PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2561

เกม 'รับน้อง' เริ่มแล้ว

เกม 'รับน้อง' เริ่มแล้ว



มวยเขี้ยวทันกัน ไม่ยอมโดนเตะ “กินเปล่า” ฝ่ายเดียวอยู่แล้ว
แนวโน้มแบบที่ “เสี่ยแฮงค์” นายอนุชา นาคาศัย แกนนำกลุ่มสามมิตร ตั้งโต๊ะแถลงใหญ่ เปิดคลิปโชว์หลักฐานในโซเชียลมีเดีย แฉกลับคนของพรรคเพื่อไทย ทีมงานประชาธิปัตย์ แกนนำค่ายภูมิใจไทย ไปยันลูกแถวพรรคชาติไทยพัฒนา ก็เคลื่อนไหวแบบเดียวกับกลุ่มสามมิตร
ถ้าผิดก็ผิดกันหมด เข้าข่ายละเมิดกฎเหล็กเหมือนกัน
เป็นการการันตี คสช.ไม่ได้สองมาตรฐาน และจังหวะพลิกเหลี่ยมเบี่ยงแรงกดดัน กระตุกกระแสสู้แรงเสียดทานที่กลุ่มสามมิตรโดนเจ้าถิ่นพรรคเก่า “รุมกินโต๊ะ”
เพราะอารมณ์หมั่นไส้พรรคหนุน “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ นั่นแหละ
ตามอาการ “สามมิตร” พร้อมท้าแลกหมัดนักการเมืองอาชีพด้วยกัน โต้ทุกเม็ดทุกดอก
ฤกษ์ตะลุมบอนเดือนกันยายน คสช.ปลดล็อกการเมืองเมื่อไหร่ ได้โซ้ยกันมันแน่
และแกะรอยตามยุทธการรุมกินโต๊ะกลุ่มสามมิตร โดยสถานการณ์หนีไม่พ้นต้องไล่กระแทกไปถึงเป้าหมายปลายทางคือ ป้อมค่าย “พลังประชารัฐ” ที่มีข่าวเกี่ยวโยงกันอยู่
นักการเมืองเจ้าถิ่นต้องเจาะยางขวางยุทธการตุนแต้มของทีมหนุน “นายกฯลุงตู่”
สถานการณ์แบบที่คล้อยหลัง พล.อ.ประยุทธ์ ยกคณะกลับจาก ครม.สัญจรที่ภาคใต้ไม่ทันไร ก็มีกระแสร้อนๆปั่นดราม่าในพื้นที่รัฐบาล “ลุงตู่” ไม่รักชาวใต้ รับแค่พิจารณาโครงการในการประชุม ครม.สัญจรที่ชุมพร ไม่มีการอัดฉีดโครงการใหญ่ งบก้อนโตเหมือน ครม.สัญจรภาคอีสาน ภาคเหนือ ภาคกลาง
ทั้งๆที่ของจริงตามข่าวที่ทีมโฆษกรัฐบาลแถลงโครงการที่เอกชนภาคใต้เสนอ ล้วนผ่านความเห็นชอบจากมติ ครม.สัญจรที่ชุมพร โดยเฉพาะโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (เอสอีซี) ที่เป็นวาระสำคัญตามยุทธศาสตร์ เมกะโปรเจกต์เรือธงของรัฐบาลโยงกับเมกะโปรเจกต์ อีอีซีและไทยแลนด์ริเวียร่า
โดยที่นักธุรกิจภาคใต้ต่างยอมรับในแผนพัฒนาการทางเศรษฐกิจที่เป็นรูปธรรม
แต่นัยอีกมุมกลับกัน นั่นแสดงว่า ผลจากการประชุม ครม.สัญจรที่ชุมพร ถูกตีความเป็นการรุกทางการเมืองครั้งสำคัญ เป็นเรื่องเดิมพันเจาะฐานเสียงในภาคใต้
ทีมหนุน “ลุงตู่” เลยเจอ “ขาใหญ่” เจ้าถิ่นเตะตัดขาเจาะยาง
ตามสถานการณ์ยี่ห้อ “พลังประชารัฐ” ต้องเจอเกมรับน้องหนักขึ้นตามเงื่อนไขสถานการณ์ปลดล็อก
กับข่าวล่ามาไว พาดหัวไม้หนังสือพิมพ์ 2 รัฐมนตรี มือดีของทีมเศรษฐกิจ ทั้งนายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม กับนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ จะทิ้งเก้าอี้รัฐมนตรีเพื่อไปรับเก้าอี้หัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ
รีบตัดกระบอกไม้ไผ่ตั้งแต่ยังไม่เห็นน้ำ แต่งตัวลงสนามตั้งแต่หัววัน
เรื่องของเรื่อง มันเป็นข่าวที่รู้กันดีอยู่แล้ว เพียงแต่ถึงเวลา “ถอดมงคล” ขึ้นเวทีหรือยังเท่านั้น
เพราะวัดจากภารกิจสำคัญ ณ ปัจจุบันของนายอุตตมที่ต้องรับผิดชอบดูแลโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (อีอีซี) เมกะโปรเจกต์เรือธงของรัฐบาลที่กำลังก่อร่างสร้างฐาน
นักลงทุนจีน นักลงทุนญี่ปุ่น แห่มาจองทำเลกันไม่ขาดสาย
ขณะที่นายสนธิรัตน์ก็ต้องรับภาระประคองปากท้องค่าครองชีพประชาชน ตลอดจนการเป็นแม่ทัพรับมือส่งสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ ที่ส่งผลต่อการส่งออก
ถ้า “สนธิรัตน์” ถอนสมอมีหวังป่วน ต้องสลับฉากกันวุ่นวาย
นี่แค่ปมบริหารราชการแผ่นดิน ไม่นับยุทธศาสตร์การเมืองที่ต้องเดินหมากดีๆ
ตามรูปการณ์ขืนหัวหน้ากับเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ “ขาลอย” ไม่มีตำแหน่งรัฐมนตรี การลงพื้นที่หาเสียงไม่มีมือไม้ ข้าราชการไม่สนใจ ไม่ให้ราคา
มันจะยิ่ง “โหรงเหรง” ไปกันใหญ่
อะไรไม่เท่ากับว่า ถ้า “อุตตม-สนธิรัตน์” ออก ตามเหลี่ยมสถานการณ์ที่เดาเกมได้
แรงกระแทกจะกระฉอกไปถึง “นายกฯลุงตู่”
หนีไม่พ้นโดนโห่ฮาตีปี๊บให้ลาออกจากนายกฯไปลงสนาม โชว์สปิริตอย่าเอาเปรียบคู่ต่อสู้
ดูแล้ว ผลกระทบด้านลบหนักกว่าเยอะถ้าเทียบกับการทนเสียงนกเสียงกากระแนะกระแหน
อีกทั้งกระแสวันนี้คนทั่วประเทศรู้หมดแล้ว แนวโน้ม “ลุงตู่” ตีตั๋วต่อ เป็น 1 ใน 3 บัญชีนายกฯพรรคพลังประชารัฐ “อุตตม-สนธิรัตน์” คือแคนดิเดตหัวหน้ากับเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ
ไม่จำเป็นต้องแกรนด์โอเพนนิ่ง เปิดตัวอย่างอลังการ
เว้นแต่มีคนในทีมงาน คสช.ด้วยกัน “เขี่ยลูก” เปิดเกมวัดใจกันเอง.
ทีมข่าวการเมือง

ไม่มีความคิดเห็น: