่ “บิ๊กตู่” ก็ออกตัวเคลียร์เลยว่า เป็นเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวกับงบประมาณแผ่นดิน
“น้องเล็ก” ออกแรงอุ้ม “พี่ใหญ่” ทุกครั้ง ซึ่งมันก็ไม่แปลก ถ้าประเมินจากคุณูปการอีกด้านของ พล.อ.ประวิตร ที่โดดเด่นงานถนัดด้านความมั่นคงและเป็นมือประสานผู้มากบารมี ทำให้ตลอด 3ปีกว่า ที่ผ่านมาภายใต้รัฐบาล คสช. บ้านเมืองสงบ ปลอดม็อบป่วนเมือง อันเป็นปัจจัยสำคัญที่เอื้อต่อสถานการณ์ฟื้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว
ตรงกันข้าม ประเมินสถานการณ์เสียวๆหากขาด “บิ๊กป้อม” ไป
ผีการเมือง ปีศาจความขัดแย้งที่แฝงตัวอยู่ใต้อำนาจพิเศษได้ฟื้นจากหลุมกลับมาอาละวาดแน่
ตามเค้าลางแบบที่ขบวนการแฝง “ขั้วอำนาจโบราณ” ขยับยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความการเคลื่อนไหวของ ม็อบ กปปส. ม็อบพันธมิตรฯชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพื่อให้มีผลผูกพันกับทุกองค์กร หลังแกนนำกำลังถูกดำเนินคดีในศาลยุติธรรม
อำนาจแฝง “สายป๋า” เริ่มยุทธการเขี่ยหัวเชื้อม็อบ ตามจังหวะที่นักการเมืองโหมกดดันเลือกตั้ง หวังทวงอำนาจคืนจากทหาร โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยลูกทีม “ทักษิณ” ที่ถือแต้มต่อในสนาม
ตามรูปเกมหนีไม่พ้นเกมตะลุมบอน ตีกันเละแน่ ลากบ้านเมืองกลับไปลงเหว
แถมแนวโน้มจะยิ่งหนักกว่าเดิมหลายเท่า เพราะไม่มีใครเอาอยู่แล้ว
นี่คือจุดที่ “นายกฯลุงตู่” พะว้าพะวัง สองจิตสองใจ
คนไทยส่วนใหญ่เองก็ชั่งใจลำบาก
จากจุดเริ่มต้นที่ฝากความหวังให้ “ลุงตู่” และทีมงาน คสช.นำการปฏิรูปที่สวยหรู สู่เมืองไทยในฝัน แต่มันดันมี “จุดดำ” ปมของ “พี่ใหญ่” โผล่มาให้แคลงใจ เสียดแทงอารมณ์
กับเงื่อนไขอำนาจพิเศษจะมีข้องดเว้นเรื่องโปร่งใสให้หรือไม่.
“ทีมการเมือง”

ไม่มีความคิดเห็น: