PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2562

บางชื่ออาจหลุดโผ

บางชื่อ อาจหลุดโผ  ครม.
หลุดจาก รมว. เป็น รมช.
ถ้าไม่ได้เป็นรมต. ก็เป็น ส.ส.ทำงานในสภา

“บิ๊กตู่” ยัน ได้รัฐบาลใหม่กลางเดือนกค. ยัน อย่าทำทุกอย่างให้เป็นพระราชภาระของพระองค์/เตรียมให้  รมต.มากรอกประวัติ รับรองตัวเอง.... คาด16-17กค.ครม.ถวายสัตย์ฯ

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงความคืบหน้าการนำรายชื่อคณะรัฐมนตรี(ครม.) ขึ้นทูลเกล้าฯว่า เรื่องโผ ครม.ถามแล้วถามอีก เช้า กลางวัน เย็น 

เดี๋ยวจะเรียกบุคคลที่มีรายชื่อเข้ามา กรอกประวัติอย่างเป็นทางการ เพราะที่ผ่านมาก็มีการตรวจสอบ โดยเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูล โดยหน่วยงานเหล่านั้น ก็ตอบได้เพียงกว้างๆ หากไม่มีอะไรเกี่ยวข้อง หน่วยงานก็จะบอกว่า ไม่มีความขัดข้อง ไม่มีปัญหา 

แต่หากคนใดมีคดีความด้วย หน่วยงานก็ชี้แจงว่า อยู่ในขั้นตอนใด กฎหมายว่าอย่างไร โดยต้องมีข้อชี้แจงทั้งหมด 

ท้ายที่สุด ก็จะต้องเชิญบุคคลเหล่านั้น มาเซ็นต์รับรองตัวเอง หากในวันข้างหน้าไม่เป็นไปตามที่ได้รับรองไว้ ก็จะต้องโดนคดี ดังนั้น ขอให้ใจเย็นๆ เพราะยังอยู่ในกระบวนการตรวจสอบ เดี๋ยวก็รู้

ถามว่ารายชื่อที่จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ นั้นเป็นไปตามที่พรรคการเมืองได้เสนอมาหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่รู้ ยังไม่บอก บอกไม่ได้ ถ้าผมบอกว่าใครได้หรือไม่ได้ ก็จะเอากันอีก ไม่จบสักที 

เมื่อถามว่าไม่มีใครหลุดโผที่แต่ละพรรคเสนอมาใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ย้อนถามว่า “โผอะไร มันก็คงมีบ้างมั้ง ซึ่ง ครม.มีทั้งหมด 36 ตำแหน่ง ไม่ว่าจะได้เพิ่มหรือไม่ ต้องอยู่ใน 36 ตำแหน่งนี้

หากรัฐมนตรีหลักควบตำแหน่ง ก็ต้องมาเป็นรัฐมนตรีช่วย แต่ยอดมีทั้งหมด 36 ตำแหน่ง”

อย่างไรก็ตาม อาจจะมีคนมากหรือน้อย แต่ทั้งหมดต้องไม่เกิน 36 คน และอาจจะมีคนที่ซ้ำ 3 คน หรือเปล่า 
ก็ต้องดูตรงนั้น 

อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่ได้เป็นรัฐมนตรีก็ยังเป็น ส.ส.ที่ทำงานในสภา วันนี้หวังอย่างเดียวว่าทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล จะสามารถทำงานด้วยกัน ตามยุทธศาสตร์ชาติ ให้ประเทศเดินต่อไปได้  ไม่ใช่จ้องล้มกันอยู่ตลอดเวลา  เพราะไม่ใช่ตอนนี้ แต่ตนก็ห้ามไม่ได้ ซึ่งประชาชนต้องตัดสินเอง ว่าพฤติกรรมของแต่ละคนเหมาะสมอย่างไร

เมื่อถามว่าจะให้ว่าที่ ครม.ใหม่มาเซ็นต์รับรองตัวเองที่ทำเนียบรัฐบาลหรือที่ทำการพรรค พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องของเลขาฯ ครม.ซึ่งบางเรื่องไม่ต้องมาถามผมก็ได้ เพราะเป็นเรื่องของระเบียบ วันนี้ตอบได้อย่างเดียวว่า ทำทันเวลาแน่นอน กลางเดือนหน้าจะได้รัฐบาลอย่างแน่นอน 

ถามย้ำว่าสามารถนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ได้ก่อนหรือหลังกลับจากประเทศญี่ปุ่น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็ประมาณนี้แหละ อย่าทำทุกอย่างให้เป็นพระราชภาระของพระองค์ เพราะเป็นหน้าที่ของตน ที่ต้องรับผิดชอบ จึงต้องทำให้ทันตามเวลา 

จากนั้น ก็รอถวายสัตย์ปฏิญาณตน ยืนยันว่ากลางเดือนหน้าทุกอย่างจะเรียบร้อย

 วันนี้ยังไม่ตั้งรัฐบาล ก็มีคนจ้องล้มรัฐบาลแล้ว ตนคิดว่าคงไม่ค่อยดี ทั้งนี้ อยากให้ทุกคนช่วยกันบอกต่างประเทศว่า อย่าได้กังวลเพราะเดี๋ยวเราก็ไปกันได้ และนี่คือไทยทอล์ค ซึ่งปกติจะเป็นอาเซียนทอล์ค ตรงนี้ถือเป็นอัตลักษณ์ของพวกเรา คือการมีความคิดเห็นที่แตกต่าง 

“วันนี้เราต้องยืนหยัด ด้วยความอดทนอดกลั้น มีสมาธิ สติ สัมปชัญญะ แก้ไขปัญหาด้วยอริยสัจ4  ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ขันติโสรัจจะ รู้แล้วก็ต้องปฏิบัติ เข้าวัดไหว้พระ สวดมนต์ อ่านธรรมจักรกัปปวัฒนสูตรบ้างหรือเปล่า พุทธเป็นศาสนาแห่งความปรองดองสมานฉันท์ พระพุทธเจ้าสอนให้เดินสายกลาง ไม่ซ้าย ไม่ขวา และไม่หนักจนเกินไป ถือเป็นหลักและแก่นแท้ของศาสนา แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมจึงตีกันนักหนา พุทธเป็นศาสนาแห่งความสงบสุขร่มเย็น อยู่มากับทุกคน 2500 กว่าปี แต่ไม่รู้วันนี้เป็นอะไรบางเรื่องไม่ใช่เรื่องของตัวเอง แต่เข้าร่วมกับเขาไปด้วย ใช้ความเห็นส่วนตัวเติมลงไป ทั้งที่ไม่รู้อะไรทั้งสิ้น อะไรเข้ามาก็เห็นด้วย สนุกดี และด่ากับเขาไปด้วย โดยคิดว่าเผื่อจะถึงนายกฯ นายกฯจะได้อ่านบ้าง ซึ่งผมก็อ่าน แต่ไม่ได้ติดโซเชียลอย่างที่คนวิจารณ์” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

เมื่อถามว่าหลังจัดตั้งรัฐบาลแล้วคิดว่าพรรคร่วมจะเข้าใจการตัดสินใจของนายกฯ หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า อยู่มา 5 ปีแล้ว ถ้าไม่เข้าใจก็แย่แล้ว ซึ่งต้องเข้าใจว่าตนทำงานด้วยหลักการ กฎหมาย จึงต้องระวังตัวด้วยเหมือนกัน มีแรงกดดันต่างๆที่ถาโถมเข้ามา จึงต้องมีคณะทำงานกันกรองแผนงานและนโยบาย รวมถึงการใช้จ่ายงบประมาณ การทำงานนั้นยอมรับว่าไม่ง่าย ถ้าจะกดดันตน ขอให้กดดัน ว่าจะทำอย่างไรให้ประเทศเดินหน้าถึงจะดีกว่า สื่อไม่ต้องมาวิจารณ์ ว่าจะมีพรรคใดมางอแง เพราะเชื่อว่าเขาคุยกันได้อยู่แล้ว ถ้าทุกคนมองประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก ทุกอย่างก็จะไปได้ โดยใช้หลักพระพุทธศาสนานำทาง เดินตามพระ

ทั้งนี้ มีรายงานว่า ช่วงที่จะมีการเข้าฯถวายสัตย์ 16-17 กค.นี้

ลำดับปัญหาแห่งรัฐธรรมนูญ

ลำดับปัญหาแห่งรัฐธรรมนูญ
โดย สิริอัญญา 
วันพุธที่ 26 มิถุนายน 2562

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานพระบรมราโชวาทเกี่ยวกับหลักการสำคัญในการร่างรัฐธรรมนูญไว้ และมีการเผยแพร่พระราชดำรัสนั้นให้เป็นที่ทราบกันโดยทั่วกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่คนทั้งปวงโดยเฉพาะผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องจะเทิดไว้เหนือเกล้า แล้วน้อมนำมาประพฤติปฏิบัติ ซึ่งมีแต่จะเป็นประโยชน์สุขแก่ประเทศชาติและประชาชน 

พระบรมราโชวาทดังกล่าวนั้นสรุปก็คือ การร่างรัฐธรรมนูญจะต้องสั้น ต้องไม่ยาว ต้องชัดแจ้ง ทั้งนี้เพื่อให้เป็นที่เข้าใจได้โดยง่ายแก่ประชาชนโดยทั่วไป 

ซึ่งถ้าหากได้ร่างรัฐธรรมนูญตามพระบรมราโชวาทดังกล่าวแล้ว รัฐธรรมนูญก็จะต้องสั้น ชัดเจน ไม่เป็นที่เคลือบแคลงสงสัย ซึ่งจะเป็นทางที่ประชาชนทั้งหลายจะเข้าใจและปฏิบัติได้โดยไม่เป็นปัญหา แต่ทว่าน่าเสียดายนักที่ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องมิได้น้อมนำพระบรมราโชวาทดังกล่าวมาปฏิบัติ

มิหนำซ้ำ บางคนยังบังอาจกล่าวว่าการร่างรัฐธรรมนูญจะพยายามยึดหลักรัฐธรรมนูญของเยอรมันและฝรั่งเศส จนเกิดการท้วงติงว่าหลักการของรัฐธรรมนูญประเทศฝรั่งเศสและเยอรมันนั้นเป็นรัฐธรรมนูญที่มีหลักการการปกครองในระบอบสาธารณรัฐ คำพูดเหล่านั้นจึงค่อย ๆ เงียบหายไป แต่การร่างรัฐธรรมนูญก็มิได้เปลี่ยนแปลงไปจากแนวความคิดที่ว่านั้น 

นอกจากนั้น การร่างรัฐธรรมนูญต้องยึดหลักที่สำคัญคือต้องถือเอาประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชนเป็นที่ตั้ง หากการร่างรัฐธรรมนูญใดถือเอาบุคคลเป็นที่ตั้ง ไม่ว่าเพื่อกีดกันคนบางพวกไม่ให้เข้ามามีอำนาจ หรือเพื่อเกื้อกูลคนบางคนบางพวกให้มีอำนาจ การร่างรัฐธรรมนูญนั้นก็ผิดหลักผิดเกณฑ์ และย่อมเกิดปัญหานานาประการ 

โดยเฉพาะการเขียนบทเฉพาะกาลแห่งรัฐธรรมนูญนั้น จะต้องเป็นกรณีเฉพาะและจำเป็นเพื่อให้ระยะผ่านการบังคับใช้รัฐธรรมนูญสองฉบับให้เป็นไปโดยราบรื่นในเวลาอันรวดเร็ว เพื่อให้รัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นใหม่สามารถบังคับใช้ได้เต็มรูปแบบ 

นับแต่ร่างรัฐธรรมนูญที่พยายามร่างกันขึ้นใหม่นี้ใช้บังคับปรากฏว่าได้เกิดปัญหานานัปการขึ้น ตั้งแต่กระบวนการในการสมัครรับเลือกตั้ง ในการประกาศผลการเลือกตั้ง ในการตรวจสอบไต่สวนเกี่ยวกับการกระทำที่ไม่ชอบหรือไม่สุจริตและเที่ยงธรรมในการเลือกตั้ง ทั้งในส่วนองค์กรที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องและผู้ต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญนั้น 

ขณะนี้มาถึงชั้นการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีก็ส่อว่ากำลังจะเกิดปัญหาตามมาอีก ดังนั้นจึงสมควรจะได้ลำดับปัญหาที่เกิดขึ้นอันเป็นผลพวงมาจากการร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าว ที่สำคัญมีดังต่อไปนี้ 

ประการแรก เกี่ยวกับการสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งเป็นหน้าที่ของ กกต. จะต้องตรวจสอบการสมัครรับเลือกตั้งว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งคนใดมีคุณสมบัติที่ครบถ้วนที่จะรับสมัครหรือไม่ เพราะว่าถ้าหากมีความผิดพลาดในเรื่องนี้ก็มีเวลาจำกัดที่จะเพิกถอนการสมัครรับเลือกตั้งนั้น โดยรวมก็คือจะต้องขอเพิกถอนเสียก่อนการเลือกตั้ง 

แต่ปรากฏว่าด้วยระยะเวลาอันจำกัดและด้วยกระบวนการในการตรวจสอบคุณสมบัตินั้นยังมีช่องโหว่ช่องว่างอยู่เป็นอันมาก ดังนั้นจึงทำให้ผู้ที่ไม่มีคุณสมบัติได้ลงสมัครรับเลือกตั้งแล้วก่อเกิดปัญหาในภายหลังขึ้น 

ประการที่สอง เกี่ยวกับการประกาศผลการนับคะแนนแต่ละหน่วยเลือกตั้งและผลรวมของแต่ละเขตเลือกตั้ง รวมทั้งผลรวมของคะแนนรวมของแต่ละพรรคการเมืองสำหรับใช้ในการคำนวณ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งจนถึงวันนี้การเลือกตั้งผ่านมาช้านานแล้ว แต่พรรคการเมืองและผู้เกี่ยวข้องก็ยังไม่ทราบว่าผลการเลือกตั้งแต่ละหน่วย แต่ละเขต เป็นอย่างไร ทำให้เกิดปัญหาข้อสงสัยเกี่ยวกับคะแนนการเลือกตั้งรวมที่ใช้ในการคำนวณ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ และยังมีการร้องขอเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่หลายประการ ซึ่งไม่รู้ว่าจะเกิดปัญหาร้ายแรงขึ้นมาในวันใด 

ประการที่สาม การกำหนดหลักการนำผลคะแนนรวมเพื่อใช้ในการคำนวณ ส.ส. บัญชีรายชื่อนั้นเป็นเรื่องใหม่ที่อาจถือได้ว่าเป็นรุ่งอรุณของการนำหลักการตามรัฐธรรมนูญของฝรั่งเศสและเยอรมันมาใช้ เพราะใครจะรู้ว่าสักวันหนึ่งก็จะพัฒนาไปจนถึงขั้นการเลือกนายกรัฐมนตรีโดยตรง และอาจพัฒนาไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง จึงต้องนับว่าตรงนี้เป็นย่างก้าวสำคัญที่อาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นอย่างอื่นไปได้ในอนาคต 

ประการที่สี่ เกี่ยวกับการคำนวณ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งมีช่องโหว่ช่องว่างทั้ง ๆ ที่รัฐธรรมนูญกำหนดมีความชัดเจนอยู่พอสมควรแล้วว่า การจัดสรร ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อนั้นจะต้องจัดสรรให้แก่พรรคการเมืองที่มี ส.ส. แบบเขตเลือกตั้ง ตามสัดส่วนของคะแนนรวมที่ได้รับ แต่ต้องไม่เกิน ส.ส.พึงมี ซึ่งช่องโหว่ช่องว่างเหล่านั้นก่อให้เกิดการตีความที่เป็นปัญหาว่าสามารถจัดสรร ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อให้แก่พรรคการเมืองที่ไม่มี ส.ส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้งได้ด้วย จึงเป็นที่ครหานินทาและเป็นปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นอันอาจจะส่งผลต่อการเลือกตั้งโดยรวมก็ได้ 

ประการที่ห้า การกำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้งที่วกวนมากมายยิ่งกว่าการเดินทางรอบเขาวงกต โดยเฉพาะการขาดการคำนึงถึงสถานการณ์และความเป็นจริงของบ้านเมือง ดังเช่น การห้ามมิให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งและ ส.ส. เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ โดยขาดความเข้าใจว่าสิ่งที่เรียกว่าสื่อมวลชนนั้นในปัจจุบันนี้มิได้มีแค่หนังสือพิมพ์อย่างเดียว แต่มีสื่อมวลชนจำพวกโซเชียลมีเดียมากมายหลายชนิดที่เป็นสื่อมวลชนที่ทรงอานุภาพในปัจจุบัน และมีผลต่อการเลือกตั้งมากกว่าหนังสือพิมพ์จนสุดประมาณนัก 

ผลจากเรื่องนี้จึงทำให้เกิดเรื่องร้องเรียนเพื่อเพิกถอน ส.ส. และ ส.ว. นับถึงขณะนี้เกือบจะมีจำนวนรวมกันถึง 200 คนแล้ว ซึ่งย่อมก่อให้เกิดวิกฤตทางการเมืองขึ้นอย่างร้ายแรงต่อไปได้ 

ประการที่หก ผลจากความสลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนวกไปวนมาจนแทบหาเค้าเงื่อนไม่เจอ ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งนี้จึงเกิดผลดังที่เห็นอยู่ ซึ่งแต่เดิมมานั้นก็จะทราบผลการเลือกตั้งที่ค่อนข้างแน่นอนตั้งแต่คืนวันเลือกตั้งแล้ว และในระยะเวลาวันหรือสองวันหลังจากนั้นก็จะมีแถลงการณ์ร่วมจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างชัดเจน และจากนั้นไม่นานรัฐบาลใหม่ก็สามารถเข้าบริหารราชการแผ่นดินได้ ไม่ก่อให้เกิดความชะงักงัน หรือความไม่เชื่อมั่นในการบริหารราชการแผ่นดินทั้งในและต่างประเทศ 

ประการที่เจ็ด คือการกำหนดบทเฉพาะกาลให้ ส.ว. ซึ่งโดยหลักการนั้น ส.ว. มีอำนาจหน้าที่ในการกำกับ ตรวจสอบ และควบคุม รวมทั้งการกลั่นกรองการทำงานของรัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรด้วย แต่เมื่อกำหนดให้ ส.ว. แต่งตั้งโดย คสช. และมีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรี กระทั่งเข้าร่วมลงมติในการพิจารณาเรื่องสำคัญ ๆ ร่วมกับสภาผู้แทนราษฎร จึงกระทบต่อหลักการการมี ส.ว. จนแทบจะสิ้นเชิง และถึงวันนี้ก็มีเสียงกล่าวหากึกก้องว่า ส.ว. คือองค์กรค้ำจุนทางการเมืองของพรรคการเมืองเท่านั้น ตรงจุดนี้จะเป็นตราบาปแห่งหลักการการมี ส.ว. ที่จะเป็นเรื่องเล่าขานต่อไปในประวัติศาสตร์การเมืองไทย 

ประการที่แปด ซึ่งเป็นเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น นั่นคือการตั้งคณะรัฐมนตรี ซึ่งอาจจะเกิดปัญหาที่หนักหนาไม่ต่างกัน เพราะนอกจากคุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นรัฐมนตรีที่ไม่ค่อยจะแตกต่างจากคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้งและ ส.ส. ส.ว. แต่ที่เพิ่มเติมขึ้นจากนั้นก็คือการกำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีจะต้องมีคุณสมบัติพิเศษ 

คือต้องเป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ 

นั่นคือต้องมีทั้งความซื่อสัตย์ ไม่ทรยศหักหลังใคร มีความซื่อตรงต่อประเทศชาติและประชาชน ไม่คดในข้องอในกระดูก หรือแม้กระทั่งทรยศต่อพรรคการเมืองที่ตนสังกัดหรือทรยศต่อคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนในการเลือกตั้ง 

นั่นคือต้องมีความสุจริต ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อย ไม่ว่าจะมีคำพิพากษาของศาลตัดสินแล้วหรือไม่ ต้องเป็นผู้ที่ไม่มีพฤติกรรมหรือพฤติการณ์ในการทุจริต ฉ้อฉล ฉ้อราษฎร์บังหลวง คือทั้งฉ้อราษฎร์ก็ดี บังหลวงก็ดี หรือเป็นที่ประจักษ์รู้กันโดยทั่วไปว่ามีพฤติการณ์เช่นนั้นก็ดี 

ที่สำคัญคือทั้งความซื่อสัตย์และความสุจริตนั้นจะต้องเป็นที่ประจักษ์ เป็นที่รู้กันทั่วไปในสังคมและประชาชน 

ตรงนี้แหละจะเป็นปัญหา และเป็นความรับผิดชอบในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ 

เหล่านี้คือปัญหาเล็กน้อยตั้งแต่รับสมัครเลือกตั้ง มาจนถึงขั้นตั้งคณะรัฐมนตรี ก็ได้รู้เห็นกันแล้วว่าเป็นอย่างไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในอนาคต ปัญหาความขัดแย้งและวิกฤตต่าง ๆ อาจจะเกิดขึ้นจนสุดหยั่งคาดก็ได้.

ยันกลาง ก.ค. ได้รัฐบาลใหม่ "ตู่" การันตี ปัดช่วย "แรมโบ้"!

บิ๊กป้อม" คุยลั่น-ใจยังสู้! จับตาศาลรธน.ดคี 41 ส.ส. พท.จองกฐิินถล่มรัฐบาล "คณะราษฎร" โร่ร้องยูเอ็น

“ประยุทธ์” สแกนรายชื่อ ครม.จ่อเรียกกรอกประวัติรับรองตัวเอง วันข้างหน้าไม่เป็นตามนั้นต้องโดนคดี การันตีกลางเดือน ก.ค. ได้รัฐบาลใหม่ ย้อนสื่อถ้าเป็นหัวหน้าพรรค พลังประชารัฐกระทบใคร “บิ๊กป้อม” ออกตัวร่างกายไม่ไหวแต่ใจยังสู้รับไม่ได้เช็ก ส.ว.ถือหุ้นต้องห้ามตั้งแต่แรก จับตาศาลรัฐธรรมนูญรับ-ไม่รับคำร้อง 41 ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลถือหุ้นสื่อ “ปิยบุตร” หวังสั่งพักงานเหมือน “ธนาธร” ด้าน “ทศพล” รอดูลู่ทาง ชงสอย 55 ส.ส.ฝ่ายค้านผ่านประธานสภาฯหรือร้องตรงศาล รธน. ฝ่ายค้านจัดหนักถล่มแผนปฏิรูปประเทศ พท.จ้องขยี้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีสมคบคิดสืบทอดอำนาจ คสช. อนค.เล็งขย่มข้ามวันข้ามคืน วิปรัฐบาลตีกันให้แค่ 3 ทุ่ม เหน็บไม่ใช่เวทีซ้อมซักฟอก “ประวิตร” แจกต่อโฉนดแก้หนี้โหด ใครพูดจัดฉากต้องรับผิดชอบ “นิพิฏฐ์” ท้าฟ้องบี้เปิดข้อมูลลูกหนี้-เจ้าหนี้

จากกรณีที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าผ่านการเลือกตั้งมากว่า 3 เดือนแล้ว แต่ยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลและ ครม.ชุดใหม่มาบริหารประเทศได้ ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกมาระบุว่ากลางเดือน ก.ค.จะมีรัฐบาลใหม่แน่นอน


“นายกฯ” สอนเด็กๆชีวิตต้องลิขิตเอง

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 25 มิ.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก่อนการประชุม นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รมว.วัฒนธรรม นำดารานักแสดง อาทิ สมบัติ เมทะนี อนุชิต สพันธุ์พงษ์ คณะผู้จัดงานเทศกาลภาพยนตร์อาเซียนแห่งกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 5 ในวันที่ 3-8 ก.ค.ที่โรงภาพยนตร์ เอส เอฟ เวิล์ด ซีนีม่า ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์และโรงภาพยนตร์ พารากอน ซีนีเพล็กซ์ ศูนย์การค้าสยามพารากอน กทม.เข้าพบพร้อมร้องเพลง “คิดมาก” ของปาล์มมี่ เวอร์ชันประกอบภาพยนตร์ “FRIEND ZONE ระวัง...สิ้นสุดทางเพื่อน” ขับร้องเป็น 10 ภาษา ประเทศสมาชิกอาเซียน โดย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า คนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่ต้องเดินไปด้วยกัน ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

ต่อมานายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานกรรมการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) นำนักเรียนที่ได้รับเงินกองทุนเสมอภาคและนักศึกษาทุนนวัตกรรมสายอาชีพเข้าขอบคุณนายกฯ มอบภาพวาดรูปเหมือนนายกฯ เป็นที่ระลึก พร้อมร่วมร้องเพลง “ชีวิตลิขิตเอง” ของ เบิร์ด ธงไชย โดยนายกฯให้โอวาทว่า อยากให้ส่งต่อถึงน้องๆด้วย เป็นนโยบายที่รัฐบาลทำต่อ เมื่อฟ้าลิขิตมาฟ้าท่านดูแลเราทุกคนอยู่แล้ว แต่เราต้องลิขิตตัวเองด้วย กำหนดอนาคตตัวเอง พยายามและตั้งใจ คนเรามีเงินมีทุกอย่างถ้าไม่ตั้งใจก็ไปไม่ได้ นี่คือคนไทยยังไงก็คือ ประเทศไทย รัฐบาลจะดูแลให้ ตอนนี้อาจไม่มากมายกำลังพัฒนาวันหน้ารายได้ประเทศสูงขึ้น อดทนกับเราอีกนิดนึง

ย้อนเป็น หน.พปชร.กระทบใคร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์มีอารมณ์ดีสีหน้ายิ้มแย้ม โดยตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงความคืบหน้า การนำรายชื่อ ครม.ชุดใหม่ขึ้นทูลเกล้าฯว่า “โอ้ย... เธอจ๋า วันนี้เพิ่งเริ่มขั้นตอนตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง” ขณะที่นายธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาส เลขาธิการคณะรัฐมนตรีกล่าวว่า ครม.ชุดใหม่ยังอยู่ระหว่างขั้นตอนการตรวจสอบ รายละเอียดต้องถามนายกฯ จากนั้นเวลา 13.00 น. พล.อ.ประยุทธ์กล่าวภายหลังการประชุม ครม.ถึงกระแสข่าวที่จะรับเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ว่า ทำไม มีผลกระทบอะไรกับใครหรือ จะเป็นหรือไม่เป็น มีใครได้รับผลกระทบอะไรหรือเปล่า


ทำงานได้เหมือนกัน เรื่องการเมืองก็ว่ากันไป แต่ต้องมีคนทำงาน

ให้ รมต.กรอกประวัติรับรองตัวเอง

เมื่อถามถึงความคืบหน้าการนำรายชื่อ ครม.ใหม่ ขึ้นทูลเกล้าฯ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เรื่องโผ ครม.ถามแล้วถามอีก เดี๋ยวจะเรียกบุคคลที่มีรายชื่อเข้ามากรอกประวัติอย่างเป็นทางการ ที่ผ่านมามีการตรวจสอบ โดยเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลเพียงกว้างๆ หากคนใดมีคดีความด้วย หน่วยงานชี้แจงว่าอยู่ในขั้นตอนใด กฎหมายว่าอย่างไร ท้ายที่สุดจะต้องเชิญบุคคลเหล่านั้นมาเซ็นรับรองตัวเอง หากวันข้างหน้าไม่เป็นไปตามที่ได้รับรองไว้จะต้องโดนคดี ขอให้ใจเย็นๆ เพราะยังอยู่ในกระบวนการตรวจสอบ เดี๋ยวก็รู้ เมื่อถามว่าหลังการประชุม G20 ที่ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 27-29 มิ.ย. จะนำรายชื่อ ครม. ขึ้นทูลเกล้าฯทันหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ตอบทันทีว่า “ทันสิ จะไม่ทันได้อย่างไร”

กลาง ก.ค.ได้รัฐบาลใหม่แน่นอน

เมื่อถามว่าไม่มีใครหลุดโผที่แต่ละพรรคเสนอมาใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ย้อนถามว่า “โผอะไรคงมีบ้าง ครม.มีทั้งหมด 36 ตำแหน่งไม่ว่าจะอย่างไรต้องอยู่ใน 36 ตำแหน่งนี้ อาจจะมีคนมากหรือน้อย แต่ทั้งหมดต้องไม่เกิน 36 คน และอาจจะมีคนที่ซ้ำ 3 คนหรือเปล่า ต้องดูตรงนั้น ถ้าไม่ได้เป็นรัฐมนตรีก็ยังเป็น ส.ส.ที่ทำงานในสภาฯ วันนี้หวังอย่างเดียวว่าทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลจะทำงานด้วยกันตามยุทธศาสตร์ชาติ ให้ประเทศเดินต่อไปได้ ไม่ใช่จ้องล้มกันอยู่ตลอดเวลา แต่ตนห้ามไม่ได้ ประชาชนต้องตัดสินเองว่าพฤติกรรมของแต่ละคนเหมาะสมอย่างไร วันนี้ตอบได้อย่างเดียวว่า ทำทันเวลาแน่นอน กลางเดือนหน้าจะได้รัฐบาลอย่างแน่นอน อย่าทำทุกอย่างให้เป็นราชภาระของพระองค์ เพราะเป็นหน้าที่ของตนที่รับผิดชอบ จึงต้องทำให้ทันตามเวลา จากนั้นรอถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อนเข้าปฏิบัติหน้าที่ ยืนยันว่า กลางเดือนหน้าทุกอย่างจะเรียบร้อย วันนี้ยังไม่ตั้งรัฐบาลมีคนจ้องล้มรัฐบาลแล้ว คิดว่าคงไม่ค่อยดีอยากให้ทุกคนช่วยกันบอกต่างประเทศว่าอย่าได้กังวลเพราะเดี๋ยวเราก็ไปกันได้


เชื่อคุยรู้เรื่องพรรคร่วมไม่งอแง

เมื่อถามว่าหลังจัดตั้งรัฐบาลแล้วคิดว่าพรรคร่วมจะเข้าใจการตัดสินใจของนายกฯ หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า อยู่มา 5 ปีแล้วถ้าไม่เข้าใจก็แย่แล้ว ต้องเข้าใจว่าตนทำงานด้วยหลักการ กฎหมาย จึงต้องระวังตัวด้วยเหมือนกัน มีแรงกดดันต่างๆที่ถาโถมเข้ามา จึงต้องมีคณะทำงานกลั่นกรองแผนงานและนโยบาย รวมถึงการใช้จ่ายงบประมาณ การทำงานยอมรับว่าไม่ง่าย ถ้าจะกดดันตนขอให้กดดันว่าจะทำอย่างไรให้ประเทศเดินหน้า สื่อไม่ต้องมาวิจารณ์ว่าจะมีพรรคใดมางอแง เพราะเชื่อว่าเขาคุยกันได้อยู่แล้ว ถ้าทุกคนมองประเทศชาติและประชาชนเป็นหลักทุกอย่างจะไปได้ โดยใช้หลักพระพุทธศาสนานำทาง เดินตามพระ

ไม่กังวลร้อง ส.ส.-ส.ว.ถือหุ้นสื่อ

เมื่อถามถึงกรณีการยื่นตรวจสอบ ส.ส.ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านถือครองหุ้นสื่อ จนลามไปถึง ส.ว. พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เห็นว่าโดนกันทั้งสองฝ่ายและสองสภา จึงเป็นหน้าที่ของประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่จะนำไปพิจารณา หากจำเป็นจะต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญตัดสินออกมาอย่างไรให้เป็นไปตามนั้น ไม่กังวลอะไรทั้งสิ้น เพราะทุกอย่างมีพัฒนาการมาเรื่อยๆ ต้องแก้ไปตามกฎหมาย ขั้นตอนและกระบวนการ ขอให้เชื่อมั่นในคำวินิจฉัย เพราะเป็นการวินิจฉัยเฉพาะตัวเฉพาะเรื่อง ไม่ได้มีบรรทัดฐานมากมาย เพราะเป็นกฎหมายคนละฉบับจากในอดีต ส่วนผลจะออกมาอย่างไรคงตอบไม่ได้ แต่ ส.ส.ทั้งหมดต้องร่วมมือกันทำงาน อย่าเพิ่งไปกังวล ปล่อยเป็นหน้าที่ของศาล ผิดว่าไปตามผิด ถูกว่าไปตามถูก

“บิ๊กป้อม” ชี้ร่างกายไม่ไหวแต่ใจยังสู้

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม กล่าวถึงการตัดสินใจทางการเมืองขณะนี้ว่า ยังไม่รู้เลยและนายกฯยังไม่ได้ทาบทาม ส่วนจะรับตำแหน่งแค่รองนายกฯเพียงตำแหน่งเดียวหรือไม่นั้นยังไม่รู้ เมื่อถามว่าถ้าให้มาทำงานใน ครม.ชุดใหม่ ยังทำงานไหวอยู่ใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวเพียงสั้นๆว่า “ร่างกายไม่ไหว” เมื่อถาม ย้ำว่า หากรับตำแหน่งแค่รองนายกฯเพียงตำแหน่งเดียว ร่างกายก็ไม่ไหวใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่รู้ แต่ใจสู้อยู่แล้ว เพราะทำงานให้ประเทศชาติ ส่วนที่ตนอารมณ์ดีก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว ยกเว้นเจอคำถามสื่อที่อาจจะทำให้อารมณ์ไม่ดีบ้าง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้สุขภาพก็ยังไม่ดีเท่าที่ควร

รับไม่ได้เช็ก ส.ว.ถือหุ้นสื่อแต่แรก

พล.อ.ประวิตรยังกล่าวถึงกรณีมีการตั้งข้อสังเกตว่าคณะกรรมการสรรหาไปเลือกบุคคลที่ถือหุ้นสื่อมาเป็น ส.ว.จนเกิดการร้องเรียนภายหลังว่า เบื้องต้นที่คัดมา 400 คน คณะกรรมการไม่ได้ตรวจสอบ เพิ่งมาทราบตอนที่เหลือ 194 คนที่ไปให้ คสช.พิจารณา ตอนนั้นยังมั่วกันอยู่เพราะมีการรวมกันและการตั้งบริษัทก็พ่วงกันไปหมด บางคนไม่ได้ทำสื่อจริงๆ สำหรับคนที่ถูกร้องขาดคุณสมบัติ ต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้พิจารณา ถ้าพบว่าขาดคุณสมบัติจริงก็ขยับรายชื่อสำรองมาทดแทน เมื่อถามว่าสังคมถามหาความรับผิดชอบจากคณะกรรมการสรรหา พล.อ.ประวิตรตอบว่า มีการเตรียมรายชื่อสำรองไว้แล้ว ไม่ถือเป็นความผิดพลาด เพราะคณะกรรมการไม่รู้เรื่อง

“เสี่ยหนู”การันตี รมต.ภท.เหมาะสม

นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ปฏิเสธถึงกระแสข่าวเปลี่ยน 2 รายชื่อรัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทยว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง ก่อนหน้านี้รายชื่อรัฐมนตรีในสัดส่วนของพรรค ได้ส่งไปที่นายกฯเรียบร้อยและยังไม่มีการตีกลับมา และขอยืนยันว่ารายชื่อที่พรรคส่งไปถือว่ามีความเหมาะสมสามารถทำงานและพร้อมขับเคลื่อนนโยบายต่างๆของพรรคที่มุ่งแก้ปัญหาปากท้องให้แก่ประชาชนได้

“หนูนา” ยัน ส.ส.เป็น รมต.ทำงานสภาฯได้

ที่พรรคชาติไทยพัฒนา น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า รัฐมนตรีของพรรคยังไม่ได้ยื่นเอกสารกรอกรายละเอียด แต่เชื่อว่าไม่มีปัญหาทั้ง 2 คน ไม่มีปัญหาการถือหุ้นหรือทรัพย์สมบัติที่เป็นปัญหา การตั้งรัฐบาลที่ล่าช้าครั้งนี้มีเสียง ส.ส.ก้ำกึ่งกันอาจต้องใช้เวลาหน่อย แต่ในครั้งต่อไปอาจง่ายขึ้น ส่วนที่มีบางฝ่ายเสนอให้ ส.ส.บัญชีรายชื่อที่ได้ตำแหน่งรัฐมนตรีลาออกแก้ปัญหาเสียงปริ่มน้ำ พรรคแกนนำยังไม่ได้ยื่นเงื่อนไขมา แต่ถ้ามีต้องหารือกันภายในอีกครั้ง แต่เชื่อว่า ส.ส.ที่ไปเป็นรัฐมนตรีเมื่อถึงเวลาต้องทำหน้าที่ในสภาฯจะสามารถจัดการทำงานให้ดีได้ เพื่อไม่ให้ซ้ำซ้อนกัน หากมองในแง่ดีก็เชื่อว่า จะทำให้ ส.ส.ตื่นตัวในการทำหน้าที่ในสภา

“จุรินทร์” ย้ำชื่อ รมต.ปชป.ยังคงเดิม

ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯระบุว่าเพิ่งเริ่มแจกแบบฟอร์มให้ว่าที่รัฐมนตรีกรอกประวัติว่าพรรคยังไม่ได้รับ แต่หากส่งมาเมื่อไหร่ ว่าที่รัฐมนตรีของพรรคพร้อมดำเนินการเป็นไปตามขั้นตอน ทุกคนยืนยันว่าตัวเองมีคุณสมบัติถูกต้องครบถ้วน เจ้าตัวจะทราบดีที่สุดว่าเป็นอย่างไร และทุกครั้งที่มีการจัดตั้งรัฐบาลจะมีขั้นตอนกระบวนการอย่างนี้ ขณะเดียวกันยังไม่มีสัญญาณใดๆว่าจะมีการส่งรายชื่อให้กลับมาแก้ไข หรือมีอะไรเปลี่ยนแปลง

แยกคดีสองกลุ่มสู้ในศาล รธน.

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า การต่อสู้คดีแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือกลุ่ม ส.ส.ที่โอนหุ้นตั้งแต่ก่อนลงสมัคร ส.ส.แต่รายละเอียดยังไม่อัปเดตในกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กับกลุ่มที่ไม่ได้ถือหุ้นในกิจการสื่อมวลชนจริงๆ กำลังรวบรวมข้อมูลรายละเอียดกิจการแต่ละบริษัท ได้แจ้งต่อ ส.ส.11 คนที่ถูกร้องเตรียมข้อมูลและรับทราบขั้นตอนการต่อสู้ในศาลรัฐธรรมนูญ ยืนยันว่า ส.ส.พรรคเราไม่ได้หวั่นไหว ทุกคนยืนยันว่าไม่ได้ถือหุ้นสื่อมวลชน ต้องรอให้ศาลแจ้งมาก่อนว่าต้องแก้ข้อกล่าวหาอย่างไร พรรคไม่ได้นิ่งนอนใจ ตั้งทีมทนายแยกออกมาพิจารณาคดีต่างหาก

ประกวดโลโก้ยุว ปชป.ชิงเงินแสน

ช่วงเช้า ที่ลานแม่พระธรณีบีบมวยผม พรรคประชาธิปัตย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เป็นประธานเปิดตัวกิจกรรมประกวดโลโก้ Young Democrat หรือยุวประชาธิปัตย์ โดยเชิญชวนให้เด็กเยาวชนคนรุ่นใหม่ส่งผลงานเข้าประกวดสัญลักษณ์หรือโลโก้ของยุวประชาธิปัตย์ ชิงเงินรางวัล 1 แสนบาท ผู้ชนะเลิศจะได้รับรางวัล 5 หมื่นบาท รางวัลรองชนะเลิศ 2 รางวัล รางวัลละ 2.5 หมื่นบาท พร้อมประกาศนียบัตรของหัวหน้าพรรค นายสรรเสริญ สมลาภา รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และประธานคณะกรรมการกิจการเยาวชนพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า กิจกรรมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ เพื่อดึงศักยภาพคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดสร้างสรรค์ ผลงานออกแบบโลโก้ ที่สื่อถึงอุดมการณ์ ความทันสมัย เป็นจุดรวมจิตใจและสร้างพลังพร้อมจะขับเคลื่อนไปด้วยกัน ผู้สนใจต้องเป็นนักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป อายุ
ไม่เกิน 35 ปี ส่งผลงานพร้อมสำเนาบัตรประชาชน ภายในวันที่ 31 ก.ค.หรือติดต่อข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Logo4Democrat@gmail.com หรือ www.democrat.or.th 

พท.เปิดฉากจัดเต็มถล่มรัฐบาล

ที่พรรคเพื่อไทย นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า พรรคเพื่อไทยได้ประชุมวางตัวบุคคลอภิปรายในการประชุมสภาฯวันที่ 26 มิ.ย. เรื่องสำคัญคือแผนการปฏิรูปประเทศ เราไม่เห็นความคืบหน้าการปฏิรูปเลย ขณะที่นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า พรรคเพื่อไทยจะมีกระทู้สดและกระทู้ถามทั่วไป

การแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรและการขุดลอกคูคลองและอื่นๆ เรื่องสำคัญการรับทราบแผนการปฏิรูปประเทศที่ต้องรับทราบกันทุก 3 เดือนจะใช้เวลาอภิปรายประมาณ 5-6 ชั่วโมง พรรคเพื่อไทยจะใช้เวลา 150 นาที พรรคอนาคตใหม่ 100 นาที นอกจากนั้นเป็นเวลาของพรรคร่วมฝ่ายค้าน จะชี้ให้เห็นว่าการร่างแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีเป็นเรื่องโกหกถ่วงเวลา เป็นทฤษฎีสมคบคิดทำลายโอกาสประเทศหรือเป็นเรื่องการสืบทอดอำนาจ คสช. หรือไม่ จะชี้ให้เห็นว่าสมควรจะให้มียุทธศาสตร์ 20 ปีต่อไปหรือไม่ หากอภิปรายไม่แล้วเสร็จวันที่ 26 มิ.ย. อาจขอใช้เวลาอภิปรายวันถัดไปต่อ

“ชูศักดิ์” ไม่กังวล ส.ส.สะดุดปมหุ้น

นายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีพรรค พลังประชารัฐเตรียมยื่นร้อง ส.ส.พรรคเพื่อไทยถือหุ้นสื่อว่า ต้องตีความให้ชัดเจนก่อน กฎหมายเขียนว่าเป็นเจ้าของหรือถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชน ตรวจสอบดูแล้วหลายคนที่ถูกร้องวัตถุประสงค์ของบริษัทเขียนว่าประกอบกิจการโฆษณา วิทยุ โทรทัศน์ ถ้าเขียนอย่างนี้ถือว่าเป็นการประกอบกิจการสื่อมวลชนหรือไม่ ส่วนตัวคิดว่าไม่ใช่ บางคนค้าขายสิ่งพิมพ์ ไม่ใช่คนทำสื่อ จำเป็นต้องตีความคำเหล่านี้ให้ชัดเจนก่อน หากตีความว่าใช่ ศาลรัฐธรรมนูญจะยึดบรรทัดฐานแบบศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งหรือไม่ เป็นดุลพินิจของศาลจะเอาอย่างไร หากศาลเห็นว่าเข้าข่ายต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ดูจากรัฐธรรมนูญและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนตีความได้ว่าถ้ารับมาพิจารณาแล้วต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ พรรคเพื่อไทยตรวจดูแล้วหลายบริษัทเป็นบริษัทร้างไม่ได้ประกอบกิจการ หรือเลิกกิจการแล้ว หรือเขียนวัตถุประสงค์ไว้กว้างๆ ไม่อาจตีความได้ว่าเป็นเจ้าของหรือถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชน การเขียนวัตถุประสงค์ไม่ได้หมายความว่าจะประกอบกิจการสื่อได้เลย ไม่ได้วิตกกังวลอะไร

แจง “สมพงษ์” ถือหุ้นบริษัทร้าง

นายชูศักดิ์กล่าวอีกว่า กรณีนายสมพงษ์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย เคยถือหุ้นอยู่ในบริษัทหนึ่ง ได้ตรวจสอบแล้วว่าเป็นบริษัทร้างเลิกกิจการแล้วดูจากคำร้องคล้ายว่ามีบริษัทอื่นๆอีก จะถือว่าเข้าข่ายประเด็นดังกล่าวหรือไม่ แต่ดูแล้วว่าไม่ได้ประกอบกิจการแน่ ผ่านมา 40-50 ปีแล้ว ที่ระบุว่าคำตัดสินของศาลฎีกาฯไม่ผูกพันกับศาลรัฐธรรมนูญ ต้องอยู่ที่ดุลพินิจของศาล สำหรับตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านยังมีเวลา คาดว่าจะชัดเจนเดือน ก.ค.

“ปิยบุตร” หวังแขวน 41 ส.ส.แบบ “ธนาธร”

ที่พรรคอนาคตใหม่ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ กล่าวถึงกรณีที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯฝ่ายกฎหมายระบุถึงการตีความ 41 ส.ส.รัฐบาลถือหุ้นสื่อของศาลรัฐธรรมนูญควรต้องดูจากความเสียหายที่ตามมาเป็นหลักว่า นายวิษณุพูดถูกการประเมินต้องดูผลกระทบความเสียหายในการทำหน้าที่ในสภาฯ กรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคพรรคอนาคตใหม่ ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 8 ต่อ 1 ให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. ระบุว่าหากให้เข้าประชุม ส.ส.จะมีข้อโต้แย้งคัดค้านทางกฎหมายตามมาจำนวนมาก เมื่อศาลมองว่ากรณีนายธนาธรเป็น ส.ส.คนเดียวทำให้เสียหาย แล้วถามว่ากรณี 41 ส.ส.เสียหายหรือไม่ จะบอกว่าไม่เสียหายเพราะจะโหวตร่าง พ.ร.บ.งบประมาณประจำปีไม่ผ่านคงไม่ได้ ต้องรอดูว่าศาลจะมีดุลพินิจเป็นอย่างไร

ขอมาตรฐานเดียวอย่าเลือกปฏิบัติ

นายปิยบุตรกล่าวอีกว่า ขอให้ดูคำร้องของ ส.ส.อนาคตใหม่ที่เข้าชื่อร้อง 41 ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล กับที่ กกต.ทำคำร้องของนายธนาธรส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญ จะเห็นได้ว่าแตกต่างกันมาก คำร้องของ กกต.มีรายละเอียดตามเนื้อหาของสำนักข่าวแห่งหนึ่ง แต่คำร้องของ ส.ส.อนาคตใหม่มีรายละเอียดมาก ตรวจสอบว่าใครยังถือหุ้นในบริษัทใดบ้าง บริษัทใดปิดกิจการไปแล้วไม่ได้ยื่นร้อง ตามกระบวนการของ 41 ส.ส.การรับคำร้องหรือไม่ เป็นคนละขั้นตอนกับการตัดสิน การพิจารณารับหรือไม่คำร้องไม่จำเป็นต้องไต่สวน เมื่อรับคำร้องไปแล้วจึงเข้าสู่ขั้นตอนไต่สวนชี้แจงกันภายหลัง เหมือนกรณีนายธนาธร ส่วนที่มีการยื่นร้อง 55 ส.ส.ฝ่ายค้านจาก ส.ส.รัฐบาลไม่เป็นไร เป็นสิทธิแต่ละท่าน แต่ขอให้มีมาตรฐานเดียวกัน ไม่เลือกปฏิบัติโดยดูจากหน้าผู้ถูกร้อง

จ้องขย่มแผนปฏิรูปยาวข้ามคืน

นายปิยบุตรกล่าวต่อว่า เลือกตั้งผ่านไปแล้ว 3 เดือน พล.อ.ประยุทธ์ได้รับการโปรดเกล้าฯเป็นนายกฯตั้งแต่วันที่ 11 มิ.ย.แต่ยังตั้งรัฐบาลไม่เสร็จ ขอเรียกร้องให้ตั้ง ครม.ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว อย่าให้ปัญหาการจัดสรรปันส่วนรัฐมนตรีของพรรคร่วมรัฐบาลมากระทบบ้านเมือง ฝ่ายค้านที่ต่อต้าน คสช.ยังยอมรับกติกาเมื่อ ส.ว.โหวต พล.อ.ประยุทธ์ชนะแล้วพร้อมทำหน้าที่ บ้านเมืองจะได้มีฝ่ายบริหารให้ฝ่ายค้านตรวจสอบ ตอนนี้มีการตั้งกระทู้ถามแล้ว แต่ยังไม่รู้ใครจะเป็นผู้มาตอบ และการประชุมสภาฯวันที่ 26 มิ.ย. ส.ส.อนาคตใหม่จะใช้เวทีสภาตรวจสอบตามวาระการประชุม โดยเฉพาะรายงานแผนการปฏิรูปประเทศ เราตั้งใจจะอภิปรายอย่างเต็มที่ อาจกินเวลาข้ามไปถึงวันที่ 27 มิ.ย. แม้เป็นวาระแจ้งให้ทราบไม่ต้องลงมติ แต่สภาผู้แทนฯไม่ใช่สภาฯตรายางต้องอภิปรายเต็มที่

อัด คสช.ยัดไส้เกสตาโปใส่ กอ.รมน.

ด้าน พล.ท.พงศกร รอดชมภู รองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวถึงกรณี พ.ร.บ.รักษาความ–มั่นคง 2551 กรณีที่ กอ.รมน.รับโอนหน้าที่จาก คสช.หลังหมดอำนาจว่า การยกเลิกคำสั่ง คสช.ได้ต้องมี พ.ร.บ.มารองรับ สิ่งนี้จะยังคงอยู่จนกว่าจะมีพรรค การเมืองและภาคประชาชนร่วมกันปลดอาวุธ คสช. แม้เราจะเชื่อกันว่าเมื่อมีรัฐบาลใหม่แล้วมาตรา 44 และ คสช.จะหายไป แต่ความจริงยังมีกฎหมายต่างๆ ที่ไปอยู่ใน พ.ร.บ.หรือระเบียบต่างๆของทางราชการ โดยเฉพาะการเพิ่มอำนาจ กอ.รมน.มีการพูดกันว่าจะรับไม้ต่อจาก คสช. ก่อนมาแก้ต่างว่าไม่มีแสดงให้เห็นว่าการเคลื่อนไหวของทหารและเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงยังมีต่อไป ฝ่ายราชการควรทำหน้าที่ผู้สนับสนุนประชาชน ไม่ใช่ควบคุมประชาชน ถ้าจะให้นิยามมันคือเกสตาโปในสมัยนาซีเจ้าหน้าที่จะเข้าถึงทุกบ้าน

วิป รบ.ค้านตั้ง กมธ.ตรวจสอบ ส.ว.

เมื่อเวลา 09.30 น. ที่อาคารรัฐสภาใหม่ เกียกกาย มีการประชุมสมาชิกพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาลชั่วคราว) มีนายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ เป็นประธานการประชุมเพื่อพิจารณาเตรียมพร้อมเพื่ออภิปรายและการประชุมสภาฯ วันที่ 26 มิ.ย. ภายหลังการประชุมนายวิรัชเปิดเผยว่า ได้พูดคุยกันหลายประเด็น ทั้งกรณีตัวแทน 7 พรรคร่วมฝ่ายค้านยื่นญัตติขอตั้งคณะ กมธ.วิสามัญเพื่อตรวจสอบ สอบสวน การได้มาซึ่ง ส.ว.ว่าขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ รวมถึงญัตติให้ตรวจสอบการขาดสมาชิกภาพของ ส.ว.ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 113 และ 114 ว่าด้วย ส.ว.ที่ไม่ฝักใฝ่การเมืองฯ ผ่านขั้นตอนรัฐสภา เพื่อเสนอต่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ พร้อมขอให้บรรจุเป็นญัตติเร่งด่วนและบรรจุไว้ในระเบียบวาระการประชุมสัปดาห์หน้า แต่วิปรัฐบาลเห็นว่า ส.ส.ไม่ควรไปสอบสวนที่มา ส.ว.และถ้า ส.ว.มาสอบสวน ส.ส.คงอยู่นอกเหนืออำนาจ ถ้าบรรจุระเบียบวาระไปจะอยู่นอกเหนืออำนาจด้วย วิปรัฐบาลจึงไม่เห็นด้วย ส่วนประธานสภาฯจะดำเนินการอย่างไรเป็นการตัดสินใจของประธาน เราไม่ไปก้าวก่าย

ให้จ้อ 3 ทุ่มเหน็บไม่ใช่เวทีซ้อมซักฟอก

นายวิรัชกล่าวอีกว่า ส่วนการประชุมสภาฯเพื่อรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนการปฏิรูประเทศ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 270 รัฐบาลต้องส่งให้รัฐสภารับทราบทุก 3 เดือน ส.ส.พรรคฝ่ายค้านขอเวลาอภิปรายจนเสร็จสิ้นเวลา 21.00 น. มีตัวแทนสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ รายงานความคืบหน้า

ด้าน น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ และวิปรัฐบาล กล่าวว่า เชื่อว่ากรณีพรรคฝ่ายค้านขอเวลาเพื่ออภิปรายรับทราบรายงานความคืบหน้างานด้านปฏิรูปจะไม่ทำให้เกิดปัญหา หรือสร้างความวุ่นวาย หรือใช้เป็นเวทีเพื่อซักซ้อมการอภิปรายรัฐบาล ตามขั้นตอน ส.ส.มีเพียงหน้าที่รับทราบรายงานเท่านั้น ขณะที่การติดตามและตรวจสอบความคืบหน้างานปฏิรูปนั้น รัฐธรรมนูญกำหนดให้เป็นบทบาทของ ส.ว. แต่พรรคร่วมรัฐบาลจะศึกษาข้อมูลการปฏิรูปที่ผ่านมาว่าอยู่ในกรอบหรือหลักการหรือไม่

“ศรีสุวรรณ” จี้ สตง.ทวง 22 ล้าน “นิพนธ์”

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า วันที่ 26 มิ.ย. เวลา 10.00 น. จะไปยื่นหนังสือต่อสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เพื่อทวงถามความคืบหน้าการทวงเงินคืนจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ที่มีนายนิพนธ์ บุญญามณี เป็นนายก อบจ.สงขลา ที่เบิกจ่ายเงินอุดหนุนของ อบจ.สงขลา ประจำปี 2558-2559 ให้สมาคมกีฬาแห่งจังหวัดสงขลา 22 ล้านบาท เกินอำนาจหน้าที่และไม่ถูกต้องตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการรับเงิน การจ่ายเงินอุดหนุนปี 2543 สตง.มีมติให้ อบจ.สงขลานำเงินที่เบิกจ่ายไม่เป็นไปตามระเบียบ 22 ล้านบาทส่งคืนคลัง แต่จนบัดนี้ยังไม่คืบหน้า กระทั่งนายนิพนธ์ได้รับการเสนอชื่อจากพรรคประชาธิปัตย์ให้เป็น รมช.มหาดไทยยังไม่ปรากฏว่ามีการเรียกเงินคืนคลังครบแล้วหรือไม่ และดำเนินคดีกับผู้อนุมัติการใช้เงินโดยมิชอบหรือไม่ เพื่อให้สังคมไทยมีบรรทัดฐานที่ถูกต้อง ตำแหน่งเสนาบดีไม่ใช่ตำแหน่งที่ใช้ชุบตัวของนักการเมืองคนใด จึงต้องมาทวงถาม

“ทศพล” รอเลือกช่องทางสอย 55 ส.ส.

ที่พรรคพลังประชารัฐ นายทศพล เพ็งส้ม อดีตผู้สมัคร ส.ส.นนทบุรี และหัวหน้าทีมต่อสู้กรณี 27 ส.ส.พลังประชารัฐถูกร้องเข้าข่ายถือครองหุ้น และเป็นเจ้าของกิจการสื่อ เปิดเผยว่า พรรคจะรอดูศาลรัฐธรรมนูญว่าจะรับพิจารณาคำร้องที่ 41 ส.ส.ฝั่งรัฐบาลถูกร้องเข้าข่ายถือหุ้นสื่อหรือไม่ในวันที่ 26 มิ.ย.ก่อน เพื่อมาดูว่าจะใช้แนวทางใดยื่นฟ้อง 55 ส.ส.ฝั่ง 7 พรรคฝ่ายค้านถือหุ้นสื่อได้ถูกต้อง เบื้องต้นมี 2 แนวทางคือ ร้องผ่านประธานสภาฯ หรือให้ ส.ส.ไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเอง มั่นใจว่าข้อมูลที่ได้รวบรวมมาสามารถเอาผิด ส.ส.ฝ่ายค้านได้แน่ และไม่มั่วเหมือนพรรคอนาคตใหม่ที่ยื่นฟ้องไม่เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย

จับตาศาล รธน.ถก 41 ส.ส.ถือหุ้นสื่อ

ผู้สื่อข่าวรายงานจากสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญว่า การประชุมของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญวันที่ 26 มิ.ย. เวลา 13.30 น. จะมีการพิจารณารับหรือไม่รับ คำร้องที่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า 41 ส.ส.ที่ถือครองหุ้นสื่อเข้าข่ายทำให้ขาดคุณสมบัติดำรงตำแหน่ง ส.ส.หรือไม่ พร้อมประเด็นที่นายทศพล เพ็งส้ม หัวหน้าทีมต่อสู้คดีหุ้นสื่อของ 27 ส.ส.พรรคพลังประชารัฐยื่นขอให้ศาลจำหน่ายคดี เนื่องจากพรรคอนาคตใหม่ ผู้ยื่นเรื่องต่อประธานรัฐสภาเสนอเรื่องเป็นหนังสือ ไม่ได้ทำเป็นคำร้อง ถือว่าไม่ถูกต้องตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561

คาดพิจารณา 4 รมต.คู่สัมปทานรัฐ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนี้อาจมีการประชุมอภิปรายเพื่อนำไปสู่การพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดกรณี กกต.ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสามว่าความเป็นรัฐมนตรีของ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล อดีต รมช.ศึกษาธิการ นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีต รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ อดีต รมว.ศึกษาธิการ และนายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รมช.คมนาคม สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) หรือไม่ กรณีที่ถือครองหุ้นบริษัทที่เป็นคู่สัญญาสัมปทานกับรัฐ


ศาล ปค.ตีตกคำร้อง กก.สรรหา ส.ว.

วันเดียวกัน ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามศาลปกครองกลาง สั่งไม่รับคำฟ้องของคณะราษฎรไทยแห่งชาติกับพวกรวม 34 คน ที่ยื่นฟ้อง คสช.และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ กรณีตั้งคณะกรรมการสรรหา ส.ว.โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากแต่งตั้งบุคคลที่ไม่มีความเป็นกลางทางการเมือง โดยศาลปกครองสูงสุดเห็นว่าการปฏิบัติหน้าที่ของ คสช.และนายกฯ เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ. 2557 มีบทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญปี 2560 รองรับ ผู้ถูกร้องทั้งสองถือเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และการตั้งกรรมการสรรหา ส.ว.เป็นการใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญโดยตรง เพื่อสรรหาบุคคลไปทำหน้าที่ในฝ่ายนิติบัญญัติ จึงไม่ใช่ข้อพิพาทจากการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลปกครอง

คณะราษฎรไทยโร่ฟ้องยูเอ็น–อียู

ด้านนายพลภาขุน เศรษฐญาบดี แกนนำคณะราษฎรไทยแห่งชาติ น้อมรับคำพิพากษา จะนำเรื่องไปร้องต่อที่สหประชาชาติและสหภาพยุโรปหรืออียู เพื่อให้รู้ว่าตัวแทนปวงชนชาวไทยที่ทำหน้าที่ในสภาไม่ได้เป็นไปตามหลักการที่ถูกต้อง ฝากถึงผู้ทำงานด้านกฎหมายว่า เราต่างเห็นอยู่แล้วว่ารัฐธรรมนูญเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจนว่ากรรมการสรรหาต้องเป็นกลางทางการเมือง ทุกคนรู้ภาษาไทยหมดและเห็นการกระทำของผู้ใช้อำนาจรัฐด้วยกันทั้งสิ้นว่าไม่เป็นไปตามนั้น อยากถามว่ารัฐธรรมนูญไทยนี้มีไว้เพื่อใคร เพื่อปวงชนชาวไทยจริงหรือไม่ จึงเชิญชวนคนดีทั้งหลายโปรดช่วยปวงชนชาวไทยในภาวะเช่นนี้ด้วย

“บิ๊กตู่” ปัดย้าย “บิ๊กโจ๊ก” กลับ สตช.

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. กล่าวถึงกรณีกระแสข่าวเตรียมใช้คำสั่งมาตรา 44 ย้าย พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกฯ กลับรับราชการตำรวจในตำแหน่งผู้ช่วย ผบ.ตร.ว่าไม่เคยมีย้ายใคร เอามาจากไหนยังไม่รู้เลย ใครปล่อยข่าวไม่รู้ ไม่มี ยืนยันกรณี พล.ต.ท.สุรเชษฐ์เป็นการดำเนินการตามความเหมาะสมต่อการปฏิบัติหน้าที่ถือว่าจบแล้ว ไม่ต้องไปหาว่าเป็นเพราะเหตุโน้นเหตุนี้มากันอีก

ติงคนวิจารณ์อาเซียนระวังปาก

พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวถึงการประชุมสุดยอดอาเซียนที่เสร็จสิ้นไปว่า สำเร็จลุล่วงด้วยดี ขอบคุณที่ร่วมเป็นเจ้าภาพที่ดี แต่ไม่ใช่เรื่องที่ใครนึกอยากจะพูดอะไรก็ได้ ใครพูดอะไรออกมากรุณาเข้าใจด้วย อย่าลืมว่าเรามีกฎบัตรอาเซียน มีมติอาเซียน สิ่งที่พูดกันระดับผู้นำคือเจตนารมณ์ทางการเมืองของแต่ละประเทศ ที่จะรับเรื่องที่เป็นสารัตถะการประชุมไปขับเคลื่อน ต้องสอดคล้องกับนโยบายทุกรัฐบาล เรื่อง ภายในเป็นการบริหารราชการแผ่นดินของประเทศเขา ไปก้าวล่วงไม่ได้ รักษาแนวปฏิบัติและกติกาให้ดี

ปัดช่วย “แรมโบ้” หลุดคดีแลกย้ายขั้ว

เมื่อถามถึงกรณีนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้สมัคร ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ หลุดจากการดำเนินคดีล้มการประชุมอาเซียน เมื่อปี 2552 ที่พัทยาเนื่องจากคดีหมดอายุความว่า มีการบอกแล้วว่าอัยการส่งฟ้องไม่ทัน ต้องดูว่าส่งฟ้องกันเมื่อไหร่ แล้วทำให้คดีขาดอายุความ เรื่องนี้เกิดมาตั้งนานแล้ว สื่อมวลชนเพิ่งพาดหัวข่าวว่ามีการตอบแทนกัน ความจริงตอบแทนกันไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าตอบแทนคนบางคน แล้วตนจะอยู่ได้อย่างไร “ผมตอบแทนให้ใครไม่ได้ ไม่ว่าจะพรรคใดก็ตาม หากบอกว่าเป็นข้อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์แล้วลดคดีให้ จะเป็นไปได้อย่างไร เพราะผมไม่ใช่ศาล และคดีเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับมาตรา 44 ยืนยันว่าไม่ได้ใช้อำนาจเหล่านี้เลย อัยการชี้แจงได้อยู่แล้ว”

เหตุปี 52 ตร. ส่งสำนวนปี 60 สั่งฟ้องปี 62

นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงกรณีที่พนักงานอัยการสำนักงานจังหวัดพัทยาไม่สามารถนำตัวนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้อีสาน มาฟ้องต่อศาลจังหวัดพัทยาในคดีเกิดเหตุชุมนุมระหว่างประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่เมืองพัทยาเมื่อปี 2552 จนคดีขาดอายุความว่า คดีเกิดขึ้นวันที่ 11 เม.ย.52 หมดอายุความไปเมื่อวันที่ 11 เม.ย.62 โดยพนักงานสอบสวนเห็นสมควรสั่งฟ้องนายสุภรณ์พร้อมพวกรวม 7 คน และส่งสำนวนให้อัยการวันที่ 1 ส.ค.60 ต่อมาวันที่ 8 ก.พ.62 พนักงานอัยการมีคำสั่งฟ้อง

ใกล้สิ้นอายุความ ตร.นำตัวมาไม่ได้

“จากนั้นมีหนังสือด่วนที่สุดถึง ผกก.สภ.เมืองพัทยาและ ผบช.ภ.2 ให้จับกุมตัวส่งอัยการฟ้องต่อศาลให้ได้ภายในวันที่ 5 เม.ย.62 ตำรวจแจ้งว่ายังไม่สามารถนำตัวมาได้ ศาลจังหวัดพัทยาจึงออกหมายจับวันที่ 4 เม.ย.62 อัยการมีหนังสือด่วนที่สุดถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เร่งจับกุมตัวเนื่องจากคดีจะหมดอายุความ เรื่องนี้ทางอัยการไม่ได้ ปล่อยปละ ละเลย เร่งรัดที่จะฟ้องคดีมาตลอด การไปตามจับไม่ใช่หน้าที่อัยการ ส่วนจะมีการตั้งสอบอัยการเจ้าของสำนวนหรือไม่ขณะนี้ยังไม่มีรายงานมา”

“สุภรณ์” อ้างไม่มีใครเคลียร์คดีให้

นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.นครราชสีมา พรรคพลังประชารัฐ กล่าวกรณีที่มีเสียงวิจารณ์สาเหตุที่หลุดคดีล้มการประชุมอาเซียนเมื่อปี 2552 ที่พัทยา เนื่องจากคดีหมดอายุความเพราะย้ายมาอยู่กับพรรคพลังประชารัฐว่า พูดไปจะไปกระทบระบบราชการถือว่าไม่ดี พูดไปจะเสีย อัยการออกมาแถลงอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. วิพากษ์วิจารณ์ก็เต้นไปทุกเรื่องเต้นมานานแล้ว เรื่องคดีไม่เกี่ยวกับนายณัฐวุฒิวิจารณ์ คดีหมดอายุความคือหมดอายุ ที่ผ่านมาบ้านเมืองไม่สงบสุขเพราะคนแบบนี้เต้นไปเต้นมาไม่หยุด ไม่อยากรื้อฟื้นเป็นกระบวนการของกฎหมาย ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมาย ไม่มีอภิสิทธิ์ชน แต่กลับมาเอาเรื่องกฎหมายมาเชื่อมโยงเกี่ยวกับการเมือง จนทำให้เกิดความวุ่นวายยืนยันว่าไม่มีใครช่วยใครได้ในเรื่องคดี


“ยิ่งลักษณ์” ปลื้มกำลังใจล้นยิ้มสู้

วันเดียวกัน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ โพสต์ข้อความระหว่างพักอยู่ในยุโรปว่า “วันนี้มีโอกาส ออกมาดื่มกาแฟในสวน เพราะเห็นว่าอากาศช่วงนี้ดีเป็นพิเศษ อากาศที่นี่ไม่ได้ดีทุกวันค่ะ บางวันฝนตก บางวันก็หนาว เปลี่ยนไปตามสภาพของแต่ละวัน ก็คงเหมือนกับสถานการณ์ในแต่ละช่วงของชีวิตคนเรา ที่บางครั้ง บางช่วงเวลาก็ไม่เป็นดั่งใจเรานึก ดิฉันขอให้กำลังใจทุกท่านที่กำลังท้อ หรือผิดหวังกับสถานการณ์ต่างๆที่กำลังเกิดขึ้น ขอให้ทุกคนยิ้มสู้ และอย่าหมดหวัง วันที่สดใสรอเราอยู่เสมอนะคะ”


“บิ๊กป้อม” ขู่ใครพูดจัดฉากต้องรับผิดชอบ

อีกเรื่อง เมื่อเวลา 08.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กตั้งข้อสงสัยการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบและปัญหาโฉนดที่ดินรอบ 2 หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปพูดคุยเพื่อทำความเข้าใจว่ายืนยันว่าเจ้าหน้าที่ทุกคนตั้งใจทำงานอย่างมีระบบ หลายหน่วยงานมาประชุมบูรณาการเลือกโฉนดที่ดินแต่ละใบ ทุกอย่างตรวจสอบได้ ยืนยันว่าส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไปพูดคุยกับนายนิพิฏฐ์ ไม่ใช่ไปทำความเข้าใจ แต่ไปอธิบายเพราะเป็นนโยบายรัฐบาล ทุกหน่วยงานประชุมกันเพื่อจะทำให้ถูกต้องและดีที่สุด พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.บอกแล้วว่าหากตำรวจคนไหนทำไม่ดีเราตรวจสอบได้ เมื่อถามว่าจะฟ้องร้องนายนิพิฏฐ์ หรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ใครพูดอะไรเอาไว้ต้องรับผิดชอบ ส่วนที่ ผบ.ตร.ขู่จะฟ้องร้องว่ากันไป เมื่อถามว่า นายนิพิฏฐ์ตั้งข้อสังเกตว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่มีหน้าที่ไปไกล่เกลี่ย แต่ต้องดำเนินคดีกับเจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบเท่านั้น พล.อ.ประวิตรตอบว่า การดำเนินการต่างๆ ทั้งเจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบและลูกหนี้รวมตัวกัน ต้องตกลงไกล่เกลี่ยกัน มีเจ้าหน้าที่เป็นตัวกลาง ว่ากันไปตามกฎหมาย ยืนยันว่าการทำหน้าที่ของตำรวจ ไม่เข้าข่ายการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157

แจกต่อโฉนดแก้หนี้เงินกู้นอกระบบ

พล.อ.ประวิตรกล่าวอีกครั้งหลังการประชุม ครม. ว่า วันที่ 27 มิ.ย. จะเดินทางไปมอบโฉนดที่ดินให้กับประชาชนแก้ปัญหาหนี้นอกระบบครั้งที่ 12 ที่ จ.ลพบุรี ยืนยันว่าครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายจะดำเนินการต่อไปเรื่อยๆ และส่งมอบไปยังรัฐบาลต่อไป เนื่องจากมีประชาชนเป็นหนี้นอกระบบอยู่อีกจำนวนมากโดยเฉพาะภาคอีสาน


“นิพิฏฐ์” เหน็บใช้อภินิหาร ก.ม. ก็ว่าไป

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี พล.อ.ประวิตรระบุให้รับผิดชอบสิ่งที่พูดเอาไว้ว่า ไม่มีปัญหาที่พูดไม่ได้คาดคั้นว่าใครทำอะไรผิดหรือถูกอย่างไร มีข้อเท็จจริงทั้งจากลูกความและเพื่อนนักกฎหมาย รวมถึงตำรวจที่ไม่เปิดเผยตัวที่หนักใจว่าต้องไปหาโฉนดที่ดินเพิ่มโดยบีบนายทุนเงินกู้ที่จับมาให้ไปหาโฉนดที่ดินเพิ่มเพื่อเอามาแจกชาวบ้าน แต่ตามกฎหมายอาญาการปล่อยเงินกู้เก็บดอกเบี้ยเกินกฎหมายกำหนด ถือเป็นคดีอาญาแผ่นดินยอมความไม่ได้ แต่ถ้าตำรวจจะใช้อภินิหารทางกฎหมายให้ยอมความได้ก็ว่ากันไป ถ้าเขาทำได้ด้วยวิธีการใดๆ

ท้าฟ้องเลยบี้เปิดข้อมูลลูกหนี้-เจ้าหนี้

นายนิพิฏฐ์กล่าวอีกว่า ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า ผบ.ตร.อาจฟ้องร้องตนนั้น ยังไม่ได้ยินว่าใครจะฟ้องร้อง เพียงแต่ได้ยินว่าใครพูดอะไรไว้ขอให้รับผิดชอบคำพูด ตนพร้อมรับผิดชอบคำพูดตัวเอง เพราะเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว แต่จะให้ซัดทอดลูกความหรือตำรวจที่มาหาไม่ทำแน่ หนักใจคือไกล่เกลี่ย 2 หมื่นกว่าราย ถือว่ามาก จึงขอดูตัวเลขว่าดำเนินคดีฟ้องร้องไปแล้วกี่ราย เพราะไม่เปิดเผยข้อมูลใดๆให้ตรวจสอบได้ แต่กลับแถลงข่าวผลงานตีปี๊บไปแล้วจะเอาหน้าหรือไม่ตนไม่ทราบ ขอให้เปิดเผยข้อมูลตรงนี้ทั้งฝ่ายลูกหนี้และเจ้าหนี้ มีใครบ้างถูกดำเนินคดีไปแล้วกี่คนโทษอย่างไร สิ่งที่พูดไปถ้าเป็นประโยชน์เอาไปปรับปรุงวิธีการทำงานใหม่ให้ตรงไปตรงมา ถ้าคิดว่าไม่มีประโยชน์ไม่น่าเชื่อถือ ทำให้เสียหายขอให้ฟ้องได้เลย เพราะ พล.ต.ท.ที่มาขอข้อมูลได้ขอบคุณที่ให้ข้อเท็จจริงและข้อมูล ไม่มีการบอกว่าจะฟ้องร้องอะไร และยังรับปากว่าการทำงานของศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการฉ้อโกงทรัพย์สินของประชาชน สตช. (ศปฉช.ตร.) ต่อไป จะไม่เน้นจำนวนคดีหรือต้องหาโฉนดที่ดินมาแจก จะคำนึงถึงข้อเท็จจริงทำตรงไปตรงมา

กัดกันเละถือหุ้นสื่อแช่แข็งประเทศไทย1ปี

เลือกตั้งผ่านไป 94 วันแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยังไม่สามารถจัดตั้ง “รัฐบาลผสม” ได้สำเร็จ ท่ามกลางการทะเลาะของนักการเมืองสองขั้ว แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ยังทำตัวชิวๆ เพราะไม่ว่าตั้งรัฐบาลช้าหรือเร็ว พล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่เดือดร้อน ยังเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ดี นี่คือ ผลเสียของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศและประชาชนอย่างรุนแรง มีข่าววงในว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะลากยาว ไปตั้งรัฐบาลใหม่กลางเดือนกรกฎาคมโน่น ผลเสียตามมาก็คือ งบประมาณปี 2563 ที่จะต้องจ่ายตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมปีนี้ ต้องเลื่อนออกไปจนถึงสิ้นปี เท่ากับว่า “เศรษฐกิจประเทศไทยถูกแช่แข็งไป 1 ปี” ตลอดปีนี้ทั้งปีเลยทีเดียว เศร้าใจไหม

สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็คือ เศรษฐกิจชะงักงัน จีดีพีหด การส่งออกติดลบ ก็ไม่รู้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี 2 รัฐบาล จะรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจบ้างไหม

เมื่อการจัดตั้ง “รัฐบาลผสม 18 พรรค” เป็นไปอย่างล่าช้า ก็ยิ่งทำให้นักการเมืองทะเลาะกันมากขึ้น ฟัดกันมากขึ้น กัดกันมากขึ้น อย่างที่เป็นข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ เว็บไซต์ ทุกวันจนเบื่อหน่ายสุดๆ เรื่องล่าสุดที่ ฟัดกันแบบตะลุมบอน หรือ แบบหมาหมู่ ก็คือ เรื่องการถือหุ้นสื่อ ที่มีข้อห้ามใน รัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (3) ห้าม ส.ส. ส.ว. เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ ไม่รู้คนร่างรัฐธรรมนูญรังเกียจอะไรสื่อนักหนา ประเทศที่เจริญแล้ว ไม่มีใครเขาห้าม

แต่เรื่อง ประวัตินักการเมืองฉาว เคยต้องคดีทุจริตคอร์รัปชัน มีพฤติกรรมผิดศีลธรรม ผิดกฎหมาย กลับไม่มี ส.ส. ส.ว. คนไหนออกมา คัดค้าน เพื่อรักษาผลประโยชน์ของบ้านเมืองและประชาชน คนเช่นนี้จะเป็นตัวแทนที่ดีของประชาชนได้อย่างไร

คดีถือหุ้นสื่อเริ่มมาจาก คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ถูกยื่นฟ้องศาลรัฐธรรมนูญว่า ถือหุ้นสื่อ ผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) และ ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้พักการทำหน้าที่ ส.ส.ชั่วคราว ทำให้ พรรคอนาคตใหม่ แก้เผ็ดฝ่ายรัฐบาลด้วยการยื่นคำร้องต่อ ประธานสภาผู้แทนฯ ให้ส่งเรื่องไปยัง ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัย คุณสมบัติของ ส.ส. 41 คนใน 5 พรรคร่วมรัฐบาล อาจมีคุณสมบัติขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) ถือหุ้นสื่อ เพื่อหวังให้ ศาลรัฐธรรมนูญสั่งพักการทำหน้าที่ ส.ส.ชั่วคราว แบบเดียวกับ คุณธนาธร

พรรคพลังประชารัฐ แกนนำจัดตั้งรัฐบาล ก็โต้กลับด้วยการเตรียมยื่นให้สภาส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ส.ส. 55 คนของ 7 พรรคฝ่ายค้าน โดยมี ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ 33 คน เข้าข่ายถือหุ้นสื่อ หวังให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งพักการทำหน้าที่ ส.ส. เช่นเดียวกับ คุณธนาธร และล่าสุดก็ลามไปถึง ส.ว.อีก 21 คน

ก็เล่นการเมืองน้ำเน่ากันอยู่อย่างนี้ทุกวัน ไม่มี ส.ส. ส.ว. คนไหนสนใจปัญหาของประเทศที่มีอยู่มากมาย และความทุกข์ของประชาชน ที่กำลังเผชิญกับสภาวะ เศรษฐกิจตกต่ำ ข้าวยากหมากแพง ชีวิตความเป็นอยู่ก็ลำเค็ญ การค้าติดลบ กำลังซื้อติดลบ การส่งออกติดลบ เงินบาทแข็งโป๊กจนหัวร้างข้างแตกไปตามกัน ไม่มีใครพูดถึงสักแอะ แม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งมีฐานะเป็น นายกรัฐมนตรี ของรัฐบาล คสช.ในปัจจุบัน ก็ไม่ได้คิดแก้ไขอะไร ทั้งที่ยังมีอำนาจเต็มๆ

เรื่อง “ห้ามถือหุ้นสื่อ” ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ถือเป็นความคิดที่ล้าหลังของคนแก่ที่ไม่ทันโลก วันนี้ สื่อหนังสือพิมพ์ สื่อโทรทัศน์ กำลังจะตายกันหมดแล้ว และ สื่อในนิยามใหม่ ที่เข้ามาแทนที่สื่อดั้งเดิมก็คือ สื่อออนไลน์ และ โซเชียลมีเดีย ถ้าเอา ข้อห้ามถือหุ้นสื่อ มาใช้ ผมว่า ส.ส. ส.ว.ผิดทั้งรัฐสภา เพราะทุกคนเป็นเจ้าของสื่อโซเชียลมีเดียทั้งนั้น รวมทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ด้วย เห็นโพสต์ลง เฟซบุ๊ก กันทุกวัน

หากไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ หรือร่างรัฐธรรมนูญใหม่ขึ้นมาแทน ในอนาคตประเทศไทยจะติดกับดักความล้าหลังนี้ รวมทั้ง อีกหลายกับดักในรัฐธรรมนูญ จะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่ล้าหลังในอาเซียน ไปในที่สุด.

“ลม เปลี่ยนทิศ”

เสียววาบทั้งกระบิ

กติการัฐธรรมนูญ 2560 ว่าด้วยคุณสมบัติผู้สมัคร ส.ส. และ ส.ว. ถือเป็นมาตรการเบื้องต้นในการสแกนบุคคลก่อนเข้าสู่วงจรอำนาจ

มีเจตนารมณ์มุ่งหมายเพื่อให้ได้คนดี มีความรู้ ความสามารถ เข้ามาทำงานรับใช้ประเทศชาติและประชาชน ป้องกันคนไม่ดีไม่ให้เข้ามามีอำนาจ

อีกทั้งยังเพิ่มกฎเกณฑ์ห้ามผู้สมัคร ส.ส. ส.ว. และบรรดารัฐมนตรี เป็นเจ้าของกิจการ หรือถือครองหุ้นในบริษัทที่ประกอบกิจการหนังสือพิมพ์ หรือสื่อมวลชนใดๆ

เพื่อไม่ให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบคู่แข่ง หรือผู้สมัครรายอื่นๆในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง

และการเลือกตั้ง ส.ส.ที่ผ่านมาหมาดๆ กฎเหล็กห้ามผู้สมัคร ส.ส.ถือหุ้นสื่อ ก็เริ่มออกฤทธิ์ออกเดชให้เห็น ในกรณีของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่

โดนร้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจสอบปมถือหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ที่ดำเนินธุรกิจสื่อ เข้าข่ายขาดคุณสมบัติลงสมัคร ส.ส.

และ กกต. ตรวจสอบแล้วมีมติชงเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสมาชิกภาพ ส.ส.ของ ธนาธร เมื่อศาลฯมีมติรับเรื่องไว้พิจารณา ได้มีคำสั่งให้ ธนาธรยุติการปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ไว้ชั่วคราว จนกว่าศาลฯจะมีคำวินิจฉัยชี้ขาด

ต้องรอลุ้นเสียวว่าจะตกเก้าอี้ ส.ส. สังเวยกฎเหล็กห้ามถือหุ้นสื่อเป็นรายแรกของสภาฯชุดนี้หรือไม่???

แต่เมื่อการเมืองเป็นเรื่องของการชิงไหวชิงพริบ ชิงความได้เปรียบ พรรคอนาคตใหม่ก็เลยเปิดเกมย้อนศร ยื่นคำร้องต่อประธานสภาฯ ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยสมาชิกภาพ ส.ส.ซีกรัฐบาล 41 คน จาก 5 พรรคการเมือง เข้าข่ายขาดคุณสมบัติกรณีถือหุ้นสื่อเช่นเดียวกัน

โดยศาลรัฐธรรมนูญนัดประชุมวันที่ 26 มิ.ย.นี้ เพื่อพิจารณาว่าจะรับเรื่องไว้พิจารณาวินิจฉัยหรือไม่

กลายเป็นเหตุให้ 41 ส.ส.ฟากฝั่งรัฐบาล ต้องมานั่งลุ้นเสียว จะโดนศาลฯสั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ชั่วคราว เหมือนอย่าง ธนาธร ด้วยรึเปล่า

ขณะที่พรรคพลังประชารัฐในฐานะแกนนำรัฐบาล พยายามหาช่องสกัด ด้วยการยื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญขอให้มีการไต่สวนก่อนรับคำร้องและก่อนออกคำสั่งใดๆ

เพราะถ้าปล่อยให้ไหลไปตามเกมพรรคอนาคตใหม่ หากศาลฯสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ โดนดองเค็มยกโขยง ย่อมส่งผลต่อเสียงหนุนรัฐบาลในสภาฯ กลายเป็นเสียงข้างน้อย มีสภาพไม่ต่างจากเป็ดง่อย เชียวแหละทั่นพระครู!!!

แต่ที่เด็ดดวงกว่านั้น พรรคพลังประชารัฐ งัดเกมสวนกลับ ยื่นเรื่องให้ประธานสภาฯ ส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสมาชิกภาพ ส.ส.พรรคฝ่ายค้าน 55 คน เป็นการแก้เผ็ด

หวังลดเสียง ส.ส.ของฝ่ายตรงข้าม แบบที่ว่า ถ้าข้าโดนหั่นแต้ม เอ็งก็ต้องเดี้ยงเหมือนกันนะเฟ้ย!!!

กลายเป็นว่ากฎเหล็กห้ามถือหุ้นสื่อที่มีไว้กลั่นกรองคุณสมบัติ กลับถูกนำมาใช้เป็นอาวุธฟาดฟันกันเละเทะ

แถมล่าสุด มีนักร้องเรียนลุยเปิดเกมเขย่าขวัญ ยื่นร้อง กกต.ให้ตรวจสอบคุณสมบัติ ส.ว. 21 คน ปมถือครองหุ้นสื่อซ้ำเข้าไปอีกดอก สถานการณ์ทำท่าจะบานปลายฟ้องร้องกันไม่จบ

งานนี้ คงต้องพึ่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ชัดเพื่อให้เป็นบรรทัดฐาน โดยเฉพาะการถือครองหุ้นในบริษัทที่จดแจ้งวัตถุประสงค์ทำกิจการสื่อ แต่ไม่ได้ประกอบกิจการจริง จะเข้าข่ายความผิดหรือไม่ ประการใด???

อย่าปล่อยให้เป็นของสนุก เล่นเกมร้องเรียนกันมั่วๆ อีกเลยนะคุณโยม!!!

“พ่อลูกอิน”

วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ตรวจยิบประวัติว่าที่รมต.ชงบิ๊กตู่ดูโควต้าชพน.

"บิ๊กตู่" ถอนหายใจเมินตอบทูลเกล้าฯ ถวาย ครม.ชุดใหม่ สอนหลักธรรมะ "ขันติ โสรัจจะ" จะได้รู้ต้องทำตัวอย่างไร "วิษณุ" เผยส่งแบบฟอร์มให้ว่าที่ รมต.กรอกประวัติ ยันเช็กเข้มแยก 2 บัญชี "ขัด กม.-ความเหมาะสม" พปชร.ไม่ห่วง "อุตตม" เซ็นอนุมัติกู้กรุงไทย ชี้จบนานแล้ว โยนนายกฯ ปมโควตา ชพน.

(24/6/62)09.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวระหว่างเป็นประธานเปิดงาน CLMVT  Forum 2019 : CLMVT as the New Value Chain Hub of Asia ว่า ตลอดเวลาที่ทำงานมา 5 ปี พอจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรและทำตัวอย่างไร แม้หลายคนจะบอกว่านายกฯ เป็นคนตลกก็ตาม แต่ที่ผ่านมาได้ทำงานอย่างเต็มที่ การทำงานทุกอย่างต้องคำนึงถึงกฎหมายและกติการะเบียบที่กำหนดไว้ด้วย อย่าคิดแต่เพียงว่าเราคิดและพูดได้ทั้งหมด เพราะกลายเป็นการพูดที่ไร้ความรับผิดชอบ
    นายกฯ กล่าวว่า วันนี้มีการพัฒนาการเรียนการสอน นอกจากวิชาการแล้วจะต้องสอนให้เยาวชนเรียนรู้ถึงการใช้ชีวิต การประกอบอาชีพ เคารพในระเบียบและกติกา รู้จักหน้าที่ของแต่ละคน และเรื่องการใช้โทรศัพท์มือถือต้องดูว่าใช้ได้อย่างคุ้มค่าหรือไม่ ใช้ในทางที่หาความรู้ให้ตัวเองหรือไม่ 
    "มีคน 2-3 คนบอกว่าผมติดโซเชียล ยืนยันผมไม่ได้ติดโซเชียล ผมเปิดโทรศัพท์ดูอะไรที่ผมไม่ฉลาด อะไรที่โง่ๆ เพื่อให้รู้ ผมก็เปิดมาดู นั่นแหละคือโซเชียลของผม ไม่ใช่ไปด่าให้มันเสียอารมณ์ ใครว่าผมใครด่าผมจะไปอ่านทำไม มันไร้สาระ ผมพูดแบบนี้เดี๋ยวสื่อก็พาดหัวข่าวกันอีก เวทีผู้นำอาเซียนพูดมา 3 วัน เหนื่อยก็เหนื่อย งานเยอะ ทุกคนเหนื่อยแสนเข็ญ ก็จ้องแต่จะจับผิด นี่แหละโลกของโซเชียล แต่อะไรที่มันทำลายประเทศ ถ้ามันเกิดขึ้นก็ต้องรับไปด้วยกันทุกคน เพราะไม่ได้ทำอะไรให้มันดีขึ้น  คนทำดีเขาก็ไม่อยากทำ ทำแทบตาย ซึ่งมันไม่ได้ง่ายนัก" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
    อย่างไรก็ตาม หากไม่อยากให้เกิดความขัดแย้งทางกฎหมายหรือกับเจ้าหน้าที่ ทุกคนปฏิบัติตามกฎหมายก็จบ แต่ถ้าออกมาต่อต้านกันทุกเรื่องก็ไปไม่ได้ ถือเป็นอันตรายของประเทศ เราจะมาให้ร้ายกันไม่ได้ รัฐบาลต้องมีนโยบายทางการเมืองที่ต้องดูแลทั้งในและต่างประเทศ ไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้ใคร  แต่ทั้งหมดคือห่วงโซ่เดียวกัน พูดหรือทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น ถ้าอยากได้ความขัดแย้งก็พูดไป เดี๋ยวก็ขัดแย้งกันเอง เพราะคนเราพร้อมถูกชักจูงอยู่แล้ว ซึ่งเรียกว่าอารมณ์ 
    "วันนี้ผมจึงอยากให้ทุกคนใช้คำว่าขันติ โสรัจจะ ซึ่งคำว่าขันติคือความอดทน อดกลั้น เวลาพูดหรือฟังใครพูด ตนเองก็พยายามทำอยู่ ส่วนโสรัจจะคือ ถ้าเรามีขันติก็จะเกิดความสงบเสงี่ยม เจียมตัว จะรู้ตัวเองว่าต้องทำตัวอย่างไร ซึ่งผมเป็นคนแบบนี้ เป็นคนน่ารักจะตาย" นายกฯ ระบุ
เบื่อตอบทูลเกล้าฯ ถวาย ครม.
    ทั้งนี้ ก่อนขึ้นรถกลับไปปฏิบัติภารกิจที่ทำเนียบรัฐบาล ผู้สื่อข่าวได้สอบถามว่าได้นำรายชื่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายแล้วหรือยัง ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์นิ่งไม่ตอบคำถามดังกล่าว แต่ส่งยิ้มให้ผู้สื่อข่าวเล็กน้อยก่อนเดินทางออกไป

    ต่อมาเวลา 14.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 6/2562 นายกฯ ปฏิเสธที่จะตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ถามอีกครั้งว่าได้ทูลเกล้าฯ ถวายรายชื่อ ครม.ใหม่แล้วหรือยัง โดย พล.อ.ประยุทธ์ถึงกับถอนหายใจยาวพร้อมกล่าวว่า  "เฮ้อ! ถามอะไรกันทุกวัน" ก่อนจะเดินขึ้นห้องทำงานบนตึกไทยคู่ฟ้าทันที
    ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการพิจารณาคุณสมบัติ ครม.ชุดใหม่ว่า นายกฯ ยังไม่ได้กำชับอะไร แต่ถ้าจะกำชับคงจะเริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พอจบเรื่องของอาเซียนคงมาทำเรื่องนี้ ทั้งนี้ได้ยินมาว่าวันนี้จะเริ่มส่งแบบฟอร์มให้บุคคลที่จะเป็นรัฐมนตรีกรอกประวัติ หลังจากที่ได้มีการตรวจสอบกันเองโดยไม่ต้องกรอกแบบฟอร์มมาระยะหนึ่ง

เมื่อถามว่า มีเรื่องการร้องเรียนทำให้ต้องตรวจสอบคุณสมบัติเข้มงวดขึ้นหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่าก็ต้องยอมรับว่ามีส่วน ซึ่งในมาตรา 98 นำไปใช้อนุโลมกับ ส.ว.และรัฐมนตรี ซึ่งมีลักษณะที่คล้ายกันอยู่  เราต้องดูทั้งหมดอยู่แล้ว โดยต้องแยกให้ออก 2 ประเภท ประเภทแรกคือคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามตามกฎหมาย ซึ่งกฎหมายเขียนอย่างไรก็ต้องตามนั้น จะหลบจะเลี่ยงอะไรไม่ได้ 
    "อีกประเภทหนึ่งไม่ใช่ลักษณะต้องห้ามตามกฎหมาย แต่เป็นเรื่องของความเหมาะสม แปลว่าหากจะตั้งก็ไม่ผิดกฎหมาย ส่วนความเหมาะสมโลกจะตำหนิติเตียนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นดุลยพินิจของคนตั้งรัฐบาลจะเป็นผู้พิจารณา อย่างไรก็ตามในอดีตเคยมีตรวจแล้วลักษณะต้องห้ามไม่ผ่าน เราก็แจ้งพรรคไป แล้วเขาก็นำหลักฐานมาแสดงก็ผ่าน บางทีเขาก็จะยอมรับเอง ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นก็ต้องเปลี่ยนตัวคน" นายวิษณุระบุ
    ส่วนผู้ที่ถูกมองว่ามีอิทธิพลและมีภาพลักษณ์สีเทา จะทำให้ตรวจสอบประวัติไม่ผ่านและไม่ได้เข้ามาหรือไม่นั้น รองนายกฯ ตอบว่าไม่รู้ อย่าไปลงรายละเอียดอย่างนั้นเลย จะเทา จะเขียว จะชมพูก็มีวิธีปฏิบัติอยู่แล้ว โดยจะเสนอสองบัญชีให้นายกฯ ตรวจสอบ ซึ่งข้อเท็จจริงไม่มีโอกาสได้ไปตรวจสอบ แต่เมื่อมีการมาร้องก็ต้องทำเรื่องส่งแยกให้นายกฯ รับทราบ 
    นายวิษณุกล่าวว่า การตรวจสอบไม่ได้ย้อนหลังอะไร ในแบบฟอร์มก็เขียนไว้อยู่แล้วว่าการศึกษาต้องระดับไหนถึงระดับไหน ตั้งแต่เรียนจบมาทำงานอะไร ก็มีมาอยู่แล้ว เราไม่ได้เจาะลึกอะไร ซึ่งเรื่องประวัติการศึกษาอยู่ในแบบฟอร์มมา 20 ปีแล้ว เพราะบางครั้งจะเกี่ยวพันว่าจะไปอยู่กระทรวงไหน ที่อาจจะต้องดูไม่ให้ขัดกันของผลประโยชน์ ซึ่งบางคนอาจจะขัดทางทำมาหากินของเขา เพราะเราไปตั้งให้เขาเป็นนั่นเป็นนี่ พอเขาพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีเขากลับไปทำอาชีพเดิมไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องรู้ประวัติเขาเอาไว้   
ไม่หนักใจคุณสมบัติอุตตม
    ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค พปชร.กล่าวถึงกรณีที่นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงานเรียกร้องให้นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค? พปชร.ชี้แจงกรณีที่ลงนามในการปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ให้บริษัทเครือกฤษดามหานคร สมัยที่เป็นคณะกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทย ซึ่งกรรมการที่ร่วมลงชื่อ? 3? ใน? 5? คนถูกดำเนินคดีไปแล้ว ว่า จากที่นายอุตตมเล่าให้ฟังว่าทราบว่าทุกอย่างจบไปนานแล้ว ที่มีข่าวออกมาเป็นประเด็นทางการเมืองซึ่งคิดว่าไม่น่าหนักใจอะไร
    เมื่อถามว่าจะต้องชี้แจงให้สาธารณชนรับทราบข้อเท็จจริงหรือไม่ นายสนธิรัตน์?กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องถามนายอุตตม ส่วนที่ฝ่ายค้านอาจหยิบยกประเด็นนี้มาอภิปรายไม่ไว้วางใจนายอุตตมหากมีการตั้งรัฐบาลเรียบร้อยแล้วนั้น ไม่มีปัญหาอะไรก็ชี้แจงกันไป ทุกอย่างอยู่บนหลักของกฎหมาย? 
    สำหรับกรณีบุคคลที่มีรายชื่อเป็นรัฐมนตรีต้องลาออกจากความเป็น ส.ส.หรือไม่นั้น เรื่องดังกล่าวอยู่ในระหว่างการหารือของผู้บริหารพรรค สำหรับเรื่องคุณสมบัติของรัฐมนตรีที่เสนอให้นายกฯ ในเบื้องต้นยังไม่ทราบว่ามีปัญหาอะไร ส่วนใครจะได้เป็นอะไรนั้นยังไม่ทราบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่คิดว่าในเร็วๆ นี้คงจะได้รู้ 
    เลขาธิการ พปชร.ยังได้ปฏิเสธกรณีที่พรรคชาติพัฒนา (ชพน.) ทวงคำตอบโควตารัฐมนตรี 1 เก้าอี้ว่าไม่ทราบ อยู่ที่นายกฯ พิจารณา เมื่อถามย้ำว่า?จะมีโควตาของพรรคชาติพัฒนาไปเป็น รมช.อุตสาหกรรมหรือไม่ นายสนธิรัตน์ยิ้มพร้อมกล่าวว่าอยู่ที่นายกฯ
    นายสนธิรัตน์ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานประสานงานพรรคร่วมรัฐบาลในการจัดทำนโยบายรัฐบาลเปิดเผยว่า ในสัปดาห์นี้? พปชร.จะมอบหมายให้คณะทำงานไปประสานพูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาล หลังจากที่พรรค พปชร.ร่างนโยบายในส่วนของพรรคไว้แล้ว เรื่องนี้ยังมีเวลาเพราะกรอบของกฎหมายกำหนดไว้ว่าต้องแถลงนโยบายภายใน 15 วันหลังจาก ครม.เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อนทำหน้าที่ 
    มีรายงานข่าวจาก พปชร.แจ้งว่า กรณีที่ผู้มีชื่อเป็นรัฐมนตรีของพรรคจำนวน 5 คนต้องลาออกจากการเป็น? ส.ส.บัญชีรายชื่อหรือไม่นั้นยังไม่ได้ข้อสรุป เพราะมีความเห็นต่างของผู้บริหาร โดยเฉพาะกรณีของนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ และนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ที่จะต้องเข้าไปมีบทบาทในสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะ ส.ส.ที่จะต้องประสานงานพรรคร่วม รวมถึงแกนนำหลัก ส.ส.ในการตอบโต้ประเด็นที่อาจจะถูกฝ่ายค้านตั้งกระทู้ถามหรือโจมตีรัฐบาลและ ครม. ซึ่งคาดว่า?ในวันที่ 25 มิ.ย.จะมีการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อวิเคราะห์เรื่องดังกล่าว รวมถึงสร้างความเข้าใจกับ? ส.ส.ที่ถูกร้องเรียนเรื่องหุ้น และการเตรียมพร้อมแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา นอกจากนี้?ก่อนที่จะมีการแถลงนโยบาย  พรรคเตรียมจัดสัมมนาติวเข้ม ส.ส. โดยจะเชิญรัฐมนตรีผลัดเปลี่ยนมาทำความเข้าใจในงานแต่ละด้านที่รับผิดชอบ และอาจเชิญ? พล.อ.ประยุทธ์มาร่วมด้วย
    ขณะที่นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด คณะทำงานสื่อสารการเมืองพรรคเพื่อไทย ได้เรียกร้องให้นายอุตตมตอบสังคมในเรื่องอนุมัติเงินกู้ธนาคารกรุงไทยว่า เป็นลายเซ็นของนายอุตตมที่ร่วมอนุมัติด้วยหรือไม่ แล้วมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไร ทำไมถึงไม่ถูกดำเนินคดีทั้งๆ ที่อีก 3 คนโดนคดี การที่นายพิชัยออกมาถามเรื่องนี้น่าจะเป็นห่วงความโปร่งใสของนายอุตตมก่อนรับตำแหน่งใน ครม.ใหม่.

“วิษณุ” ยันสภาผู้แทนราษฎรยังทำงานได้ เมินสอย ส.ส.นับร้อย

อุ้ม กก.สรรหา ส.ว.บริสุทธิ์ ขยับกรอกประวัติว่าที่ รมต. 7 พรรคฟื้น ส.ส.ร.รื้อ รธน.

“วิษณุ” การันตีเกมสอย ส.ส.ไม่กระทบ หายเกือบร้อยคนสภาฯยังทำงานได้ ชี้คำตัดสินศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งเฉพาะรายไม่ผูกพันคดีอื่น “วันชัย” ขู่ฟ้องกลับเชื่อศาลรัฐธรรมนูญดูเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ดูแต่หนังสือบริคณห์สนธิ “เรืองไกร” ยื่น กกต.สอบ 21 ส.ว.ถือหุ้นสื่อสิ้นสมาชิกภาพอัด “เนติบริกร” แถใช้รัฐธรรมนูญลักลั่น “ถวิล” ไม่หนักใจ 11 ส.ส.ปชป.สู้คดี “บิ๊กตู่” บอกตัวเองน่ารักจะตาย อุบไต๋ทูลเกล้าฯ ครม.ใหม่ รองนายกฯเผยสตาร์ตแจกใบกรอกประวัติรัฐมนตรี “สนธิรัตน์” โบ้ย ชพน.ได้ รมช.หรือไม่อยู่ที่นายกฯ 87 ปี 24 มิถุนาฝ่ายค้าน

ปลุกแก้รัฐธรรมนูญ ชู 4 พันธกิจซักฟอกรัฐบาล-ตั้ง ส.ส.ร.ดึงประชาชนรื้อกติกาบิดเบี้ยว “ธนาธร” ลุยอีสานลั่นสานต่อประชาธิปไตย ไม่ใช่ล้มสถาบัน ไอลอว์หอบ 1.3 หมื่นชื่อดันร่างกฎหมาย

ล้างมรดกบาป 35 คำสั่ง คสช.

การยื่นร้องตรวจสอบสมาชิกภาพ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล 41 คน ฝ่ายค้าน 55 คน และ ส.ว. 21 คน ที่ถือหุ้นในกิจการสื่อมวลชนใดๆ กลายเป็นปมร้อนทางการเมือง ล่าสุดนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ระบุศาลฎีกามีคำวินิจฉัยกรณี ส.ส.ถือหุ้นสื่อเป็นการเฉพาะตัว ไม่ผูกพันเป็นการทั่วไป หนุนให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดออกมาเพื่อเป็นบรรทัดฐาน ชี้หาก ส.ส.ถูกสั่งพักงานหายไปเกือบร้อยคนสภาผู้แทนราษฎรยังทำงานได้

“วิษณุ” ยันสอบ ส.ว.ถือหุ้นสื่อไม่กระทบ

เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 24 มิ.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ยื่นสอบสมาชิกภาพ 21 ส.ว. ถือหุ้นสื่อ ว่าเหมือนกรณีสอบคุณสมบัติ ส.ส.ที่ยื่นกันไปกันมาอยู่ จะกระทบกับการทำงานหรือไม่อยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยอย่างไร จะให้หยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ โดยดูจากความเสียหายที่จะได้รับหากให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ไม่เกี่ยวว่าจะมีมูลหรือไม่ เช่น กรณีนายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ จึงไม่ได้ให้หยุดเพราะถ้าหยุดปฏิบัติหน้าที่จะมีผลกระทบ เมื่อถามว่าระหว่างคัดเลือก ส.ว.ได้ตรวจสอบคุณสมบัติเรื่องหุ้นสื่อก่อนหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า เราทราบว่าเรื่องนี้เป็นปัญหา แต่เนื่องจากคำวินิจฉัยของศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งต่อกรณีคุณสมบัติ ส.ส.ก่อนหน้านี้ มีผลเฉพาะตัว และเป็นเรื่องที่ไปร้องเรียนกันทีหลัง เมื่อเราพบจึงไม่ได้ทำอะไร ถ้าจะไปตัดเสียก่อนมันต้องตัดเกือบจะหมด

ชี้คำตัดสินศาลฎีกาไม่ผูกพันคดีอื่น

เมื่อถามย้ำว่า รู้อยู่แล้วใช่หรือไม่ว่า ส.ว.เหล่านั้นถือหุ้นอยู่ นายวิษณุตอบว่า “เรารู้ แต่ว่ามันยังไม่มีคำวินิจฉัยอะไรตรงนี้ คำวินิจฉัยที่มีอยู่ก่อนไม่สามารถนำไปใช้กับคนอื่นได้ เพราะเป็นคำวินิจฉัยเฉพาะตัว ไม่เป็นบรรทัดฐานสำหรับคดีอื่น ไม่เหมือนคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่มีผลผูกมัดเป็นการทั่วไป ด้วยข้อเท็จจริงที่เราไม่รู้เลยว่าต่างกันหรือไม่ เราไม่มีโอกาสไปตรวจสอบว่ามีหุ้นแล้วเลิกหรือยัง ขายหรือยัง ไม่ใช่ความบกพร่องของคณะกรรมการสรรหา มีเรื่องอื่นที่คิดว่าถ้าสมมติตั้งไปแล้วมีปัญหา ไม่ได้กระทบอะไร มีระบบสำรองเลื่อนขึ้นมาอยู่ แม้คุณสมบัติ ส.ว.เหมือนกับ ส.ส.แต่เราไม่รู้คำว่าถือหุ้นสื่อแปลว่าอะไร ถ้าพบว่าถือหุ้นตามความเป็นจริงแล้วสื่อนั้นมีกิจการทำหนังสือพิมพ์ ชื่ออะไรออกเป็นรายวันหรือรายสัปดาห์ ถ้าเจอเช่นนี้เราไม่ให้อยู่แล้ว แต่การถือหุ้นสื่อที่มีวัตถุประสงค์ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ การจัดตั้งสื่อเป็นเพียงวัตถุประสงค์หนึ่ง แต่ไม่ได้ประกอบการจริง ไม่กล้าวินิจฉัยตัดสิทธิ

เสียงแข็ง กก.สรรหาบริสุทธิ์ผุดผ่อง

เมื่อถามว่า คณะกรรมการสรรหา ส.ว.มองว่า การถือหุ้นในบริษัทที่มีวัตถุประสงค์ทำสื่อ แต่ไม่ปฏิบัติจริง ไม่ขัดคุณสมบัติ นายวิษณุสวนกลับมาทันทีว่า “เป็นมุมมองเดียวกับพรรคการเมืองที่คัดคนลงสมัคร ส.ส. ความที่ยังไม่แน่ชัดว่ามันคืออะไร กกต.เองไม่กล้าวินิจฉัย บัดนี้เมื่อมีการยื่นร้องศาลรัฐธรรมนูญจะได้วินิจฉัยเป็นบรรทัดฐาน ยืนยันว่าคณะกรรมการสรรหาทำงานเรียบร้อย บริสุทธิ์ผุดผ่อง

ส.ส.หายเกือบร้อยสภาฯยังทำงานได้

เมื่อถามว่า ส่วน ส.ส.ที่จะยื่นตรวจสอบกันกว่า 100 คนจะกระทบต่อการทำงานของสภาฯหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ไม่เป็นไรจะให้ทำอย่างไรจะกี่คนก็ตามที มีสิทธิยื่นผ่านประธานสภาฯ เพื่อยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัย ส่วนศาลจะสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่แล้วแต่ศาล ขั้นตอนที่เขาทำถูกต้องตามกฎหมาย แต่เวลาปฏิบัติจริงจะมีอะไรผิดพลาดหรือไม่ตนไม่ทราบ เมื่อถามว่าการยื่นตรวจสอบ ส.ส.ขณะนี้เหมือนยื่นแก้เกี้ยวระหว่างกัน นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่มีอะไรจะวิจารณ์ เมื่อถามว่าจะเทียบเคียงกรณีศาลสั่งให้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) หยุดปฏิบัติหน้าที่กับกรณีการตรวจสอบคุณสมบัติ ส.ส.ที่เหลืออยู่ได้หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า อยู่ที่ศาล หากศาลจะสั่งคงมีเหตุผล ไม่สามารถตอบแทนศาลได้ และการทำงานในสภาฯหาก ส.ส.หายไปเกือบ 100 คน ก็ยังทำงานได้ เข้าใจว่าไม่มีผลกระทบ


“วันชัย” จ่อฟ้องกลับทั้งแพ่ง–อาญา

ที่หอประชุมบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กล่าวว่า หากมีชื่อตามที่นายเรืองไกรยื่นต่อ กกต.จริง พร้อมฟ้องคดีกลับทั้งทางแพ่งและทางอาญาให้ถึงที่สุด ปัจจุบันตนไม่ใช่เจ้าของหรือบุคคลที่ถือหุ้นในบริษัทแคนนู ไฮเรอร์ จำกัด ได้ลาออกจากการเป็นกรรมการบริษัทดังกล่าวแล้ว มีผลทางกฎหมายตามที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าแจ้งเป็นเอกสารวันที่ 25 เม.ย.62 ก่อนวันที่ได้รับตำแหน่ง ส.ว.เดือน พ.ค. จึงเป็นการแจ้งข้อมูลเท็จทำให้เสียหาย ต้องพิจารณาตามข้อเท็จจริง ไม่ใช่นำความเท็จสร้างประเด็นทางการเมือง นายเรืองไกรพยายามสร้างความเสียหายให้ตน จะไม่ปล่อยให้ลอยนวลแน่นอน ส่วน ส.ว.อีก 20 คน ที่มีชื่อปรากฏตามข่าวเบื้องต้นได้หารืออย่างไม่เป็นทางการส่วนใหญ่ไม่กังวล คณะทำงาน ส.ว.จะหารือเพื่อต่อสู้คดีในทางเดียวกัน

เชื่อศาล รธน.ไม่ดูแต่บริคณห์สนธิ

ผู้สื่อข่าวถามว่า เกรงว่ากรณีการถือหุ้นสื่อเมื่อถึงชั้นศาลรัฐธรรมนูญแล้ว จะมีบรรทัดฐานเหมือนกรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่ถูกศาลสั่งยุติปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวหรือไม่ นายวันชัยตอบว่า ถ้าข้อเท็จจริงเป็นลักษณะเดียวกับนายธนาธรมีความเป็นไปได้ แต่กรณี ส.ว.เป็นคนละข้อเท็จจริงกับกรณีนายธนาธร ส่วนที่ก่อนหน้านั้นมีคำพิพากษาศาลฎีกาในพื้นที่ต่างจังหวัดที่มีบรรทัดฐานตัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.เป็นสิ่งที่มีข้อแตกต่างแต่ละพื้นที่ แต่สิ่งที่จะเป็นข้อยุติคือให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้ตัดสิน เชื่อว่าศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาโดยยึดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญที่ไม่ให้ฝ่ายการเมืองใช้อิทธิพลครอบงำหรือแทรกแซงสื่อมวลชน ไม่ใช่พิจารณาเพียงวัตถุประสงค์การจัดตั้งบริษัท หรือเอกสารบริคณห์สนธิเท่านั้น ยอมรับว่าขณะนี้กรณีการถือหุ้นสื่อมวลชนถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง จึงควรมีข้อยุติโดยการวางบรรทัดฐานจากศาลรัฐธรรมนูญ

“ยุทธนา” แจงทิ้งธุรกิจสื่อก่อนแล้ว

นายยุทธนา ทัพเจริญ ส.ว. กล่าวว่า กรณีที่เป็น 1 ใน 21 ส.ว.ที่ถูกร้องถือหุ้นสื่อ ได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัท วิคเตอร์ โปรเฟสชันเนล จำกัด ไว้เป็นบริษัทซื้อขายที่ดิน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับธุรกิจสื่อมวลชน แต่ตอนจัดตั้งบริษัทได้กรอกวัตถุประสงค์ในหนังสือบริคณห์สนธิตามแบบฟอร์มของกระทรวงพาณิชย์ครอบคลุมไว้มากมาย แต่เมื่อทราบจะได้เป็น ส.ว.ไปแจ้งต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เพื่อขอถอนวัตถุประสงค์ในกิจการที่เกี่ยวข้องกับสื่อมวลชนออกจากบริษัทเรียบร้อยแล้ว ก่อนได้รับตำแหน่ง ส.ว. 2-3 สัปดาห์มีหลักฐานยืนยันชัดเจน

“ระวี” หนุนแก้ให้ชัดตัดปมวุ่นวาย

นายระวี รุ่งเรือง ส.ว.กล่าวว่า มีหุ้นอยู่ในบริษัท ฟาร์เมอร์ รีสอร์ท จำกัด ตั้งขึ้นเพื่อจะไปขอกู้เงินมาปรับปรุงธุรกิจห้องพักชายทะเล ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการสื่อมวลชนใดๆ ตอนไปจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทดังกล่าวต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าแนะนำให้ระบุวัตถุประสงค์การจัดตั้งที่มีอยู่ 21-22 ข้อในแบบฟอร์มให้ใส่ไปทั้งหมด บางข้ออาจมีเรื่องเกี่ยวกับกิจการสื่อมวลชนรวมอยู่ ยอมรับว่ากังวลอยู่บ้าง แต่มั่นใจชี้แจงได้เพราะข้อเท็จจริงยืนยันว่าไม่ได้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับสื่อมวลชนเลยพิสูจน์ได้ เพื่อน ส.ว.หลายคนที่โดนยื่นร้องแบบเดียวกันบอกว่าไม่มีอะไร ไม่ต้องไปตื่นเต้น และคงไม่ฟ้องกลับนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.ไม่อยากผูกเวรกับใคร เชื่อว่าน่าจะเป็นเรื่องการเมือง แต่อยากให้ปรับปรุงคุณสมบัติ ส.ว.เรื่องการถือหุ้นสื่อให้ชัดเจนมากขึ้น จะได้ไม่วุ่นวาย


“เรืองไกร” ยื่น กกต.สอบสถานะ 21 ส.ว.

เมื่อเวลา 11.00 น. ที่สำนักงาน กกต.นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ พร้อมด้วยนายณรงค์ รุ่งธนวงศ์ หัวหน้าศูนย์ข้อมูลและสถิติพรรคเพื่อไทย เข้ายื่นหนังสือถึง กกต.ขอให้ตรวจสอบสมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) สิ้นสุดลง เนื่องจากเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ ซึ่งเป็นลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ พร้อมขอให้รีบส่งศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย และสั่งให้หยุดการปฏิบัติหน้าที่ โดยนายเรืองไกรกล่าวว่า ส.ว.หลายคนอาจจะสงสัยว่าโอนหุ้นไปแล้วเหตุใดยังถูกยื่นคำร้องให้ตรวจสอบ จึงอยากชี้แจงว่า มีความจำเป็นต้องยื่นคำร้องให้ กกต.เรียกเข้าให้ข้อมูลเพื่อให้เปิดเผยขั้นตอนการสรรหา ส.ว.ของคณะกรรมการสรรหาที่ตั้งขึ้นมาจาก คสช.จะผิดถูกอย่างไรหรือต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ขึ้นอยู่กับการตรวจสอบของ กกต. สำหรับ ส.ว.อีก 200 คน ไม่ต้องน้อยใจทุกคนจะถูกตรวจสอบทั้งหมด ขณะนี้กำลังร่วมกับ 7 พรรคการเมืองตรวจสอบข้อมูล รวมถึง ส.ส. 55 รายชื่อที่พรรคพลังประชารัฐกำลังจะยื่นตรวจสอบ

อัด “วิษณุ” แถใช้รัฐธรรมนูญลักลั่น

เมื่อถามว่า ส.ว.จากการสรรหาโดยคณะกรรมการสรรหาของ คสช.ไม่ได้ยื่นสมัครต้องโอนหุ้นช่วงใดจึงจะไม่ขาดคุณสมบัติ นายเรืองไกรกล่าวว่า ต้องโอนหุ้นเมื่อได้รับการทาบทามจากคณะกรรมการสรรหา เนื่องจากทุกคนต้องกรอกหนังสือรับรองตนเองว่า มีคุณสมบัติครบถ้วนและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (3) ส่วน ส.ว.ที่สมัครและผ่านการคัดเลือกกันเองต้องโอนหุ้นให้แล้วเสร็จก่อนวันสมัคร จนถึงขณะนี้ไม่มีใครรู้ว่าคณะกรรมการสรรหา ส.ว.วางระเบียบและวิธีการสรรหาอย่างไร รายละเอียดทั้งหมดต้องถูกเปิดเผยโดย กกต.จะต้องเรียกทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเข้าให้ข้อมูลข้อเท็จจริงทั้งหมด ส่วนตัวเชื่อว่าขั้นตอนไม่ถูกต้องโดยคณะกรรมการสรรหา ส.ว.ไม่ได้กำหนดขั้นตอนและไม่มีวิธีการอะไรเลย ก่อนหน้านี้ได้ยื่นเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบที่นายวิษณุบอกว่าคณะกรรมการสรรหา ส.ว.ไม่สามารถเปิดเผยรายชื่อกรรมการได้ไม่เป็นความจริง อย่าใช้รัฐธรรมนูญลักลั่น ไม่อยากใช้คำว่าอย่าแถไปมา แต่เรื่องคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามกำหนดไว้ชัดในรัฐธรรมนูญ ส.ว.ต้องโอนหุ้นให้แล้วเสร็จเมื่อได้รับการทาบทามหรือช่วงต้นเดือน ก.พ.2562

แฉ “วันชัย” เพิ่งโอนหุ้นให้ลูกเขย เม.ย.

นายเรืองไกรกล่าวอีกว่า ส่วนที่นายวันชัย สอนศิริ ขู่จะฟ้องกลับยินดี เพราะตามข้อเท็จจริงนายวันชัยโอนหุ้นให้ลูกเขยเดือน เม.ย.ไม่ใช่เดือน ก.พ. นอกจากนี้ยังจะตรวจสอบการถือหุ้นของ ส.ว.อีกกว่า 400 คน ทั้งในบัญชีสำรองและผู้ได้รับคัดเลือกรอบแรก โดยเฉพาะนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน วุฒิสภาที่ตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าถือหุ้นบริษัทใหญ่ แต่ไม่ได้มีวัตถุประสงค์การดำเนินธุรกิจสื่อ หรือ พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวาณิช ถือหุ้นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์และ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ถือหุ้นด้วยตัวเองและภรรยาจำนวนมาก โดยเฉพาะหุ้นมหาวิทยาลัยเอกชน

เช็กรายชื่อ 21 ส.ว.ถือหุ้นต้องห้าม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรายชื่อ 21 ส.ว. ที่นายเรืองไกรได้ร้องและระบุในหนังสือร้องเรียน ทั้งหมดมีการโอนหุ้นหลังรับตำแหน่ง ส.ว.แล้ว แต่ต้องการให้ กกต.ตรวจสอบว่ามีการโอนจริงหรือไม่ โดย 21 คน ประกอบด้วย 1.นายวันชัย สอนศิริ บริษัท แคล นู ไฮเรอร์ จำกัด 2.ว่าที่ ร.ต.วงศ์สยาม เพ็งพานิชภักดี บริษัท สมศรีพานิช จำกัด 3.นายระวี รุ่งเรือง บริษัท ฟาร์มเมอร์ รีสอร์ท จำกัด 4.นายยุทธนา ทัพเจริญ บริษัท วิคเตอร์ โปรเฟสชั่นแนล จำกัด 5.พล.อ.อ.มนัส รูปขจร บริษัท พลังร่วม 18 จำกัด 6.น.ส.ภัทรา วราวิตร บริษัท กาฬสินธุ์ โอทอป อินเตอร์เทรดเดอร์ จำกัด 7.พล.อ.ไพโรจน์ พานิชสมัย บริษัท ทุ่งท่าลาด จำกัด

“เจี๊ยบ-พิสัณห์” อยู่ในข่ายด้วย

8.พล.ต.ท.พิสัณห์ จุลดิลก หรือบิ๊กเจี๊ยบ บริษัท กีฬา สุราษฎร์ธานี จำกัด 9.นางพิกุลแก้ว ไกรฤกษ์ บริษัท พี แอนด์ อาร์ อิงค์ จำกัด 10.นางประยูร เหล่าสายเชื้อ บริษัท ดีจริงมอเตอร์ จำกัด 11.นางเบญจรัตน์ จริยธาราสิทธิ์ บริษัท ศรีสุพรรณการแร่ จำกัด 12.นายบรรชา พงศ์อายุกูล บริษัท พงศ์อายุกูลและบุตร จำกัด 13.นายนิอาแซ ซีอุเซ็ง บริษัท ประชารัฐรักสามัคคีนราธิวาส (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด 14.น.ส.ดาวน้อย สุทธินิภาพันธ์ บริษัท ประชารัฐรักสามัคคีนราธิวาส (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด 15.พล.ร.อ.ฐนิธ กิตติอำพน บริษัท นลวิตา จำกัด 16.นายซากีย์ พิทักษ์คุมพล หจก.ดีเคพี โลจิสติกส์ 17.ว่าที่ ร.ต.เชิดศักดิ์ จำปาเทศ หจก.ณัฏฐ์ แอนด์ พิรพัฒน์ 18.นายเฉลียว เกาะแก้ว บริษัท ไตรหิรัญ 2555 จำกัด 19.นายกูรดิสถ์ จันทร์ศรีชวาลาบริษัท แอล.ดี.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด 20.นายกำพล เลิศเกียรติดำรงค์ บริษัท ไฮเทค เกลซเซอร์ จำกัด 21.นางกอบกุล อาภากร ณ อยุธยา บริษัท ภูตะวัน จำกัด


อนค.หนุนตรวจสอบทั้ง ส.ส.-ส.ว.

เมื่อเวลา 11.15 น. ที่พรรคอนาคตใหม่ นพ.วาโย อัศวรุ่งเรือง รองโฆษกพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่าพรรคอนาคตใหม่เห็นด้วยกับการตรวจสอบไม่ว่าจะเป็น ส.ส.หรือ ส.ว.ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง มีอำนาจมากใช้สิทธิแทนประชาชน ควรต้องได้รับการตรวจสอบด้วยมาตรฐานเช่นเดียวกับ ส.ส. การค้นหาการถือหุ้นไม่ได้ยาก มีระบุในใบบริคณห์สนธิ ส่วนกรณี 41 ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลยังรอดูเวลาอีกระยะหนึ่ง จึงจะมีท่าทีต่อไป ส่วนกรณีที่มีชื่อตนใน 55 ส.ส.ฝ่ายค้านที่ถูกยื่นร้องด้วย เป็นนักกฎหมายชี้แจงได้ ไม่ได้กังวลอะไร รวมถึง ส.ส.คนอื่นในพรรคด้วย ทั้งนี้พรรคได้เข้าร่วมกับไอลอว์เข้าชื่อ 10,000 หมื่นรายชื่อ เพื่อยกร่าง พ.ร.บ.ยกเลิกทบทวนและแก้ไขประกาศและคำสั่ง คสช.สอดคล้องกับนโยบายการจัดการมรดก คสช.ที่ยังเหลืออยู่ 22 ฉบับ พร้อมเสนอตั้ง กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาทบทวนประกาศและคำสั่ง คสช.ทั้งหมด จะสำรองที่นั่ง กมธ.ไว้ให้ภาคประชาชนมาร่วมทำงานด้วย ทั้งนี้จะเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 279 ที่รับรองประกาศและคำสั่ง คสช.และมาตรา 272 เกี่ยวกับ ส.ว.ที่มาจากการลากตั้งไม่ยึดโยงประชาชนมีวาระ 5 ปี มีอำนาจมาก ส่วนการเสนอญัตติได้ตั้งคณะทำงานจับตากลุ่มทุนผูกขาดคือ 1.ดิวตี้ฟรี 2.ปรับผิวจราจร จากผู้ได้รับสัมปทานรถไฟฟ้า จะผลักดันกระทู้ถามหรือกระทู้ถามสดต่อไปในสภาฯ


“ถวิล” ไม่หนักใจ 11 ส.ส.ปชป.

นายถวิล ไพรสณฑ์ หัวหน้าฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขณะนี้ทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ได้รวบรวมหลักฐานและข้อมูลของ 11 ส.ส.ของพรรคที่ถูกร้องเรียนกรณีถือหุ้นสื่อเสร็จแล้ว มี 2 คนที่ขอต่อสู้คดีเองคือนายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยองและรองหัวหน้าพรรค และนายประมวล พงษ์ถาวราเดช ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์ มีเพียง 9 ส.ส.ที่ให้ฝ่ายกฎหมายของพรรคช่วยทำคดี ตรวจสอบข้อมูลทั้ง 9 คนแล้วมีการจดแจ้งวัตถุประสงค์ในหนังสือบริคณห์สนธิเพื่อตั้งบริษัท แต่ไม่ได้ประกอบธุรกิจสื่อสารมวลชน จึงไม่หนักใจแนวทางต่อสู้คดีเพราะยึดถือตามข้อเท็จจริง จะอ้างถึงคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งที่เคยพิพากษาตัดสินมาแล้วมาเป็นตัวอย่างเทียบเคียง และยังไม่คิดถึงเรื่องจะยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญขอให้คุ้มครองการยุติการทำหน้าที่ ส.ส.

รับห่วงกระทบเสถียรภาพรัฐบาล

เมื่อถามว่า เป็นห่วงถึงเสถียรภาพของรัฐบาลนี้หรือไม่ เพราะเพิ่งมีการร้องเรียน ส.ว.ถือครองหุ้นอีก 21 คน ก่อนหน้านี้มี ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลถูกร้องเรียนกรณีเดียวกันแล้ว 41 คน นายถวิลกล่าวว่ายอมรับว่าเป็นห่วงเสถียรภาพของรัฐบาลเช่นกัน ถ้าศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ผู้ถูกฟ้องคดีต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่ทั้ง ส.ส.และ ส.ว.ถึง 21 คนขณะที่ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลรวม 62 คนจะกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลแน่ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลรัฐธรรมนูญว่าจะมีคำวินิจฉัยออกมาเช่นไร

ศาล รธน.ไม่ให้ “ธนาธร” ยืดเวลารอบ 2

ผู้สื่อข่าวรายงานจากสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญว่า จากกรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ได้ยื่นคำร้องขอขยายเวลาเพื่อชี้แจงคดี ถือหุ้นสื่อต่อศาลรัฐธรรมนูญเป็นครั้งที่ 2 ออกไปอีก 15 วัน ล่าสุดมีรายงานว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่อนุญาตขยายเวลาให้ชี้แจง เนื่องจากได้อนุญาตให้ขยายเวลา ในรอบแรก 30 วัน คาดว่าน่าจะเพียงพอแล้ว ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่มีการอนุญาตเพียงครั้งเดียวเพียง 15 วันเท่านั้น ทั้งนี้ การพิจารณาอนุญาตหรือไม่ ไม่จำเป็นต้องเข้าสู่การประชุมของตุลาการคณะใหญ่ เนื่องจากมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมา 2 คณะเพื่อพิจารณาคำร้องปลีกย่อย สามารถสั่งรับหรือไม่รับได้ทันที หากไม่ใช่คำร้องเรื่องใหญ่


“บิ๊กตู่” โอ่ทำมา 5 ปีรู้อะไรเป็นอะไร

เมื่อเวลา 09.00 น. ที่ห้องรอยัลมณียา บอลรูม ชั้น M โรงแรมเรเนซองส์ กทม. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานเปิดงาน CLMVT Forum 2019 จัดโดยกระทรวงพาณิชย์ และปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “การผลักดันให้ CLMVT เป็นศูนย์กลางห่วงโซ่คุณค่ายุคใหม่แห่งเอเชีย” ตอนหนึ่งว่า ตลอดเวลาที่ทำงานมา 5 ปี พอจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรและทำตัวอย่างไร แม้หลายคนบอกนายกฯเป็นคนตลกก็ตามแต่มีสาระ ที่ผ่านทำงานเต็มที่ต้องคำนึงถึงกฎหมาย ถ้าไม่อยากให้เกิดความขัดแย้งทุกคนปฏิบัติตามกฎหมายก็จบ ถ้าออกมาต่อต้านกันทุกเรื่องมันไปไม่ได้ เป็นอันตรายของประเทศ เราจะมาให้ร้ายกันไม่ได้ เพื่อนคือเพื่อน อย่าคิดแต่เพียงว่าเราคิดและพูดได้ทั้งหมด เพราะกลายเป็นการพูดที่ไร้ความรับผิดชอบ เรียกร้องอย่างเดียวไม่ได้ ต้องดูตรงไหนเร่งด่วน ต้องไปที่ประชาชนเดือดร้อนก่อน และต้องทำตัวให้ดีขึ้น ไม่อยากเกิดความขัดแย้งทางกฎหมายหรือเจ้าหน้าที่ ปฏิบัติตามกฎหมายก็จบ ต่อต้านทุกอันไปไม่ได้ ให้ร้ายกันไม่ได้ ต้องรู้จักหน้าที่ตัวเอง

ยึดขันติน่ารักจะตายไม่บ้าโซเชียล

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า การใช้โทรศัพท์มือถือ ต้องดูว่าใช้ได้อย่างคุ้มค่าหรือไม่ ใช้เพื่อหาความรู้ให้ตัวเองหรือเปล่า “มี 2-3 คนบอกว่าผมติดโซเชียล ยืนยันไม่ได้ติดโซเชียล เปิดโทรศัพท์ดูอะไรที่ไม่ฉลาด อะไรที่โง่ นั่นแหละคือโซเชียลของผม ไม่ใช่ไปอ่านให้เสียอารมณ์ ใครว่าใครด่าผมจะไปอ่านทำไมไร้สาระ” เวทีสุดยอดอาเซียน 3 วัน เหนื่อยก็เหนื่อย เจรจาตั้งเยอะ ทุกคนเหนื่อยแสนเข็ญจ้องแต่จับผิด นี่แหละโลกโซเชียล อะไรที่ทำลายประเทศตัวเองรับไปกันด้วย ไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้น คนทำดีเขาพยายามทำกันแทบตายไม่ได้ง่ายเลย รัฐบาลต้องมีนโยบายทางการเมืองดูแลในและต่างประเทศ ไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้ใคร ช่วยกันเป็นห่วงโซ่เดียวกัน พี่จูงน้อง เพื่อนจูงเพื่อน ถ้าอยากได้ความขัดแย้งพูดไป คนเราพร้อมถูกชักจูงอยู่แล้วเรียกว่าอารมณ์ วันนี้อยากให้ทุกคนใช้คำว่า ขันติ โสรัจจะ อดทน อดกลั้น สงบ ในเวลาที่พูดหรือฟังใคร พยายามทำอยู่เพื่อให้รู้ว่าต้องทำตัวอย่างไร ผมเป็นคนแบบนี้น่ารักจะตาย” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ยิ้ม-ถอนหายใจอุบไต๋ทูลเกล้าฯ ครม.

ต่อมาเวลา 10.08 น. หลังเสร็จสิ้นเปิดงาน CLMVT Forum 2019 นายกฯได้เดินพูดคุยทักทายผู้บริหารโรงแรมเรเนซองส์ สอบถามการเข้าใช้บริการของลูกค้าช่วงนี้ โดยผู้บริหารโรงแรมระบุว่าดีขึ้น จากนั้นผู้สื่อข่าวได้พยายามสอบถามนายกฯถึงความคืบหน้าการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าขณะนี้ได้นำรายชื่อ ครม.ชุดใหม่ขึ้นทูลเกล้าฯแล้วหรือยัง โดย พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้ตอบเพียงแต่หันมาส่งยิ้มให้เล็กน้อยก่อนขึ้นรถไปปฏิบัติภารกิจต่อที่ทำเนียบรัฐบาล จากนั้นเวลา 14.30 น. หลังนายกฯเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 6/2562 ผู้สื่อข่าวไปถามอีกว่าทูลเกล้าฯรายชื่อ ครม.ใหม่หรือยัง พล.อ.ประยุทธ์ถอนหายใจยาวร้องเสียงดังเฮ้อ แล้วตอบเพียงว่าถามอะไรกันทุกวัน ก่อนเดินกลับขึ้นห้องทำงานบนตึกไทยคู่ฟ้าทันที

สกรีนคุณสมบัติ รมต.เข้มงวด

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ กล่าวถึงการพิจารณาคุณสมบัติ ครม.ใหม่ว่า พอจบเรื่องของอาเซียนคงมาทำเรื่องนี้ ได้ยินมาว่าวันที่ 24 มิ.ย.เริ่มส่งแบบฟอร์มให้บุคคลที่จะเป็นรัฐมนตรีกรอกประวัติ และต้องเข้มงวดขึ้น ต้องดูคุณสมบัติทั้งหมด แยกออก 2 ประเภท คือคุณสมบัติลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายและเรื่องความเหมาะสม จะเสนอ 2 บัญชีให้นายกฯตรวจสอบ เมื่อมีเรื่องร้องมาต้องทำเรื่องส่งแยกให้นายกฯรับทราบ เมื่อถามย้ำว่า มีการระบุว่า การตรวจสอบประวัติลงลึกถึงอาชีพเก่า นายวิษณุตอบว่า ไม่รู้ไปเอามาจากไหน ไม่ทราบไม่เห็น และไม่ได้ย้อนอะไรในแบบฟอร์มเขียนไว้อยู่แล้วว่า การศึกษาระดับไหนจบมาทำงานอะไร สำหรับตนยังไม่ได้รับแบบฟอร์ม เมื่อถามว่า รู้สึกอย่างไรผลโพลชื่นชมให้กลับมาเป็นรองนายกฯอีก นายวิษณุตอบว่า ชมเราก็ขอบคุณ

ชพน.ได้ตำแหน่งหรือไม่อยู่ที่นายกฯ

เมื่อเวลา 10.10 น. ที่พรรคพลังประชารัฐ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพลังประชารัฐ กล่าวถึงการกำหนดหลักเกณฑ์ว่าที่รัฐมนตรีต้องลาออกจาก ส.ส.หรือไม่ว่า อยู่ระหว่างการหารือของผู้บริหารพรรคพิจารณา ส่วนคุณสมบัติของผู้ถูกเสนอชื่อรัฐมนตรีของพรรคเบื้องต้นยังไม่ทราบว่ามีปัญหาอะไร ส่วนใครจะได้เป็นอะไร ยังไม่ทราบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เร็วๆนี้คงจะได้รู้ เมื่อถามกรณีที่พรรคชาติพัฒนา (ชพน.) ทวงคำตอบโควตารัฐมนตรี นายสนธิรัตน์ ปฏิเสธว่า ไม่ทราบ อยู่ที่นายกฯพิจารณา เมื่อถามย้ำว่าจะมีโควตาของพรรคชาติพัฒนาไปเป็น รมช.อุตสาหกรรมหรือไม่ นายสนธิรัตน์ยิ้มก่อนกล่าวว่า อยู่ที่นายกฯ ส่วนกรณีนายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตคณะทำงานด้านเศรษฐกิจ พรรคไทยรักษาชาติ เรียกร้องให้นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เคลียร์คดีปล่อยเงินกู้ธนาคารกรุงไทยให้บริษัทเครือกฤษดามหานคร สมัยเป็นกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทย นายอุตตมเล่าให้ฟังบอกทุกอย่างจบไปนานแล้ว หากฝ่ายค้านจะหยิบยกประเด็นนี้มาอภิปรายไม่ไว้วางใจ เชื่อว่าไม่หนักใจ ชี้แจงกันไปบนหลักการกฎหมาย ผิดว่ากันไป อะไรไม่ผิดแล้วนำมาเป็นประเด็นการเมืองต้องชี้แจง

เชิญพรรคร่วมร่างนโยบายรัฐบาล

นายสนธิรัตน์ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานประสานงานพรรคร่วมรัฐบาลในการจัดทำนโยบายรัฐบาล กล่าวอีกว่า สัปดาห์นี้พรรคจะมอบหมายให้คณะทำงานไปประสานพูดคุยพรรคร่วมรัฐบาล เริ่มต้นพูดคุยเพื่อร่างนโยบายรัฐบาลร่วมกัน หลังร่างนโยบายของพรรคไว้แล้ว ไปรับฟังแนวทางจากพรรคร่วม ยังมีเวลาอยู่ระหว่างตั้ง ครม. กฎหมายกำหนดไว้ว่าต้องแถลงนโยบายภายใน 15 วันหลัง ครม.เข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ฯ

พปชร.ติวเข้ม ส.ส.สู้ศึกในสภาฯ

ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคพลังประชารัฐว่า การแถลงนโยบายรัฐบาลต่อที่ประชุมสภาฯภายใน 15 วันหลัง ครม.ชุดใหม่เข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญาณ พรรคจะติวเข้ม ส.ส.เพื่อเตรียมพร้อมโดยเชิญรัฐมนตรีที่กำกับดูแลงานแต่ละด้านผลัดเปลี่ยนมาทำความเข้าใจ หากมีโอกาสอาจเชิญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ร่วมด้วย แต่ก่อนถึงวันนั้น เวลา 13.00 น. วันที่ 25 มิ.ย. พรรคเรียกประชุม ส.ส.มาพูดคุยผู้บริหารพรรครับทราบแนวทางการทำงานในสภาฯ การแถลงนโยบายรัฐบาล เพื่อรับมือฝ่ายค้านตั้งกระทู้ถามทั่วไปในที่ประชุมด้วย สำหรับการจะให้คนเป็นรัฐมนตรี

ต้องลาออกจาก ส.ส.หรือไม่

แกนนำพรรคยังเห็นต่างกัน โดยเฉพาะนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ และ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่ต้องทำหน้าที่ประสานงานแกนนำพรรคร่วมในสภาฯและวางเกมต่อสู้ตอบโต้ประเด็นที่อาจถูกฝ่ายค้านตั้งกระทู้ถาม โดย ส.ส.บัญชีรายชื่อที่มีชื่อจะไปเป็นรัฐมนตรีรวม 5 คน คือนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ นายสมศักดิ์ เทพสุทินและนายสันติ พร้อมพัฒน์

พท.บี้ “อุตตม” ตอบอย่าหลบหลังคนอื่น

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด คณะทำงานสื่อสารการเมืองพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน เรียกร้องให้นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ชี้แจงการอนุมัติเงินกู้กรุงไทยก่อนเป็น รมว.คลังว่า นายอุตตม ควรชี้แจงสังคมด้วยตัวเองมากกว่าให้ใครไม่รู้มาตอบแทน ไม่ได้ให้ความกระจ่างว่าเป็นเอกสารถูกต้องหรือไม่ เป็นลายเซ็นนายอุตตมที่ร่วมอนุมัติด้วยหรือไม่ มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไร ทำไมถึงไม่ถูกดำเนินคดีทั้งที่อีก 3 คนโดนคดี นายอุตตมได้ซัดทอดอีก 3 คนหรือไม่ถึงรอด นายพิชัยถามน่าเพราะห่วงความโปร่งใสของนายอุตตมก่อนรับตำแหน่งใหม่ ที่ไม่กล้าชี้แจงเองแสดงว่าไม่มั่นใจหรือไม่ว่าตัวเองโปร่งใสจริง ถึงต้องหลบหลังคนอื่น ส.ส.ฝ่ายค้านจะสอบถามเรื่องนี้ต่อ ถึงวันนั้นต้องตอบคำถามเหล่านี้ด้วยตัวเองอยู่ดี

“ภูมิธรรม”ปลุกปลดพันธนาการ

นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊ก “24 มิถุนา...ผ่านพ้นมา 87 ปี ยังคงต้องรำลึกกันต่อไป” มีเนื้อหาสรุปว่าหลังเลือกตั้งเกือบ 3 เดือนกว่า ยังไม่ได้ส่งสัญญาณใดๆให้เกิดความหวังขึ้นในสังคมไทย การเมืองไทย ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยเสี้ยวใบ ยังเห็นการคุกคามหรือประทุษร้ายบุคคลที่มีความคิดเห็นต่างหรือใช้การคุกคาม ทำร้ายแม้กระทั่งวาจาและการใช้ อำนาจอิทธิพลด้านการปกครองและทางกฎหมายทุกรูปแบบ จัดการและกระทำต่อนักศึกษา นักวิชาการ ปัญญาชน สื่อมวลชน สถาบันทางการเมืองและประชาชนกลุ่มเห็นต่าง พวกเราทุกคนในสังคมไทยล้วนมีภารกิจสำคัญต้องช่วยกันปลดเปลื้องพันธนาการที่กลุ่มผู้มีอำนาจสร้างขึ้นเพื่อเอื้อประโยชน์เฉพาะกลุ่มตน เพื่อให้ประเทศไทยมีมาตรฐานระบอบประชาธิปไตย อย่าให้การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเมื่อ ครั้งอดีตต้องสูญเปล่า อย่าให้ลูกหลานในอนาคตต้อง รับมอบประเทศชาติที่ปรักหักพัง ขาดความน่าเชื่อถือ


พท.ชวนนักการเมืองจับมือแก้ รธน.

เมื่อเวลา 10.50 น. ที่พรรคเพื่อไทย นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองถึงวันนี้ย่างเข้าสู่ปีที่ 88 การเมืองไทยยังวนเวียนอยู่ในวงจรอุบาทว์ สลับสับเปลี่ยนกันระหว่างรัฐบาลจากการเลือกตั้งและการปฏิวัติรัฐประหาร การเลือกตั้งวันที่ 24 มี.ค.62 แม้จะเสรีอยู่บ้าง แต่เป็นที่น่าสงสัยในความเป็นธรรม เป็นไปได้ว่ากติกาต่างๆถูกตราเพื่อประโยชน์พวกตัวเอง หากเราไม่ร่วมกันปลดล็อกเหล่านี้ย่อมไม่มีวันที่ประชาธิปไตยจะเกิดขึ้น นักการเมืองที่มาจากประชาชนควรหันหน้าเข้าหากัน จับมือกันแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยโดยเร็ว การสืบทอดอำนาจของ คสช. ต้องถูกร่วมมือกันขจัดออกไป สำหรับ ครม.ปัจจุบันเหลือน้อยไม่ควรอย่างยิ่งที่จะมีมติอนุมัติจัดสรรงบประมาณ รวมทั้งไม่ควรมีมติแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูง ด้วย น่าเป็นห่วงว่า คสช.และ ครม.ที่เหลืออยู่ไม่กี่คน อาจคิดว่าจะทำอะไรก็ได้โดยไม่มีความผิด ขณะนี้ มีสภาฯเกิดขึ้นแล้ว ทางที่ดีต้องรีบตั้ง ครม.ให้เสร็จสิ้น โดยเร็ว ให้พรรคร่วมรัฐบาลร่วมกันรับผิดชอบ


7 พรรคฝ่ายค้านถกรื้อ รธน.–คำสั่ง คสช.

เมื่อเวลา 13.00 น. ที่ชั้น 8 อาคารไทยซัมมิท มีการประชุมตัวแทน 7 พรรคร่วมฝ่ายค้านเพื่อหารือแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญและยกเลิกคำสั่ง คสช. โดย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมการพรรคร่วมฝ่ายค้านและการมีส่วนร่วมของประชาชน กล่าวก่อนการประชุมว่า ต้องยอมรับว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้เอื้อต่อการสืบทอดอำนาจ คสช.เป็นรัฐธรรมนูญที่รับใช้ คสช. มากกว่ารับใช้ประชาชน พรรคฝ่ายค้านจึงอยากนำบ้านเมืองเข้าสู่ประชาธิปไตยในแนวทางสันติวิธี และเห็นควรต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยต้องส่งเสริมให้ ประชาชนมีส่วนร่วมในการดูแลตรวจสอบรัฐบาล รวมถึงนำปัญหาของประชาชนมาผลักดันแก้ไขให้ได้

ชู 4 พันธกิจหลักซักฟอก รบ.–ตั้ง สสร.

ต่อมาเวลา 15.40 น. นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด คณะทำงานสื่อสารการเมืองพรรคเพื่อไทย ในฐานะคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้านและการมีส่วนร่วมของประชาชน แถลงว่าคณะกรรมการ มีพันธกิจหลักเร่งด่วน 4 ด้านคือ 1.แก้ไขรัฐธรรมนูญ นำประเทศกลับสู่ประชาธิปไตย 2.ล้างมรดกบาป คสช. คำสั่งลิดรอนสิทธิเสรีภาพประชาชน 3.ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลตามหลักธรรมาภิบาล ตั้งแต่ก่อนเข้าสู่ตำแหน่ง ระหว่างและหลังดำรงตำแหน่ง 4.สร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญของ 7 พรรคตรงกัน รัฐธรรมนูญฉบับนี้ดีไซน์มาเพื่อบางพรรคเป็นรัฐบาลเท่านั้น โจทย์คือจะแก้รัฐธรรมนูญอย่างไรให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุดเพื่อให้ยึดโยงกับประชาชน ไม่ใช่ รัฐธรรมนูญที่ให้คนบางกลุ่มบางพวกเขียน แต่ให้เป็นรัฐธรรมนูญของทุกคนในประเทศที่เท่าเทียมกัน โดยมาจากการเลือกสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ประชาชนไม่ได้เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญเลย ส่วนสถานะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯที่ยัง ประชุม ครม.ชุดเก่าอยู่ ฝ่ายค้านเตรียมดำเนินการ เรื่องคุณสมบัติอย่างต่อเนื่อง ต้องไปให้สุดทางจนถึงศาลรัฐธรรมนูญแน่นอน


“ธนาธร” ลั่น ปชต.ไม่ใช่ล้มสถาบัน

เมื่อเวลา 14.00 น. ที่ห้องประชุมวิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อและเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เปิดเวทีปราศรัยพบปะกับสมาชิกพรรคในพื้นที่ภาคอีสาน หัวข้อ “24 มิถุนา วันประชาธิปไตยและคืนอำนาจสู่ท้องถิ่น”

นายธนาธรกล่าวว่า 24 มิ.ย.2475 เป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นประชาธิปไตย 87 ปีที่ผ่านมา ยังมีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนมีเสียงเหนือกว่าประชาชน สิทธิมนุษยชนเสรีภาพยังถูกละเมิดคุกคาม นี่คือผลจากที่เราไม่ช่วยกันปกป้องการอภิวัฒน์หน้าที่พลเมืองที่สำคัญคือต่อต้านรัฐ– ประหารปกป้องประชาธิปไตย อยากชวนให้ทุกคนกลับมาให้ความสำคัญกับวันที่ 24 มิ.ย.เมื่อพูดอย่างนี้ ตนจะโดนคำกล่าวหาใส่ร้ายป้ายสีในเรื่องการสานต่อภารกิจที่ยังไม่สำเร็จของคณะราษฎรอีก ยืนยันอีกครั้งว่า พรรคอนาคตใหม่จะสานต่อการสร้างประชาธิปไตยที่อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง ภารกิจ 2475 ไม่ใช่ล้มล้างสถาบันอย่างที่ถูกใส่ร้าย เราเชื่อมั่นว่า สถาบันพระมหากษัตริย์จะมั่นคงสถาพรเมื่อประชาธิปไตยเข้มแข็ง

ลุยสนามท้องถิ่น 20 จังหวัด

นายธนาธรกล่าวอีกว่า การเลือกตั้งท้องถิ่นพรรคคงไม่ส่งผู้สมัครครบทั้ง 77 จังหวัด เนื่องจากพรรคเพิ่งเกิดเติบโตได้เพียง 1 ปี ยังมีเครือข่ายไม่เข้มแข็งพอ ดังนั้น จะส่งผู้สมัครที่พร้อมเพียงแค่ 20 จังหวัด การขยายสู่การเมืองท้องถิ่นคงจะต้องทำทีละก้าว คาดว่าไม่ถึง 1 ปีจะมีการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นคงจะใช้เครือข่ายพลังที่มีความรู้ประสบการณ์จากทำงานการเมืองระดับชาติมาประยุกต์ใช้ ขอฝากประชาชนที่สนับสนุนระดับชาติให้สนับสนุนระดับท้องถิ่นด้วย ขอขอบคุณ New World โหวตและทุกคะแนนเสียง ทั้งนักศึกษาคณาจารย์ที่ทำให้ชนะ ส.ส.เขตได้

“ปิยบุตร” ย้ำ 6 หลักคณะราษฎร

นายปิยบุตรกล่าวถึงบทบาทสำคัญของคณะราษฎร โดยเฉพาะการกระจายอำนาจที่สัมพันธ์กับการปฏิวัติ 2475 ว่า คณะราษฎรได้สถาปนาหลักการรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดปกครองประเทศ มีหลัก 6 ประการ ได้แก่ เอกราช ปลอดภัย เศรษฐกิจ เสมอภาค เสรีภาพและการศึกษา คือภารกิจสำคัญที่จะดำเนินการ วันนี้มี 3 เรื่องใหญ่เป็นหัวใจของระบอบ ประชาธิปไตย ที่ยังไม่ลงหลักปักฐานในประเทศคือ 1.หลักรัฐธรรมนูญนิยม การประกันสิทธิเสรีภาพประชาชน ทุกสถาบันการเมืองมีอำนาจได้เท่าที่รัฐธรรมนูญกำหนด 2.หลักระบบรัฐสภาต้องทำให้ภาพลักษณ์ดีขึ้น สร้างสรรค์ขึ้น และ 3.หลักกระจายอำนาจ แต่เดิมอยู่ที่เราเขาเอาไป ต้องยุติการรวมศูนย์อำนาจได้แล้ว

เครือข่าย ปชช.ยื่น ก.ม.โละคำสั่ง คสช.

ก่อนหน้านี้เมื่อเวลา 10.30 น. ที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ถนนประดิพัทธ์ นายจอน อึ๊งภากรณ์ ผอ.โครงการอินเตอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์) และนายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการไอลอว์ นำกลุ่มภาคประชาชน 23 องค์กร เดินทางจากกระทรวงการคลังมายื่นหนังสือต่อสภาฯ ผ่านนางพรรษมนต์ ไทยวัฒนานุกูล รองเลขาธิการสภาฯ เพื่อเสนอร่าง พ.ร.บ.ยกเลิกประกาศและคำสั่งหัวหน้า คสช. 35 ฉบับที่ขัดกับหลักสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย โดยนายยิ่งชีพกล่าวว่า เครือข่ายได้รวบรวมรายชื่อประชาชน 13,409 คน มายื่นเสนอร่าง พ.ร.บ.ยกเลิกประกาศและคำสั่งหัวหน้า คสช.ตามกิจกรรมปลดอาวุธ คสช. ทวงคืนสถานการณ์ปกติ การบังคับใช้ประกาศ คสช.เหล่านี้ให้อำนาจทหารจับกุมประชาชนไปคุมขังในค่ายทหารได้ 7 วัน โดยไม่ต้องรับผิด เป็นอันตรายให้ทหารใช้อำนาจตามอำเภอใจ บรรยากาศประชาชนร่วมแสดงความคิดเห็นหรือแสดงออกทางการเมืองมีปัญหาอย่างมาก ขึ้นอยู่กับ ส.ส.และ ส.ว.จะสนับสนุนหรือไม่ หาก ส.ส. คนใดไม่สนับสนุนต้องตอบคำถามประชาชนให้ได้ว่าเหตุใดจึงต้องการให้คงอำนาจทหารไว้ต่อไป ทั้งที่เข้าสู่ยุคประชาธิปไตยแล้ว

“จุรินทร์” ไป “กระบี่” แก้ปาล์มตกต่ำ

วันเดียวกัน นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อม ส.ส.กระบี่ และคณะ ส.ส.ภาคใต้ พรรคประชาธิปัตย์ ลงพื้นที่ อ.เมือง และ อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ พบปะชาวสวนปาล์มและกลุ่มแกนนำผู้ประกอบการปาล์มน้ำมัน หลังประสบปัญหาราคาตกต่ำตลอดหลายปี โดยนายจุรินทร์กล่าวว่า แนวทางประกันรายได้เกษตรกรจะเป็นหนึ่งในนโยบายรัฐบาล เพื่อเป็นหลักประกันให้เกษตรกรชาวสวนปาล์มว่า จะขายปาล์มได้อย่างน้อยกิโลกรัมละ 4 บาท และมีมาตรการอื่นๆควบคู่ด้วย เช่น ทำไบโอดีเซล และพัฒนาไปเป็นบี 10 บี 20 และบี 100 เพิ่มขึ้น ที่สำคัญต้องเร่งไม่ให้นำเข้าน้ำมันปาล์ม

“นิพิฏฐ์” ชี้กู้ดอกโหดยอมความไม่ได้

อีกเรื่อง เมื่อเวลา 10.30 น. นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กหัวเรื่อง “นายทุนเงินกู้นอกระบบ-คืนโฉนด ของจริงหรือแหกตา” ว่า เรื่องคืนโฉนดให้ชาวบ้านที่นายทุนยึดไว้ของศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการฉ้อโกงทรัพย์สินของประชาชน สตช. (ศปฉช.ตร.) การคืนโฉนดมีเรื่องไม่จริง สร้างภาพรวมอยู่ด้วย (ค่อนข้างเยอะ) เมื่อวันที่ 16 พ.ค.62 ศปฉช.ตร.แถลงว่าตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการนี้ ไกล่เกลี่ยไปแล้ว 24,014 ราย คืนโฉนดไป 20,360 ฉบับ เนื้อที่ 57,648 ไร่ ราคาที่ดิน 27,614,488,361 บาท ทั้งนี้ 1.ตาม พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2560 การให้ยืมเงินและเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ประการสำคัญเป็นความผิดต่อแผ่นดินที่ยอมความไม่ได้ เมื่อตำรวจพบการกระทำผิดต้องดำเนินคดีทันทีจะไกล่เกลี่ยและระงับคดีไม่ได้ จำนวนที่พบการกระทำความผิดและไกล่เกลี่ยไป 24,014 รายนั้น ตำรวจดำเนินคดีไปกี่ราย หากไม่ดำเนินคดีถือว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่

ท้า ศปฉช.ตร. เปิดชื่อลูกหนี้อุปโลกน์

นายนิพิฏฐ์ระบุอีกว่า 2.ผู้ที่ตำรวจอ้างว่าเข้าไกล่เกลี่ย 24,014 ราย ลองเปิดเผยชื่อมาดูประชาชนจะได้ไปสอบถามได้ว่าคุณลุงคุณป้าเหล่านั้นกู้ยืมเงินนายทุนไปจริงหรือไม่ หรือเพียงเอาโฉนดให้ตำรวจไปแล้วให้ผู้ใหญ่ในรัฐบาลมาแจกโฉนดของตนเองคืน เปิดเผยสถิติคดีมาแล้วจะรู้ว่าของจริงหรือของปลอม นำเรื่องนี้มากล่าวมิได้เจตนาร้ายต่อตำรวจ เจตนาดีเสียด้วยซ้ำ อยากให้ตำรวจดีๆได้ทำงานสะดวกใจ ไม่เสี่ยงทำผิดกฎหมาย ทำงานเข้าสู่ระบบที่ถูกต้อง อยากให้ตำรวจมีวิญญาณของความเป็นกบฏเสียบ้าง สิ่งไหนที่ผู้บังคับบัญชาสั่งและไม่ถูกต้องหัดเป็นกบฏเสียบ้าง มีเรื่องอื่นอีก 2-3 เรื่องจะเล่าให้ฟังค่อยว่ากันอีก

แฉต่อรองคดีหาโฉนดมาแจกคืน

ต่อมานายนิพิฏฐ์ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า มี ผบช.ภ.ยศ พล.ต.ท.โทรศัพท์มาคุยขอข้อมูลได้บอกว่าเห็นด้วยกับโครงการนี้เพราะช่วยคนจนที่ถูกเอารัด เอาเปรียบ ตอนเริ่มต้นโครงการใหม่ๆโอเค แต่ตอนหลังมันไม่ใช่ของจริงมีจำนวนมากขึ้น ได้ยกตัวอย่างให้ทราบว่า ข้อมูลของ ศปฉช.ตร. ที่ระบุว่าไกล่เกลี่ยไปแล้ว 24,000 ราย คืนโฉนดไป 20,000 ฉบับ เป็นคดีที่ยอมความกันไม่ได้ แต่ตำรวจกลับไปไกล่เกลี่ยคดี ใช้อำนาจอะไรไม่ดำเนินคดีตามกฎหมาย และถ้าไกล่เกลี่ยคดีไปแล้วมีสถิติรายละเอียดหรือไม่ จึงบอกว่ากรณีนี้ไม่เป็นความจริง เพราะตำรวจไม่มีอำนาจไกล่เกลี่ย ต้องดำเนินคดีเท่านั้น ระยะหลังสร้างภาพว่าไปจับนายทุนเงินกู้มา จับจริงอาจ 1-2 ราย มีสัญญาเงินกู้ 5 ฉบับ มาต่อรองว่าใช้สัญญา เงินกู้ 2 ฉบับพอแล้วไปหาโฉนดที่ดินของพรรคพวกมาให้ 20 ใบ จะให้นายมาแจกคืน ในวันที่ทำพิธี จะไม่ถูกดำเนินคดีในหลายๆกรรม ต้องวิ่งหาโฉนดที่ดินให้ได้ มีลักษณะเช่นนี้จำนวนมาก ผบช.ภ.รับปากว่าจะรับข้อสังเกตของตนไว้ และจะดำเนินคดีตามความเป็นจริง จะมีพิธีแจกโฉนดที่ดินอีกครั้งเร็วๆนี้ที่ จ.กาญจนบุรี

ปั้นสถิติผลงานหลอกเจ้านาย

นายนิพิฏฐ์กล่าวอีกว่า คงไม่ฝากอะไรเป็นพิเศษไปถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ที่ดูแลเรื่องนี้ การทำคดีช่วยเหลือชาวบ้านคนยากจน ทุกคนเห็นด้วยสนับสนุนอยู่แล้ว แต่ต้องทำให้ถูกต้อง ตามกฎหมายและข้อเท็จจริง ถ้าไม่ทำอย่างตรงไปตรงมาจะถูกหลอกได้จากนายตำรวจบางคนที่ต้องการโชว์ผลงาน นายหรือผู้ใหญ่จะถูกหลอกได้ หรือถ้าให้สิ่งเหล่านี้เดินหน้าต่อ ต้องยอมรับว่ามีกระบวนการต่อรองดำเนินคดี หรือจะไม่ดำเนินคดีอาญาแต่ต้องทำสถิติให้เขา เป็นการละเมิดกฎหมาย ตำรวจชั้นผู้น้อยส่วนใหญ่ลำบากใจมาก ขณะที่มีตำรวจบางนายที่สนับสนุนเรื่องนี้เน้นสร้างสถิติ เจริญเติบโตทางราชการ จึงขอให้ดำเนินคดีตามความเป็นจริง

“บิ๊กป้อม” สั่งสอบปัดไม่เกี่ยว “บิ๊กโจ๊ก”

พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่นายนิพิฏฐ์ แฉกระบวนการตบตา “พลเอก ป.” ถูกลูกน้องหลอกแจกคืนโฉนดที่ดินว่า เรื่องนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ทราบเรื่องแล้ว ได้สั่งการให้ พล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย ตรวจสอบข้อเท็จจริง หากพบผิดจริงให้ดำเนินการตามกฎหมายเด็ดขาด อาจเป็นเพียงเฉพาะรายไป อย่านำไปเหมารวม จะทำให้นโยบาย ช่วยเหลือประชาชนเสียหายได้


พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการ เรื่องนี้และได้ตอบไปแล้ว เขาพูดคุยกับนายนิพิฏฐ์ เรียบร้อยแล้ว ชี้แจงแล้ว เมื่อถามว่า เรื่องนี้เชื่อมโยงไปถึง พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกฯ พล.อ.ประวิตรปฏิเสธว่า “ไม่มี ไม่เกี่ยวเลย”

“บิ๊กแป๊ะ” เช็กข้อมูลเตรียมฟ้องกลับ

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. กล่าวถึงกรณีนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กถึงมาตรการแก้ปัญหาโฉนดที่ดินที่ตำรวจจับกุมแก๊งเงินกู้เป็นการสร้างภาพว่า หากเห็นว่าตำรวจปฏิบัติหน้าที่ไม่ถูกต้องประชาชนสามารถฟ้องกับเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ ไม่ทราบนัยของผู้ที่โพสต์ ต้องการอะไรเพราะเป็นนักการเมือง หากติเตียนตำรวจยินดีรับฟัง ส่วนตัวเชื่อมั่นการทำงานของ พล.ต.อ.รุ่งโรจน์ แสงคร้าม รอง ผบ.ตร.และ พล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย ผู้ช่วย ผบ.ตร. ที่กำกับดูแลเรื่องนี้ เบื้องต้นสั่งการให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่นายนิพิฎฐ์โพสต์ หากเจตนากล่าวหา หรือต้องการใส่ร้ายตำรวจจะให้ฝ่ายกฎหมายพิจารณาว่าจะมีการฟ้องกลับหรือไม่

“ปิยะ” เช็ก ก.ม. เชิญ “นิพิฏฐ์” ให้ข้อมูล

ขณะที่ พล.ต.ท.ปิยะกล่าวว่า ตำรวจไม่ได้สร้างภาพแน่นอน ไม่ได้ทำงานหน่วยเดียว บูรณาการกัน กว่า 6 หน่วยงาน ไม่สามารถใช้เอกสารที่ดินปลอมมาคืนให้กับประชาชนได้ เบื้องต้นประสานกับนายนิพิฏฐ์ยอมรับว่า โพสต์ข้อความดังกล่าวจริง ได้ให้ฝ่ายกฎหมายตรวจสอบและประสานตำรวจ ผบช.ภ.9 ตรวจสอบว่าการโพสต์ข้อความเข้าข่ายความผิดหรือไม่ พร้อมจะเชิญนายนิพิฏฐ์มาให้ข้อมูล

ศาลรวมคดีคนอยากเลือกตั้ง

เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ห้องพิจารณา 912 ศาลอาญา ศาลนัดตรวจหลักฐานคดีแกนนำกลุ่มคนอยากเลือกตั้งชุด ARMY57 ที่มีนายกาณฑ์ หรือศศิพัฒน์ พงษ์ประภาพันธ์ นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ นายรังสิมันต์ โรม น.ส.ณัฎฐา มหัทธนา นายธนวัฒน์ พรมจักร นายโชคชัย ไพบูลย์รัชตะ นายอานนท์ นำภา นายปกรณ์ อารีกุล และ น.ส.ศรีไพร นนทรีย์ เป็นจำเลยที่ 1-9 กับคดีที่นายเอกชัย หงส์กังวาน เป็นจำเลย ข้อหายุยงปลุกปั่น ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 ใช้เครื่องขยายเสียง โดยไม่ได้รับอนุญาต ฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ และ พ.ร.บ.การ จราจรทางบก กรณีชุมนุมเมื่อวันที่ 24 มี.ค. ที่สนาม ฟุตบอลมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เคลื่อนตัวไปยังกองบัญชาการกองทัพบก โดยศาล อนุญาตให้รวมคดีนับนายเอกชัยเป็นจำเลยที่ 10 เป็นคดีเดียวกัน และกำหนดวันนัดสืบพยาน 20 นัด นัดสืบพยานโจทก์ครั้งแรกวันที่ 26 พ.ค.2563