PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

รอบนี้"ลุงตู่"เบ็ดเสร็จ

นัดแรก ประเดิมศักราช ครม. “ประยุทธ์ ภาค 2” ที่มีอำนาจบริหารสั่งการเต็มมือ

และถือเป็นวาระเร่งด่วนสำคัญก่อนอื่นเลย นั่นคือการตั้ง “ครม.เศรษฐกิจ” ที่ชงยุทธศาสตร์โดย “จอมยุทธ์กวง” นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ให้ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม นั่งหัวโต๊ะเป็นประธาน

เสมือนหัวหน้าทีมเศรษฐกิจที่มีอำนาจสูงสุดในการฟันธงขั้นสุดท้าย

โดยมีรองนายกฯทั้งหมด และรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจ ประกอบด้วย รมว.คลัง รมว.พาณิชย์ รมว.เกษตรและสหกรณ์ รมว.อุตสาหกรรม รมว.พลังงาน รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) รวมถึงตัวแทนหน่วยงานด้านเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นทีม ครม.เศรษฐกิจ

เพื่อให้การขับเคลื่อนการบริหารงานเศรษฐกิจเป็นไปอย่างมีเอกภาพ

เรือเหล็กเดินหน้าเต็มกำลัง ไม่ใช่ต่างคนต่างแจว

เหนืออื่นใด ตามแนวโน้มมาตรฐานความโปร่งใส “หลักประกัน” เมกะโปรเจกต์ที่ผ่านการประมูลแล้วในรัฐบาล “ประยุทธ์ ภาคแรก” อาทิ โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา และรถไฟฟ้าสารพัดสายที่ปักหมุดตอกเสาเข็มไปแล้ว

โดยไม่มีเรื่องชักหัวคิว หักค่านายหน้า เรียกเปอร์เซ็นต์

ในรูปการณ์ที่ พล.อ.ประยุทธ์นั่งหัวโต๊ะ ครม.เศรษฐกิจ โดยมีนายสมคิดคอยช่วยกัน “ตีมือ” คิวสอดไส้ มันก็เป็นอะไรที่นักลงทุนมั่นใจได้ระดับหนึ่งเมกะโปรเจกต์เรือธงจะได้รับการเข็นให้เดินหน้าต่อเนื่องทันที

ไม่มีการดึงจังหวะให้ช้า หรือทำท่ารื้อกันใหม่ ขู่ “ตีเมืองขึ้น” ให้วุ่นวาย

เพราะมันคือจุดอันตรายต่อเชื้อบาดทะยักคอร์รัปชัน เสี่ยงกับการโดนจับได้ไล่ทัน ในสถานการณ์สื่อกระแสหลักและสื่อโซเชียลฯที่เฝ้าจับตาฟอร์มของรัฐบาลนักการเมืองอาชีพที่จ้องเข้ามา “ถอนทุน”

โดยเฉพาะห้วงฤดูเปลี่ยนผ่านรัฐบาลนี่แหละสำคัญ

ยิ่งเทียบกันตามระดับความโปร่งใสของทีม “ประยุทธ์ ภาคแรก” ที่ทำให้เห็นมาแล้ว กับทีม “ประยุทธ์ ภาค 2” ที่พรรคร่วมรัฐบาลแย่งชิ้นปลามัน ดึงกระทรวงเศรษฐกิจเกรดเอไปกำกับดูแล

สภาพเสียงปริ่มน้ำ ยิ่งทำให้เอื้อต่อการใช้อำนาจต่อรองเพื่อผลประโยชน์ในทางมิชอบ

“ครม.เศรษฐกิจ” จึงเป็นคำตอบได้ดีที่สุด สำหรับไฟต์บังคับรัฐบาลที่จัด ครม.โลกสวยไม่ได้

เอาเป็นว่า รับรู้กันตามสภาพการณ์ “หน้าทีมเศรษฐกิจ” ของรัฐบาล “ประยุทธ์ ภาค 2” คือ “บิ๊กตู่” ไม่ใช่ “สมคิด” ที่ออกตัว

ตีกรรเชียงถอยให้ตามยุทธศาสตร์

มีแค่ตำแหน่ง แต่ไร้อำนาจ เก๋าระดับ “จอมยุทธ์กวง” อ่านขาดอยู่แล้ว

แนวโน้มต้องอาศัย “ลูกเด็ดขาด” สไตล์ “บิ๊กตู่” ขู่ปรามพรรคร่วมแผลงฤทธิ์ไว้ก่อน ตามเหลี่ยมล้อกับสถานการณ์ตอนฟอร์มรัฐบาล ที่เป็นผู้มีบารมีนอกพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็

ว่ากัน มี พล.อ.ประยุทธ์ไปจัดการแจกขนมให้พรรคประชาธิปัตย์กับพรรคภูมิใจไทย

งานนี้ก็ต้องไล่ตาม “เก็บงาน” กันเองด้วย

ไม่ใช่แค่มุมเศรษฐกิจเท่านั้น หันไปทางมุมความมั่นคง

ล่าสุดเช้าวันที่ 30 กรกฎาคม ก่อนประชุม ครม. “บิ๊กตู่” ในอีก 1 สถานะ คือ รมว.กลาโหม ถือฤกษ์งามยามดี อุ้มพระพุทธรูป 5 องค์ เข้าบูชาที่ห้องทำงานกระทรวงกลาโหม

ท่ามกลางผู้นำทุกเหล่าทัพตบเท้ารอรับกันพรึบพรับ

ตามสถานการณ์ที่นายกรัฐมนตรีประกาศคุมเองหมด ทั้งกองทัพ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมไปถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)

ครบเครื่องอำนาจความมั่นคง เบ็ดเสร็จในตัวคนเดียว

เรียกได้ว่าเป็นผู้นำที่กุมสภาพแน่นปึ้ก ล็อกไว้หมดทั้งเศรษฐกิจ ความมั่นคง

ซึ่งนั่นก็เป็นไปตามสถานภาพของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ยังมีอำนาจ คสช. “ค้างท่อ” ที่สำคัญมีน้องรักอย่าง “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก เป็นแบ็กอัปคุ้มกันหลังให้

แต่มันก็เป็นอะไรที่น่าสนใจ สถานภาพนี้จะยังอยู่ดีหรือไม่

ถ้าหาก “บิ๊กตู่” ตัดสินใจกระโดดลงสนามการเมืองเต็มตัว เป็นหัวขบวนพรรคพลังประชารัฐ

ตามเงื่อนไขสถานการณ์ที่กองทัพ รวมถึงน้องรักอย่าง “บิ๊กแดง” เองก็คงอึดอัด วางตัวลำบาก หากต้องเอากองทัพไปหนุนพรรคการเมืองชัดเจน

จำเป็นต้องถอย ลดระดับมาตรการอารักขา “พี่ตู่”.

ทีมข่าวการเมือง

วันแมนโชว์

รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำทัพของ นายกฯหน้าเก่าไม่ต้องวอร์มอัป ไม่ต้องฮันนีมูน เริ่มเดินเครื่องทำงานทันที

แต่เนื่องจากเป็นรัฐบาลผสมหลายพรรคการเมือง เป็นรัฐบาลรวมดาว กระจาย รูปแบบการทำงานของรัฐบาลใหม่จึงแตกต่างจากยุครัฐบาล คสช. ซึ่ง นายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คุมอำนาจเบ็ดเสร็จแต่ผู้เดียว

“แม่ลูกจันทร์” เชื่อว่าเมื่อรองนายกฯ และรัฐมนตรีกระทรวงสำคัญๆ กลายเป็นโควตาพรรคร่วมรัฐบาล

ไม่ใช่ลูกน้องสายตรงที่ “นายกฯลุงตู่” จะชี้นิ้วสั่งซ้ายหันขวาหันได้อย่างสะดวกโยธิน

จึงมีความจำเป็นที่ “พล.อ.ประยุทธ์” ต้องปรับโครงสร้างอำนาจ และกระบวนการทำงานให้สอดรับกับสถานการณ์

ต้องกระชับอำนาจในมือเพื่อควบคุมรัฐมนตรีพรรคต่างๆไม่ให้นอกลู่นอกทาง

และเพื่อป้องกันไม่ให้รัฐมนตรีคนละพรรคเหยียบตาปลากันเอง

ดังนั้น หน่วยงานสำคัญๆที่เคยมอบอำนาจให้รองนายกฯช่วยกำกับดูแลแทน

พล.อ.ประยุทธ์จึงต้องแผ่พังพานเข้าไปกำกับดูแลเอง

เริ่มตั้งแต่การควบ 2 เก้าอี้ เป็นนายกรัฐมนตรี ควบ รมว.กลาโหมแบบทูอินวัน

“พล.อ.ประยุทธ์” จะเป็นผู้ควบคุม สั่งการกระทรวงกลาโหม กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศโดยตรง

กำลังทหาร 3 กองทัพกว่า 3 แสนนายจะขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี

ไม่ต้องผ่านรองนายกฯฝ่ายความมั่นคงอย่างเดิม

“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่าเพื่อกระชับอำนาจให้แน่นป่ึกร้อยเปอร์เซ็นต์ นายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ประกาศชัดกลางสภาฯ จะเป็นผู้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติด้วยตัวเอง

หมายความว่ากำลังตำรวจ 2.1 แสนนาย จะเปลี่ยนไปขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี

การแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจทั่วประเทศจะอยู่ในมือ “นายกฯลุงตู่” ร้อยเปอร์เซ็นต์

ล่าสุด นายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ ยังส่งสัญญาณจะเข้าไปกำกับดูแลกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ “ดีเอสไอ” อีกหนึ่งองค์กร

ไม่ผ่องถ่ายให้รองนายกฯรับ หน้าเสื่อกำกับดูแลดีเอสไออย่างที่ผ่านมา

จากนี้ไปคดีใหญ่ๆทุกคดี ที่จะประเคนให้เป็นคดีพิเศษ ให้ดีเอสไอเป็นผู้เช็กบิล

จะต้องผ่านไฟเขียวจาก พล.อ.ประยุทธ์โดยตรง

สรุปว่า นายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้มีอำนาจควบคุมกำลังทหาร 3 เหล่าทัพกว่า 3 แสนนาย ตำรวจทั่วประเทศอีก 2.1 แสนนาย และกรมสอบสวนคดีพิเศษดีเอสไอ ครบไตรภาคี

“แม่ลูกจันทร์” ย้ำว่ายังมีอีกบทบาทสำคัญที่ “พล.อ.ประยุทธ์” จะแอ่นอกแสดงบทบาทเอง

คือจะเป็นหัวหน้าทีม ครม.เศรษฐกิจ แทน “ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจคนเดิม

นายกฯลุงตู่ จะนั่งหัวโต๊ะประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจทุกกระทรวง ทุกพรรคเพื่อขับเคลื่อนการแก้ปัญหาเศรษฐกิจทุกด้านที่รัฐบาลแถลงต่อสภาฯ

การเปลี่ยนโครงสร้างบริหารในรัฐบาลใหม่ จะยกระดับ “นายกฯ ลุงตู่” ให้กลายเป็น “ซุปเปอร์แมน”

ต้องทะลุ่มทะลุยทำงานหนักขึ้นอีกเท่าตัว

แล้วอย่าบ่นว่าเหนื่อยเชียวนะลุง.

“แม่ลูกจันทร์”

วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

ฟื้น‘ครม.เศรษฐกิจ’ นายกฯนั่งหัวโต๊ะคุมกระทรวงเปน็ เอกภาพตั้ง‘นฤมล’โฆษก



 “ประยุทธ์” เตรียมเข้ารับเก้าอี้ รมว.กลาโหมก่อนประชุม ครม.เป็นทางการนัดแรก พร้อมปลุกผี ครม.เศรษฐกิจ พ่วงแบ่งงานรองนายกฯ และแต่งตั้งสารพัดเก้าอี้ ขรก.การเมืองชุดใหญ่ โดยเฉพาะทีมโทรโข่ง วิษณุแจงหลักเกณฑ์เก้าอี้เทกระโถน ส.ส.หมดสิทธิ์ ดร.ปลอดโผล่วิพากษ์ศึกอภิปราย  ลงท้ายปลุกแก้รัฐธรรมนูญ-นิรโทษกรรม ผู้ลี้ภัยเมินข้อเสนอ “ปิยบุตร” ส่วนนิพิฏฐ์แฉ “วันนอร์-สหายอ้วน” โกหกเรื่องรัฐประหาร 22 พ.ค.

 “ประยุทธ์” เตรียมเข้ารับเก้าอี้ รมว.กลาโหมก่อนประชุม ครม.เป็นทางการนัดแรก พร้อมปลุกผี ครม.เศรษฐกิจ พ่วงแบ่งงานรองนายกฯ และแต่งตั้งสารพัดเก้าอี้ ขรก.การเมืองชุดใหญ่ โดยเฉพาะทีมโทรโข่ง วิษณุแจงหลักเกณฑ์เก้าอี้เทกระโถน ส.ส.หมดสิทธิ์ ดร.ปลอดโผล่วิพากษ์ศึกอภิปราย  ลงท้ายปลุกแก้รัฐธรรมนูญ-นิรโทษกรรม ผู้ลี้ภัยเมินข้อเสนอ “ปิยบุตร” ส่วนนิพิฏฐ์แฉ “วันนอร์-สหายอ้วน” โกหกเรื่องรัฐประหาร 22 พ.ค.

รายงานข่าวแจ้งว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อย่างเป็นทางการครั้งแรกของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในวันอังคารที่ 30 ก.ค.นี้ ได้เลื่อนเวลาเป็น 09.30 น.จากเดิม 09.00 น. เนื่องจากช่วงเช้าเวลา 07.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (กห.) มีกำหนดการเข้ากระทรวงเพื่อรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ 
    ทั้งนี้ วาระ ครม.ที่น่าสนใจมีอาทิ การเสนอ ครม.พิจารณาแต่งตั้ง ครม.เศรษฐกิจ เพื่อขับเคลื่อนการบริหารประสานงานกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเศรษฐกิจให้เป็นเนื้อเดียวกัน ซึ่งจะมี พล.อ.ประยุทธ์เป็นประธาน มีรองนายกฯ ทั้งหมด รวมถึงรัฐมนตรีกระทรวงที่เกี่ยวข้องเศรษฐกิจร่วมเป็นกรรมการ ประกอบด้วย กระทรวงการคลัง, กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, กระทรวงอุตสาหกรรม, กระทรวงพาณิชย์ (พณ.),  กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และกระทรวงพลังงาน  รวมถึงตัวแทนหน่วยงานด้านเศรษฐกิจร่วมเป็นกรรมการใน ครม.เศรษฐกิจด้วย 
สำหรับความรับผิดชอบนั้นจะให้รองนายกฯ แต่ละคนจะรับผิดชอบในกระทรวงเศรษฐกิจที่แต่ละพรรคดูแล อาทิ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ จะกำกับดูแลกระทรวงของพรรคพลังประชารัฐ  (พปชร.) ได้แก่ กระทรวงการอุดมศึกษาฯ, ดีอี, พลังงาน และอุตสาหกรรม นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์  รองนายกฯ ดูแล พณ. และกระทรวงเกษตรฯ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ ดูแลกระทรวงการท่องเที่ยวฯ และคมนาคม ซึ่งเบื้องต้น ครม.เศรษฐกิจจะประชุมทุกวันจันทร์ เพื่อกลั่นกรองและพิจารณานโยบายที่เกี่ยวกับกระทรวงเศรษฐกิจ ก่อนเสนอให้ที่ประชุม ครม.รับทราบในวันอังคารต่อไป 
     “ครม.จะมีการประชุมแบ่งงานรองนายกฯ และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ด้วย” รายงานข่าวระบุ 
นอกจากนี้ที่ประชุม ครม.จะมีการพิจารณาแต่งตั้งโฆษกประจำสำนักนายกฯ และรองโฆษกประจำสำนักนายกฯ โดยมีรายงานว่าจะเสนอชื่อนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค พปชร.ดำรงตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกฯ และนายธนกร วังบุญคงชนะ เป็นรองโฆษกฯ ซึ่งทั้ง 2 คนได้รับการประสานจากทีมงานนายกฯ แล้ว
โดยนางนฤมลยอมรับว่าได้รับการประสานจากทีมงานนายกฯ ว่าจะเสนอชื่อตนเป็นเป็นโฆษกประจำสำนักนายกฯ ในการประชุม ครม.วันที่ 30 ก.ค. ซึ่งไม่ได้รู้สึกหนักใจหรือกังวลใดๆ เพราะที่ผ่านมาจริงๆ แล้วเคยทำงานออกหน้าสื่อมาก่อน เมื่อต้องมาทำหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกฯ หลักๆ คือต้องอธิบายความให้ประชาชนเข้าใจได้ง่ายๆ ถึงการทำงานของรัฐบาลและผลงานรัฐบาล ต้องทำงานควบคุมทุกด้าน รวมถึงงานด้านการเมืองซึ่งเลี่ยงตอบไม่ได้เพราะก็เป็นนักการเมือง ส่วนการพูดคุยเตรียมความพร้อมทีมโฆษกรัฐบาลคงต้องรอ ครม.มีมติแต่งตั้งอย่างเป็นทางการก่อน โดยได้ยื่นใบลาออกจากการเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อแล้ว 

ขณะเดียวกันมีรายงานว่า นายสมคิดจะเสนอ ครม.พิจารณาแต่งตั้งนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล โฆษกพรรค พปชร.เป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (รองนายกฯ สมคิด) ด้วย 


ส.ส.อดเก้าอี้เทกระโถน

ส่วนนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ กล่าวถึงการรับตำแหน่งข้าราชการทางการเมืองของ ส.ส.ว่าจากการหารือกับคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นตรงกันว่า ส.ส.ไม่สามารถเป็นข้าราชการการเมืองได้ เนื่องจากจะเกิดปัญหาผลประโยชน์ขัดกัน และจะขัดกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 แต่ ส.ส.สามารถดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีได้ เพราะมีการเขียนยกเว้นไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 163 
รายงานข่าวจากพรรค พปชร.แจ้งถึงหลักเกณฑ์ในการพิจารณาผู้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ว่า หลังรับทราบแนวทางแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ผู้บริหารของพรรคและฝ่ายกฎหมายจะชี้แจงกับ  ส.ส.ของพรรคต่อไป โดยตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีและที่ปรึกษารัฐมนตรีนั้น เป็นอำนาจของรัฐมนตรีที่จะพิจารณาแต่งตั้ง โดยคำนึงถึงความสามารถและช่วยงานที่ได้รับมอบหมายได้ ซึ่งตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีนั้น ประธานยุทธศาสตร์พรรค พปชร.ในแต่ละภาคจะพิจารณาชื่อบุคคลที่เหมาะสม มีความรู้ความสามารถ เพื่อให้เกิดความครอบคลุมทุกสัดส่วนในแต่ละภาค ก่อนเสนอ พล.อ.ประยุทธ์พิจารณาเลือกต่อไป

    พล.ต.ทรงกลด ทิพย์รัตน์ หัวหน้าพรรคพลังชาติไทย เปิดเผยว่า กลุ่ม 10 พรรคที่เป็นพรรคการเมืองขนาดเล็กที่มี ส.ส.พรรคละหนึ่งคน ได้ส่งโผรายชื่อคนที่แต่ละพรรคการเมืองเสนอให้ไปรับตำแหน่งทางการเมือง เช่น กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ที่ปรึกษารัฐมนตรี ให้ตัวแทนของนายกฯ อย่างเป็นทางการแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแต่ละพรรคได้เสนอชื่อพรรคละหนึ่งคน ซึ่งสำหรับพรรคพลังชาติไทยได้เสนอชื่อตนเองเป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม (พล.อ.ประยุทธ์) หรือกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำรองนายกฯ (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ซึ่งก็แล้วแต่นายกฯ จะพิจารณาว่าจะเห็นควรอย่างไร หากไม่เสนอชื่อเข้า ครม.ก็ไม่มีปัญหา แต่หากเสนอโดยตั้งให้เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีหรือแม้แต่ที่ปรึกษารัฐมนตรี ก็พร้อมจะลาออกจาก ส.ส.ทันทีเพื่อไปทำงานฝ่ายบริหาร แต่จะไปอยู่ตรงไหนก็ได้เพราะพร้อมที่จะทำงานอยู่แล้ว  

นายนิพันธ์ ศิริธร ส.ส.ตรัง แกนนำกลุ่มด้ามขวานไทย หรือกลุ่มภาคใต้ พรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า กลุ่มได้ส่งรายชื่อคนที่สนับสนุนให้ไปรับตำแหน่งทางการเมืองต่างๆ แก่ผู้ใหญ่ในพรรคเรียบร้อยหมดแล้ว โดยมีร่วมสิบชื่อ อาทิ นายทวี สุระบาล ผู้สมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ หัวหน้ากลุ่มด้ามขวานไทย  เป็นต้น โดยชื่อที่ส่งไปไม่ได้มีการระบุว่าจะให้ใครไปอยู่กระทรวงไหน เพราะเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ในพรรคจะพิจารณา
ส่วนกรณีคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการ มีคำสั่งกระทรวงศึกษาธิการ เรื่องแต่งตั้งคณะที่ปรึกษา รมช.ศึกษาธิการ 35 คน ซึ่งมีนายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์  (ปชป.) เป็นประธานที่ปรึกษา เพื่อกำหนดแนวทางและวางยุทธศาสตร์ทางด้านการศึกษา เมื่อวันที่ 25  ก.ค.นั้น ล่าสุดพรรค ปชป.ได้แจ้งไปยังคุณหญิงกัลยาว่าในคำสั่งนี้มี ส.ส.ของพรรครวมอยู่ด้วย 3 คน ซึ่งสุ่มเสี่ยงขัดรัฐธรรมนูญ จึงเห็นว่าควรแก้ไขรายชื่อดังกล่าว ทำให้คุณหญิงกัลยายกเลิกคำสั่งนี้แล้ว
คุณหญิงกัลยากล่าวว่า ได้ยกเลิกคำสั่งดังกล่าวไปแล้ว เพราะแม้ผู้ที่ได้ตำแหน่งในคณะนี้จะไม่ได้รับเงินเดือน และเป็นคนละส่วนกับความเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี ซึ่งเป็นตำแหน่ง แต่เนื่องจากพบข้อสังเกตในบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 และ 185 ซึ่งเป็นเรื่องการขัดกันแห่งผลประโยชน์ จึงต้องปรึกษากับฝ่ายกฎหมายของกระทรวงศึกษาธิการให้ได้ความชัดเจนก่อน ว่าการแต่งตั้งคณะที่ปรึกษาของตัวเองเป็นสิ่งที่ทำได้หรือไม่ ขณะเดียวกันทราบว่าในส่วนของพรรคกำลังหารือกันถึงข้อกฎหมายเดียวกันด้วย เพราะมีผลต่อการจัดวางคนไปดำรงตำแหน่งทางการเมืองในกระทรวงต่างๆ
    วันเดียวกันยังคงมีความต่อเนื่องจากการอภิปรายนโยบายรัฐบาลเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า เรื่องเศษฐกิจหรือการใช้งบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นได้ถามรัฐบาลแล้วว่า ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 162 ระบุว่าต้องบอกที่มาของรายได้ ซึ่งอย่าบอกว่ามาจากงบประมาณ จะบอกว่าไปกู้มาหรือทำอย่างไรให้ได้เงินมา อาจจะเป็นการจัดเก็บรายได้หรืออะไรก็แล้วแต่ท่านต้องบอกได้ นอกจากนี้ใน 4 ปีของการเป็นรัฐบาล จะต้องมีเป้าหมายว่าจะจัดงบให้สมดุลในปีไหน ไม่ใช่จะขาดดุลมากขึ้นทุกปี เพราะตลอด 4 ปีที่ผ่านมาของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์  ท่านก็ได้กู้เงินไปแล้วกว่า 2 ล้านล้านบาท ขาดดุลประมาณ 5 แสนล้านบาททุกปี แล้วอีก 4 ปีจะต้องขาดทุนมากขึ้นกว่าเดิมหรือ ดังนั้นรัฐบาลควรบอกว่าในปีไหนงบประมาณของรัฐบาลจึงจะสมดุล 
“ท่านบอกว่าท่านเข้ามาแล้วจะทำให้ประเทศของเรามั่งคั่ง ร่ำรวยตามยุทธศาสตร์ชาติ ท่านจะทำให้เราร่ำรวยด้วยการไปกู้เงินมาอย่างนั้นหรือ ท่านต้องวางนโยบายให้เป็นไปตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20  ปีที่ท่านกำหนดขึ้นมา ท่านกำหนดไว้ว่า 5 ปีข้างหน้าจีดีพีเราต้องโตขึ้นมากกว่าร้อยละ 5 แต่นโยบายกลับไม่มีความชัดเจนว่าจะโตขึ้นได้อย่างไร” นายยุทธพงศ์ระบุ
    นายยุทธพงศ์ยังกล่าวถึงการเตรียมความพร้อมในการอภิปรายงบประมาณของรัฐบาลว่า ตอนนี้ต้องรอดูก่อนว่ารัฐบาลเขาจะจัดงบประมาณแบบไหน แต่สิ่งที่ได้ฝากไว้คือเรื่องของการจัดซื้อรถดับเพลิง ที่ซื้อมาแล้วเอามาจอดไว้จนกลายเป็นสุสานรถดับเพลิง ในขณะที่งบประมาณของเราไม่มีจนจำเป็นต้องไปกู้เงินมา ทำไมเราจึงไม่เอาเงินตรงนี้ไปช่วยภัยแล้ง เพราะชาวบ้านกำลังเดือดร้อนลำบาก เรื่องนี้ ป.ป.ช.สอบสวนเสร็จแล้วและส่งดำเนินคดีแล้ว ดังนั้นที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยบอกว่าจะไปจัดการ ท่านต้องรีบไปตามคดีที่ ป.ป.ช.
ปลอดให้คะแนนอภิปราย
    ส่วนนายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อควันหลงจากการอภิปรายนโยบายรัฐบาลใหม่แต่นายกฯ เก่า ระบุว่า โพลทุกฉบับให้รัฐบาลสอบตกหมด ซึ่งก็เห็นเช่นนั้น เพราะต้องอ่านนโยบายหลายรอบ เนื่องจากนโยบายหลวมมาก ไม่เน้นอะไรเลย โดยพยายามให้ครอบคลุมทุกเรื่อง เอานโยบายของทั้ง 19 พรรคมาปะติดปะต่อกัน แทบไม่มีส่วนไหนอธิบายวิธีที่จะปฏิบัติ ไม่ปรากฏเป้าหมายเรื่องเวลาหรือราคา แถมไม่พูดเรื่องงบประมาณเลย ทั้งๆ ที่รัฐธรรมนูญบังคับไว้ ซึ่งกำลังจะเป็นปัญหาใหญ่ 
    “นายกฯ นั้นสอบตกไม่เป็นท่า อ่านผิดๆ ถูกๆ ข้ามไปข้ามมา บางครั้งอ่านรัวจนไม่เป็นภาษา ยามถูกซักถามหากไม่สบอารมณ์ก็แสดงความเกรี้ยวกราด ชี้หน้าชี้นิ้วทำตาเบิ่ง ตาเหล่ มองไม่น่าดู ต่อไปท่านต้องตั้งสติควบคุมอารมณ์ให้ได้นะครับ” นายปลอดประสพกล่าวและว่า "พล.อ.อนุพงษ์น่ายกย่อง  สุขุม นิ่ง มีสมาธิ เข้าใจคำถามและเตรียมการมาดีมาก มีครั้งหนึ่งพูดผิดไป ใช้ภาษาที่ฟังรุนแรงไป ก็ยกมือไหว้ขอโทษทันที ในฐานะรู้จักกันมาก่อน ขอให้รักษาตัวให้ดีนะครับ"
    นายปลอดประสพยังประเมินผู้อภิปรายอีกว่า "พรรคอนาคตใหม่มีดาวฤกษ์ที่กำลังจะเจิดจ้า 3 คน  นายปิยบุตร, นายพิธา และ น.ส.ศิริกัญญา ดีมากขอชื่นชม พยายามรักษามาตรฐานไว้ให้ได้ ส่วนพรรค พปชร.ที่กระดากเอ่ยนามคือ นายกรุง, นายสายัณห์, นายนิโรธ และนางกรณิศ พวกท่านประท้วงจนน่าเบื่อหน่ายมาก ทำตัวแบบพาลๆ และทำให้คนมองว่าเป็นบ่าวใช้ มีแต่ตกต่ำลง สำหรับคุณกรุงทำตัวเป็นนักเลงมาก ทั้งท่าทางและคำพูด ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรไม่ใช่โรงหนัง รวมถึง พล.อ.ธวัชชัยด้วย ท่านบ้าอะไรขึ้นมาจึงประกาศชื่นชอบสนับสนุนการปฏิวัติ ท่านเป็น ส.ว.ในระบอบประชาธิปไตยนะ ขอเตือนพูดอย่างนี้นอกสภาถูกฟ้องได้" 
    “นายกิตติศักดิ์นั้นถือว่าหยาบคายและมีมารยาทที่ต่ำมาก ผมไม่รู้ใช้มาตรฐานอะไรที่เลือกคุณมาเป็น ส.ว. และที่ผิดหวังมากคือท่านประธาน ส.ว. นายพรเพชร ไม่ทราบว่าท่านเคยชินกับ ส.ว. ซึ่งต้องเจียมเนื้อเจียมตัว เพราะเขาตั้งมา หรือท่านพยายามเทียบฟอร์มท่านประธานชวน ไปไม่ได้เลยครับ  ความเป็นกลางแบบเบี้ยวๆ พยายามแสดงอำนาจแต่ไม่มีใครฟัง ท่านไม่นิ่งเลย กรุณาปรับปรุงตัวเองครับ เพราะท่านขึ้นบัลลังก์ทีไรมีปัญหาทุกที”
นายปลอดประสพโพสต์อีกว่า พรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ เข้าใจว่าแค่มาร่วมประชุมตามกติกา และพยายามรักษาเนื้อรักษาตัวเท่านั้น ส่วนพรรคเพื่อไทยนั้นก็ต้องชื่นชมนายชวลิต, นายศรัณวุฒิ และนายสุทิน ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ดีเยี่ยม เสียดายจริงๆ รุ่นโตๆ ของพรรคโดนพิษรัฐธรรมนูญทุกคน มิเช่นนั้นก็จะสามารถทำประโยชน์ให้ชาติบ้านเมืองได้อีกมาก
    “ดูการอภิปรายครั้งนี้มองแล้วเห็นชัดเจนว่า ประเทศของเราเป็นครอบครัวใหญ่ที่แตกแยกอย่างมาก เป็นสถานการณ์แบบที่ประเทศญี่ปุ่นเคยเจอภายหลังแพ้สงคราม ประเทศมีการประท้วงเดินขบวน  ผู้คนแตกเป็นสองฝ่ายคือ อนุรักษนิยม และประชาธิปไตยแบบฝรั่ง บ้านเมืองเราคงต้องศึกษาหาทางเยียวยาปรองดองสร้างสามัคคีให้จงได้ เริ่มเลยครับแก้รัฐธรรมนูญและนิรโทษกรรม เพื่อมาร่วมกันใหม่” นายปลอดประสพกล่าว
    ขณะที่ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรค พปชร.โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า "นักการเมืองรุ่นใหม่ต้องตีเมีย ห้ามเมียมีเพื่อนเป็นเกย์หรือทอม ห้ามกลับบ้านเกินหกโมงเย็น ห้ามชมพระเอกหนังว่าเซ็กซี่จัง ชมพระเอกหนังต้องสำนึกผิดโดยการกราบ เอานโยบายรัฐบาลมาอภิปรายเหมือนเป็นนโยบายตัวเองแล้วตั้งชื่อใหม่กระดุม 5 เม็ด (กระดุมเม็ด 3 ใช่เลย ส่วนกระดุมเม็ด 1, 2, 4 และ 5 เพ้อเจ้อ) อภิปรายเหมือนคนไม่รู้เรื่องเกษตร อภิปรายโชว์บอกว่าไม่มีเอกสารสิทธิขอไฟไม่ได้ อภิปรายฝันเฟื่องบอกว่าไปเจอเกษตรกรขายข้าวเองได้ตันละเกือบ 30,000 บาท คนเนี่ยแหละถ้าอนาคตใหม่ชนะจะเป็น รมต.เกษตรฯ ดาวดวงใหม่ของรัฐสภา ชื่นชมได้เพียงข้ามคืน ดาวตกซะแล้ว"
    ส่วนนายจอม เพชรประดับ สื่อมวลชนอิสระซึ่งลี้ภัยอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้โพสต์เฟซบุ๊กเช่นกันว่า "คนคุณภาพแบบนี้ต่างหากเล่าที่ประเทศไทยต้องการ แต่คงได้แต่ฝัน และได้แต่หวังคนคนนี้ที่รู้จักตัวตนและความเป็นจริงของสังคมไทย จะได้เป็นนายกฯ หรืออย่างน้อย รมต.เกษตรฯ แต่มันจุกอกและเศร้าใจคือ ยังมีคนไทยจำนวนมากและพวกขี้ข้าเผด็จการ ไม่ต้องการคนคุณภาพแบบนี้เข้ามาทำงานช่วยแก้ปัญหาประเทศชาติ"
    ทั้งนี้ การโพสต์ของ น.ส.ปารีณาและนายจอมนั้น เป็นกรณีการอภิปรายของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์  ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ เมื่อวันที่ 26 ก.ค.
    นอกจากนั้น ร.อ.ทรงกลด ชื่นชูผล หรือผู้กองปูเค็ม โพสต์ทวิตเตอร์ตั้งคำถามถึง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย โดยระบุว่า "เหรียญกล้าหาญมาจากการสละชีวิตของเพื่อนร่วมรบ ด้วยคราบน้ำตาของครอบครัวผู้สูญเสีย การโอ้อวดโดยไม่เกรงใจสหายร่วมรบที่พลีชีพ มันน่าละอายว่ามั้ย พี่เสรีพิศุทธ์?"
ยี้แผนปรองดองปิยบุตร
    ส่วนกรณีนายปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรค อนค.ได้อภิปรายเรียกร้อง พล.อ.ประยุทธ์ระหว่างการแถลงนโยบายรัฐบาลในประเด็นสร้างความปรองดอง โดยยกนโยบาย  66/2523 ว่าเป็นนโยบายที่ชาญฉลาดของรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ จนสามารถนำไปสู่ความปรองดองได้สำเร็จ ฉะนั้นจึงขอฝากนายกฯ ให้พานักโทษทางการเมืองกลับคืนสู่ประเทศด้วยนโยบายนี้อีกครั้ง 
    ล่าสุดมีความเคลื่อนไหวของกลุ่มที่ถูกอ้างถึง โดยไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอดังกล่าว โดย น.ส.จรรยา  ยิ้มประเสริฐ ผู้ลี้ภัยที่อาศัยอยู่ในประเทศฟินแลนด์ โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า "ในการพูดถึงคนลี้ภัย คนในเมืองไทยส่วนใหญ่มักเลือกพูดในเรื่องพาผู้ลี้ภัยการเมืองกลับบ้าน โดยไม่พูดที่ต้นตอปัญหาของการลี้ภัย  คือการหลงประเด็นใหญ่ในหลายด้าน แน่นอนชีวิตของผู้เลือกสู้อยู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะพวกที่ไม่หยุดเคลื่อนไหว และไม่ได้เลือกอยู่ต่างประเทศเพื่อใช้ชีวิตโดยตั้งหลักปักฐานที่ต่างแดน มันลำบากกันมากและก็ไม่อาจหลีกพ้นจากการข่มขู่คุกคาม และก็ต้องระวังตัวทุกฝีก้าว"
    "ขอบคุณที่พยายามจะหาประเด็นพูดถึงคนลี้ภัยการเมืองกันอยู่บ้าง แม้จะกระทำกันอย่างกระอักกระอ่วนก็ตาม แต่โปรดยอมรับความจริงหรือพูดความจริงกันบ้าง" น.ส.จรรยาระบุ
    ขณะที่นายนิธิวัต วรรณศิริ หรือจอม ไฟเย็น ที่ลี้ภัยอยู่ในนครหลวงเวียงจันทน์ โพสต์เช่นกันว่า "จำไว้ปิยบุตร ผู้ลี้ภัยคือผู้ลี้ภัย ไม่ใช่นักโทษการเมือง คุณไม่มีหน้าที่พิพากษา เปลี่ยนเราเป็นนักโทษ"
    ด้านนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อวินาทียึดอำนาจ 22 พ.ค.2557 ว่ามีหลายคนที่อยู่ในเหตุการณ์ยึดอำนาจ 22 พ.ค.2557 เอาเหตุการณ์ขณะ  พล.อ.ประยุทธ์ยึดอำนาจมาพูดกันอีกแล้ว ความจริงเหตุการณ์ตอนยึดอำนาจได้เขียนค่อนข้างละเอียดแล้ว เพราะอยู่ในเหตุการณ์ และในวันนั้นก็ถูกควบคุมตัวด้วย
    “หลายคนพูดว่า พล.อ.ประยุทธ์พูดขึ้นว่า เตรียมการยึดอำนาจมา 3 ปีแล้ว ผมว่าโกหกนะครับ ผมอยู่ในเหตุการณ์ด้วย พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้พูดประโยคนี้ สิ่งไหนที่ท่านพูดก็ต้องบอกว่าท่านพูด สิ่งไหนท่านไม่ได้พูดก็ต้องบอกว่าท่านไม่ได้พูด จะไปโกหกกันทำไม และผมก็ไม่มีเหตุต้องไปปกป้องท่าน ปกป้องท่านทำไม ท่านจับผมไปขังด้วย ผมยังโกรธอยู่เลย” นายนิพิฏฐ์ระบุ
    ทั้งนี้ การโพสต์ของนายนิพิฏฐ์ สืบเนื่องจากนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชาติ ได้อภิปรายเมื่อวันที่ 25 ก.ค.พาดพิง พล.อ.ประยุทธ์ทำนองว่าเตรียมการยึดอำนาจมา 3 ปีแล้ว ซึ่งต่อมาในวันที่ 26 ก.ค. นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค พท.ก็โพสต์เฟซบุ๊กย้ำว่า "ยืนยันคำถาม อจ.วันนอร์ เรื่องตู่เตรียมการรัฐประหารมา 3 ปีกว่าก่อนทำการยึดอำนาจจริงในวันที่ 22 พ.ค.57 เพราะอยู่ในหอประชุม ทบ.วันนั้นด้วย". 



ฎีกานัดตัดสิน5นปช.บุกบ้านสี่เสาฯ



คำพิพากษาแกนนำ นปช. 5 คนบุกบ้านสี่เสาเทเวศร์ปี 50 วันพุธนี้  หลังศาลอุทธรณ์สั่งจำคุกคนละ 2 ปี 8 เดือน "เหวง" พร้อมฟังฎีกาเตรียมใจเข้าคุก โวมีประสบการณ์แล้วกว่า 9 เดือน เชื่อทุกคนมาฟังคำพิพากษาครบ

    เมื่อวันจันทร์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันที่ 31 กรกฎาคมนี้ ในช่วงเช้า ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีชุมนุมล้อมบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เมื่อปี 2550 หมายเลขดำ อ.3531/2552 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายนพรุจ หรือนพรุฒ วรชิตวุฒิกุล แกนนำกลุ่มพิราบขาว 2006, นายวีระศักดิ์ เหมะธุลิน, นายวันชัย นาพุทธา, นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ อดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.), นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช., นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. และ นพ.เหวง โตจิราการ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย  และแกนนำ นปช. เป็นจำเลยที่ 1-7 
    ในข้อหามั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง โดยมีอาวุธ โดยเป็นหัวหน้า หรือผู้มีหน้าที่สั่งการ, ร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานโดยใช้กำลังขู่เข็ญ และเมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้ผู้ที่มั่วสุมเลิกไปแล้วไม่เลิก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสอง, 215, 216, 297, 298 ประกอบมาตรา 33, 83 และ 91 
    กรณีเมื่อวันที่ 22 ก.ค.50 แกนนำและแนวร่วม นปช.นำขบวนผู้ชุมนุมหลายพันคนจากเวทีปราศรัยเคลื่อนที่สนามหลวงไปยังบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ของ พล.อ.เปรม เพื่อเรียกร้องกดดันให้ลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งระหว่างเหตุการณ์ดังกล่าวได้มีการต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานโดยใช้กำลังขู่เข็ญ ซึ่งนายนพรุจ จำเลยที่ 1 ได้ใช้ไม้เสาธงตีประทุษร้ายร่างกาย ร.ต.อ.ทวีศักดิ์ นามจันทร์เจียม เป็นเหตุให้กระดูกข้อมือแตกเป็นอันตรายสาหัส
    ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 16 ก.ย.58 ให้จำคุกนายนพรุจ จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 2 ปี 8 เดือน  ฐานทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติหน้าที่ฯ ส่วนนายวีระกานต์, นายณัฐวุฒิ, นายวิภูแถลง และ นพ.เหวง จำเลยที่ 4-7 คนละ 4 ปี 4 เดือน ฐานมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้ายฯ และเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานฯ และให้ยกฟ้องนายวีระศักดิ์ และนายวันชัย  จำเลยที่ 2-3 พร้อมให้ริบของกลางทั้งหมด
    ต่อมาจำเลยที่ 1 ยื่นอุทธรณ์ต่อสู้ว่า จำเลยไม่อยู่ในวันที่เกิดเหตุ ส่วนจำเลยที่ 4-7 ยื่นอุทธรณ์ต่อสู้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดเพียงกรรมเดียว และเป็นการกระทำเพื่อปกป้องการถูกคุกคาม ซึ่งเป็นข้อยกเว้นในการลงโทษ ส่วนนายวีระศักดิ์และนายวันชัย จำเลยที่ 2-3 ซึ่งศาลยกฟ้องนั้น อัยการโจทก์ไม่ได้ยื่นอุทธรณ์
    ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษาเมื่อวันที่ 9 ม.ค.60 แก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานฯ ตามมาตรา 138 วรรคสอง ให้จำคุกคนละ 1 ปี และมีความผิดฐานมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ก่อให้เกิดความวุ่นวายโดยเป็นหัวหน้าสั่งการ ซึ่งเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแล้วไม่เลิก  ตามมาตรา 215 วรรคหนึ่งและวรรคสาม, มาตรา 216 ประกอบมาตรา 83 ซึ่งเป็นการกระทำกรรมเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 215 วรรคสาม 1 กระทง ให้จำคุกคนละ 3 ปี รวมจำคุกคนละ 4 ปี แต่คำให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีอยู่บ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 4-7 คนละ 2 ปี 8 เดือน นอกเหนือจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ซึ่งในส่วนของนายนพรุจ จำเลยที่ 1 คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน
    หลังศาลอุทธรณ์พิพากษา ศาลอนุญาตให้ประกันตัวจำเลยทั้งห้า โดยตีราคาประกันคนละ 500,000  บาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขเดิมคือ ห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักรเว้นแต่ได้รับอนุญาต
     นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีศาลนัดฟังคำพิพากษาฎีกาฯ ว่า ตนได้รับหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีดังกล่าวแล้ว ซึ่งศาลนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 31 ก.ค.นี้ เวลา  09.00 น. ตนมีความพร้อมที่จะเดินทางไปฟังคำพิพากษา ไม่ว่าจะเป็นคำพิพากษาของศาลชั้นใดๆ เราก็ให้ความเคารพและพร้อมที่จะปฏิบัติตามมาโดยตลอด ส่วนที่ผ่านมาศาลชั้นต้นเเละชั้นอุทธรณ์จะพิพากษาจำคุกเราโดยไม่รอลงอาญานั้น ต่อให้เราต้องเข้าคุกตามคำพิพากษาเราก็พร้อม ไม่รู้สึกหนักใจอะไร ในส่วนของจำเลยคนอื่นไม่ว่าจะเป็นนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช.จะเดินทางไปฟังคำพิพากษาด้วยหรือไม่นั้น ตนเชื่อว่าทุกคนมีหน้าที่จะต้องเดินทางไปฟังคำพิพากษา จึงเชื่อว่าฝ่ายจำเลยจะเดินทางไปกันครบ
    "เราเคารพ เตรียมตัวเตรียมใจเคารพคำพิพากษาอยู่แล้ว ออกมาอย่างไรอย่างนั้น ถ้าจำคุกก็เตรียมเข้าคุก ไม่มีปัญหาอะไร เราเคยถูกจำคุกมาก่อนแล้ว หลังเหตุการณ์พฤษภา ปี 2553 สลายการชุมนุมแล้วถูกคุมไปค่ายนเรศวร จ.ประจวบคีรีขันธ์ ฝากขังเรือนจำพิเศษชั่วคราวอยู่ 9 เดือนกว่า" นพ.เหวง กล่าว. 

รัฐบาลบิ๊กตู่2เริ่มนับ1อย่างเป็นทางการ ตั้งครม.เศรษฐกิจ แบ่งงานรองนายกฯ-รัฐมนตรี

30 ก.ค.62- ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า การประชุมครม.ได้เลื่อนเวลาการประชุมเป็น 09.30 น. จากปกติเวลา 09.00 น. เนื่องจากช่วงเช้าเวลา 07.00 น. พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม มีกำหนดการเข้ากระทรวงกลาโหม เพื่อเข้ารับตำแหน่งรมว.กลาโหมอย่างเป็นทางการ มีพิธีต้อนรับ ไหว้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธ์ประจำกระทรวงกลาโหมและรับฟังบรรยายสรุปภารกิจของกระทรวงกลาโหม ณ ห้องภาณุรังษี ศาลาว่าการกลาโหมโดยมีผู้บัญชาการเหล่าทัพเข้าร่วม 

ขณะที่วาระครม.ที่น่าสนใจ อาทิ จะมีการเสนอ ครม.พิจารณาแต่งตั้งครม. เศรษฐกิจ เพื่อขับเคลื่อนการบริหารประสานงานกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเศรษฐกิจให้เป็นเนื้อเดียวกัน โดยมีพล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธาน มีรองนายกรัฐมนตรีทั้งหมด รวมถึงรัฐมนตรีกระทรวงที่เกี่ยวข้องเศรษฐกิจร่วมเป็นกรรมการ ประกอบด้วย กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และกระทรวงพลังงาน รวมถึงตัวแทนหน่วยงานด้านเศรษฐกิจร่วมเป็นกรรมการใน ครม.เศรษฐกิจด้วย 

โดยรองนายกฯแต่ละคนจะรับผิดชอบในส่วนของกระทรวงด้านเศรษฐกิจที่แต่ละพรรคดูแล อาทิ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์รองนายกฯ กำกับดูแลกระทรวงส่วนของพรรคพลังประชารัฐ ได้แก่ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม  กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม  

พรรคประชาธิปัตย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์  รองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ จะกำกับดูแลกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกระทรวงคมนาคม โดยพรรคภูมิใจไทย เบื้องต้นครม.เศรษฐกิจ จะประชุมทุกวันจันทร์ เพื่อกลั่นกรองและพิจารณานโยบายที่เกี่ยวกับกระทรวงเศรษฐกิจ ก่อนที่จะเสนอให้ที่ประชุม ครม.รับทราบในวันอังคารต่อไป 

นอกจากนี้ ที่ประชุมครม. จะมีการพิจารณาแบ่งงานรองนายกรัฐมนตรี และรมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีด้วย. 

ย้อนตำนานนายกฯนั่งควบอาถรรพ์เก้าอี้รมว.กลาโหม


        ด้วยข้อจำกัดในการจัดรายชื่อคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลผสมหลายพรรคการเมือง ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องเขย่าโผอยู่หลายรอบ แต่ตำแหน่งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพรรคร่วมรัฐบาลและต้องใช้ข้อมูลหลายๆ ด้านมาประกอบการตัดสินใจเลือกบุคคลที่มาดำรงตำแหน่ง คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

                ด้วยหลายเหตุผลจึงทำให้ชื่อของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่เคยถูกมองว่าจะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมตลอดกาล ไม่ได้กลับมาเป็น รมว.กลาโหมอีกสมัยในโผ ครม.ประยุทธ์ 2/1  

                หากดูจากภายนอก สุขภาพร่างกายของ พล.อ.ประวิตร ซึ่งอายุ 73 ย่างเข้า 74 ปี ยังคงมีเรี่ยวแรงทำงาน ปฏิบัติภารกิจในตำแหน่งหน้าที่ได้ตามปกติ แต่ก็ไม่คล่องตัว ทำให้ต้องมีนายทหารติดตามประกบอยู่ใกล้ๆ ป้องกันไม่ให้สะดุดหกล้ม กลายเป็นเหตุผลหลักที่อธิบายต่อสังคมว่า “บิ๊กป้อม” ไม่ได้ไปต่อ

                ส่วนเหตุผลอื่นนั้น เป็นเรื่องของโชคชะตาฟ้าลิขิต ที่มีเพียงพี่น้อง 2 ป. ที่รู้ดีว่าจะรักษาสมดุลและคุมสภาพการเชื่อมต่อระหว่างกระทรวงกลาโหม ที่เป็นหน่วยงานระดับนโยบาย กับกองทัพซึ่งเป็นหน่วยปฏิบัติแต่มีพลังอำนาจมหาศาลที่เกี่ยวพันกับสถาบันหลักอย่างไร 

                ทั้งนี้ ดราฟต์รายชื่อ ครม.โผสุดท้ายก่อนที่จะมีการนำรายชื่อทูลเกล้าฯ ถวายชื่อของ พล.อ.ประยุทธ์ จึงต้องควบตำแหน่ง รมว.กลาโหม เพราะนายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้ที่เข้าถึงและเหมาะสมกับสภาพการณ์ของกองทัพที่เปลี่ยนแปลงไปสามารถประสานงานพิเศษเพื่อให้งานเดินได้อย่างไม่สะดุด 

                และมี “บิ๊กช้าง” พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล เป็น รมช.กลาโหม ซึ่งรู้ข้อมูลอย่างรอบด้านที่เกี่ยวข้องกับงานของกระทรวงกลาโหม ในช่วงรัฐบาลของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) บริหารประเทศ พร้อมทั้งความเหมาะสมจากเส้นทางรับราชการที่โตมาทางสายยุทธการ เคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน (สนผ.กห.) ซึ่งเปรียบเหมือนเสนาธิการทหารบกของกลาโหม มีความถ่องแท้ในการงานๆ เกือบทุกสายงาน สามารถตอบคำถามและชี้แจงข้อมูลได้เมื่อมีการพาดพิงและวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายการเมือง

                ในแง่ความเหมาะสมกับสถานการณ์ ก็เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ คงนั่งควบตำแหน่ง รมว.กลาโหม ไปจนสิ้นสุดวาระของรัฐบาล แต่ในแง่ของ “ความเชื่อ” ก็มองกันว่า เมื่อนายกรัฐมนตรีนั่งควบตำแหน่ง รมว.กลาโหม รวมไปถึงเคยนั่งทั้งสองเก้าอี้ในต่างวาระ ก็มักไปไม่รอด หรือถ้าไปรอดก็ จบไม่สวย

                เรื่องแบบนี้ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ พลิกประวัติศาสตร์นับแต่จอมพล ป. พิบูลสงคราม, จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์, จอมพลถนอม กิตติขจร, หม่อมราชวงศ์ เสนีย์ ปราโมช, พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เป็นนายกรัฐมนตรี และต้องนั่งควบรมว.กลาโหมด้วย มักลงจากอำนาจแบบไม่ปกติ

                หรือแม้กระทั่ง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ก็เกือบไม่รอด เจอกับเหตุการณ์กบฏถึง 2 ครั้ง เลยไปถึง ลอบสังหาร ตอนหลังจึงปล่อยเก้าอี้ รมว.กลาโหมให้ผู้อื่น โดยให้ พล.อ.อ.พะเนียง กานตรัตน์ มาดำรงตำแหน่งแทน  

หลังจากนั้นเป็นยุคของ “น้าชาติ" พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัน ตำนานแห่งบ้านราชครู ก็เลือกที่นั่งคุมกระทรวงกลาโหมเอง มี “บิ๊กซัน” พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก ดำรงตำแหน่ง รมช.กลาโหม แต่ในที่สุด “น้าชาติ” ก็ถูกรัฐประหารด้วยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ที่มี พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ เป็นประธาน รสช.

พอมาช่วงรัฐบาลของ พล.อ.สุจินดา คราประยูร เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ใช้สูตรนั่งควบกระทรวงกลาโหมอีกเช่นกัน แต่ในที่สุดก็ต้องปิดฉากด้วยการนองเลือด กลายเป็น ทรราช ลบภาพลักษณ์ของนายพลที่เคยเป็นดาวจรัสแสงในยุคของ จปร.5 เรืองอำนาจ 

หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ อำนาจของกองทัพเริ่มอ่อนตัวลง พรรคการเมืองเข้ามามีบทบาท แม้กระทั่ง “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ผู้ที่มีบทบาทสูงยิ่งเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก และถูกเรียกว่า ขงเบ้งแห่งกองทัพ ก็ต้องเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีโดยผ่านขั้นตอนการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย

ทว่าเมื่อขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีก็ต้องเจอ วิบากกรรม หลายประการ ทำให้ภาพลักษณ์ความเป็น “ขงเบ้ง” กลับตาลปัตร กลายเป็น “จิ๋วหวานเจี๊ยบ”  หรือ “จิ๋วอัลไซเมอร์” บริหารราชการแผ่นดินในช่วงวิกฤตการณ์ทางการเงินเมื่อปี พ.ศ.2540 แบบล้มเหลว มีการประท้วงโดยประชาชน ส่งผลทำให้ “บิ๊กจิ๋ว” ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2540

ในยุคของ “ชวน หลีกภัย” เป็นนายกรัฐมนตรี สมัยที่ 2 ตัดสินใจควบเก้าอี้ รมว.กลาโหม แม้จะอยู่ครบเทอม แต่ในที่สุดพรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องแพ้การเลือกตั้งครั้งใหญ่ 

จากนั้นก้าวเข้าสู่ช่วงที่ “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีการจัดสมการอำนาจกองทัพใหม่ โดยให้ทหารเกษียณเข้ามาเป็น รมว.กลาโหม เช่น พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา, พล.อ.เชษฐา  ฐานะจาโร  พล.อ.สัมพันธ์ บุญญานันต์ เพื่อให้เข้ามาดูแลจัดการกันเอง ลดความกดดันที่จะมีต่อรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง

แต่เมื่อถูกรัฐประหารโดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ที่มี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นประธานแล้ว นายกรัฐมนตรีถัดจากนั้น ไม่ว่าจะเป็น นายสมัคร สุนทรเวช, นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ กลับไปใช้สูตรกระชับอำนาจด้วยการนั่งเป็น รมว.กลาโหมเอง แต่ปรากฏว่า นายกฯ พลเรือนทั้งสองคนตกเก้าอี้นายกฯ แบบปัจจุบันทันด่วน   ขณะที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ถูก ลับ ลวง พลาง ให้เข้าไปคุมทหารต่อจากนั้น ก็ถูกรัฐประหาร โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี 

แม้จะดูเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ที่ซ้ำรอยกันหลายครั้ง ก็ยากจะปฏิเสธว่าเก้าอี้ รมว.กลาโหม เป็น อาถรรพ์ ของผู้นำประเทศในอดีตมาหลายยุค เพียงแต่จะเป็นอาถรรพ์ในรูปแบบไหนและจังหวะเวลาใดเท่านั้นเอง

คงต้องรอดูต่อไปว่า ในยุคของ “บิ๊กตู่” นายกรัฐมนตรี จะล้างอาถรรพ์การควบเก้าอี้ "สนามไชย 1” ได้หรือไม่ หรือต้องปรับทัพ ขยับคนมานั่งแทนในช่วงที่คุมสถานการณ์ไม่อยู่. 

แฝงแค้นวังวนเก่า

“ทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ชื่อนี้แจ้งเกิดได้อย่างโดดเด่น

ในฐานะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ ที่อภิปรายได้อย่างสร้างสรรค์ที่สุดในเวทีแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา กับข้อมูลที่ทำงานการบ้านมาเป็นอย่างดี ตามทฤษฎี “กระดุม 5 เม็ด” แก้ปมปัญหาเกษตรกรไทย ประกอบด้วย ที่ดิน หนี้สิน สารเคมี/ประกันราคา นวัตกรรม การท่องเที่ยวเชิงเกษตร

ได้รับคำชมเชยจากคนดูทางบ้าน ซูฮกกันสนั่นโลกโซเชียลมีเดีย แม้แต่กองเชียร์

“นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยังยกนิ้วให้กับ “หนุ่มทิม” ผู้มีศักดิ์เป็นหลานชายแท้ๆของ “ป๋าดุง” นายผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ อดีต “วอลเปเปอร์” เลขานุการส่วนตัวของ “นายใหญ่” อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร

เป็นดาวสภาฯที่เจิดจรัสตั้งแต่แมตช์ประเดิมเลย

ที่น่าสนใจ จากผลโพลสำรวจดาวสภาฯคนรุ่นใหม่ขวัญใจประชาชนในการอภิปรายแถลงนโยบายรัฐบาล อันดับที่ 1 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ พรรคอนาคตใหม่ ร้อยละ 16.3 อันดับสอง นายปิยบุตร แสงกนกกุล พรรคอนาคตใหม่ ร้อยละ 13.1 อันดับสาม น.ส.พรรณิการ์ วานิช พรรคอนาคตใหม่ ร้อยละ 11.3

3 อันดับแรก ล้วนแต่นักการเมืองดาวรุ่ง ทีมงานพรรคอนาคตใหม่

ถือว่า “ตบหน้า” อย่างแรง กับทีมรุ่นใหญ่เพื่อไทย หัวแถวฝ่ายค้าน

แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกแต่อย่างใด ในเมื่อยังหนีไม่พ้นวังวนเก่า ตามรูปการณ์แบบที่คนดูทางบ้านก็เห็นๆกัน อารมณ์ของทีม “นายใหญ่” ที่ “ง้างหมัด” มาตั้งแต่ดูไบ

ตั้งท่าล่อเป้า “บิ๊กตู่” ถล่มปมคุณสมบัติส่วนตัวมากกว่านโยบาย

แถมรายการนี้มีการผ่องถ่ายงานให้มวยรุ่นเดอะ แต่หน้าใหม่ในเวทีการเมืองอย่าง “ตู่ใหญ่” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย รับบท “ดาวยั่ว” โทสะ

เปิดสงครามวิวาทะ จน “บิ๊กตู่” ตบะแตก ประกาศตัดพี่ตัดน้อง

แต่นั่นก็แค่ดราม่าในหมู่ศิษย์เก่าเตรียมทหาร อาการสะท้อนตัวตนของ “2 ตู่” ไม่มีคุณค่าสาระต่อประชาชนในภาพรวมของการแถลงนโยบายรัฐบาล

ที่จับสัญญาณได้ชัดๆ “นายใหญ่” สั่ง “สางแค้น” อดีตคนกันเองที่แปรพักตร์

เป้าหลักอยู่ที่ “อุลตร้าอุตตม” นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง ที่มีความพยายามลากเข้าเหลี่ยม “เอี่ยว” ปมทุจริตปล่อยกู้แบงก์กรุงไทยให้กลุ่มกฤษฎามหานคร ทั้งๆที่ผลในทางกฎหมายจบแล้วที่ศาลฎีกา

แต่ทั้งนี้ก็เพื่อคดีฟอกเงินที่กำลังลุ้นพลิกคว่ำพลิกหงายของ “เสี่ยโอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร

และยังหวังผลทางการเมือง ตีกระทบชิ่งลูกพี่ใหญ่ของนายอุตตมคือ “จอมยุทธ์กวง” นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ตามสคริปต์ที่ทีมงานแบ็กอัปของ “นายใหญ่” ป้อนให้ ส.ส.เพื่อไทย ถล่มปมล้มเหลวการแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง เอื้อกลุ่มทุนใหญ่ ตีปี๊บวาทกรรม “รวยกระจุกจนกระจาย”

ล่อเป้าอดีตลูกน้องเก่า แถมทำลายห้องเครื่องทีม “ลุงตู่”

แต่มวยทันเกมกัน “สมคิด” ก็รู้เหลี่ยมดี ไม่ลดชั้นมั่วกับมวยวัด แต่เน้นเคลียร์ชัดๆ ซึ่งผลก็ออกมาแบบที่นายอัษฎางค์ ปาณิกบุตร อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ระบุ รัฐมนตรีที่พูดได้เนื้อหามากสุดคือนายสมคิด เพราะเป็นการชี้แจงนโยบายเศรษฐกิจในปัจจุบัน

เป็นคนเดียวที่พูดใกล้ความจริงมากที่สุด

ขณะที่ขุนคลังอย่างนายอุตตมก็ตั้งรับรออยู่แล้ว ได้จังหวะเบิ้ลกลับนิ่มๆ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเบื้องหลังคดีทุจริตปล่อยกู้แบงก์กรุงไทย ไม่ใช่เรื่องของการประชุมบอร์ดบริหารเท่านั้น มีมากกว่านั้น

จากการตรวจสอบของกระบวนการยุติธรรม ยังมีอีก 2 คดีที่เกี่ยวเนื่อง แต่ไม่เกี่ยวกับตน

คดีแรก มีผู้ถูกกล่าวหาคือจำเลยที่ยังไม่ยอมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ยังหลบหนีอยู่ต่างประเทศ และคดีที่สอง เกี่ยวกับการที่องค์กรตรวจสอบอิสระชี้ว่า มีผู้ได้รับเงินทอนจากการปล่อยกู้ครั้งนี้ มีผู้เกี่ยวข้องภายนอกแบงก์ที่ได้รับประโยชน์ที่ไม่สมควรได้รับ คดีนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ

และ “หลุมโจน” ดักปลาก็ได้ผลตามคาด เพราะล่อให้ “เสี่ยโอ๊ค” ต้องขอใช้สิทธิ “พาดพิง” นอกสภา “เล่นใหญ่” ท้านายอุตตมสาบานวัดพระแก้ว ใครโกงแบงก์กรุงไทยขอให้ “พังทั้งครอบครัว”

เดิมพันหลังชนฝา ฝั่งดูไบตีปี๊บกระแสบี้กับอีกฝ่ายที่ยึดหลักกฎหมาย

เกมทุบ “สมคิด-อุตตม” เจอแรงสะท้อนกลับ “นายใหญ่-นายน้อย” จุกเสียดตามๆกัน

แต่ที่ไม่ทันตั้งหลักรับมือก็คิวของ “เนติบริกร” นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ทนายรัฐบาล “ลุงตู่”

อยู่แบบ “เบาตัว” มานาน ล่าสุดถูกขึ้น “บัญชีดำ” แทบไม่รู้เนื้อรู้ตัว

โดนเพื่อไทยจัดหนักในสภาฯ ตามปรากฏการณ์ที่ล้อกับฉากโฟนอินที่ “นายใหญ่” คุยกับกองเชียร์ในสหรัฐอเมริกา และมีการพูดถึงคิวที่นายสุทิน คลังแสง ส.ส.พรรคเพื่อไทย ต่อสายอวยพรวันเกิด “ทักษิณ” พร้อมประกาศจะอภิปรายเชือดนายวิษณุ เป็นของขวัญวันเกิด “นายใหญ่”

ล็อกเป้าถล่มมือกฎหมาย กระแทกชิ่งซือแป๋ “มีชัย ฤชุพันธุ์”

“แค้นฝังหุ่น” พวก “ปลุกเสก” รัฐธรรมนูญ “ยันต์กันทักษิณ”.

ทีมข่าวการเมือง

ก้างขวางคอ

หนึ่งในนโยบายหลัก 12 ด้านของรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภาเป็นสัญญาประชาคม

คือการเร่งทวงคืนผืนป่า ปกป้องรักษาป่าไม้สมบัติชาติ และหยุดยั้งการบุกรุกครอบครองป่าไม้ทรัพยากรของชาติอย่างเฉียบขาดจริงจัง

รัฐบาลจะเร่งลดความเหลื่อมล้ำการถือครองที่ดิน และป้องกันการเปลี่ยนมือที่ดินจัดสรรของรัฐ ไม่ให้ตกไปอยู่ในครอบครองของกลุ่มทุนผู้ไม่ใช่เกษตรกรผู้มีฐานะยากจน ฯลฯ

ล่าสุด นโยบายทวงคืนผืนป่า และป้องกันกลุ่มทุนบุกรุกป่า กลายเป็นเรื่องร้อนฉ่าย้อนกลับมาลวกใส่รัฐบาลเสียเอง

วันนี้ พี่น้องประชาชนที่รักปกป้องผืนป่าไม้มรดกชาติ กำลังรอวัดใจ นายกฯลุงตู่ ปฏิบัติตามนโยบายที่ประกาศไว้ให้เห็นผลเป็นรูปธรรม

เพื่อพิสูจน์ว่านโยบายทวงคืนผืนป่า และปราบกลุ่มทุนบุกรุกป่าของรัฐบาล ไม่ใช่นโยบาย “เหลวไหล เลื่อนลอย หลอกลวง” อย่างที่ฝ่ายค้านโจมตี

โดยเฉพาะปัญหารีสอร์ตหรูของกลุ่มทุนตระกูลดังที่บุกรุกป่าอุทยานแห่งชาติทับลาน อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา ที่พรรคพลังประชารัฐใช้เป็นสถานที่จัดประชุมสัมมนา ส.ส. และจัดงานเลี้ยงฉลองชัยชนะกันอึกทึกครึกโครม

โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง เดินทางไปเปิดตัว เป็นสมาชิกพรรค และเป็นประธานประชุมสัมมนา ส.ส.พรรคด้วยตัวเอง

“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่าการที่พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็นพรรคแกนหลักรัฐบาล เลือกใช้รีสอร์ตหรูซึ่งมีคดีบุกรุกพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลานเป็นชนักติดตัว เป็นสถานที่จัดสัมมนาและเลี้ยงสังสรรค์ ส.ส.พรรคอย่างเอิกเกริกมโหฬาร

นอกจากไม่ถูกกาละเทศะ ไม่ถูกหลักนิติรัฐนิติธรรม

ยังอาจเข้าข่ายความผิด พ.ร.บ.พรรคการเมือง และฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมนักการเมืองที่บังคับไว้อีกหลายประเด็น

ยิ่งกว่านั้น การจงใจเลือกรีสอร์ตหรูแห่งนี้เป็นสถานที่ประชุม ส.ส.พรรครัฐบาล

ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่า สถานที่แห่งนี้ ถูกกรมอุทยานแห่งชาติจับกุมดำเนินคดีข้อหาบุกรุกอุทยานแห่งชาติทับลานมาแล้วถึง 2 ครั้ง 2 ครา

น่าจะมีเป้าหมายแอบแฝง เพื่อโชว์ “บัตรแข็ง” ว่ารีสอร์ตหรูแห่งนี้เป็น “เด็กเส้น” รัฐบาล

แถมผู้บริหารรีสอร์ตหรูแห่งนี้ ยังมีชื่อเป็นสปอนเซอร์ ซื้อโต๊ะจีนระดมทุนพรรคพลังประชารัฐอีกก้อนโต

และน่าจะหวังอาศัยบารมี “ลุงป้อม” เป็นยันต์กันผี ไม่ให้เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเข้าไปวอแว

แต่คาดไม่ถึงว่าเรื่องจะลุกลามบานปลายใหญ่โต

เพราะ นายดำรงค์ พิเดช หัวหน้าพรรครักษ์ผืนป่า ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลเป็นอดีตอธิบดีกรมอุทยานฯ และเป็นผู้จับกุมรีสอร์ตแห่งนี้เมื่อ 7 ปีที่ผ่านมา

ฉะนั้น เพื่อรักษาศักดิ์ศรีมือปราบนายทุนรุกป่าตัวจริงเสียงจริง

ส.ส.ดำรงค์ หัวหน้าพรรครักษ์ผืนป่า จึงต้องออกมาดับเครื่องชน!!

ผลที่ตามมาทันที คือรีสอร์ตหรูแห่งนี้ และรีสอร์ตอีก 10 ที่บุกรุกอุทานแห่งชาติทับลาน จะต้องถูกรื้อถอน ตามมาตรา 22 ของ พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติภายใน 3 เดือน หรือ 90 วันจากนี้ไป

ไม่มีทางเลือกอย่างอื่น...ต้องรื้อลูกเดียว

“แม่ลูกจันทร์” ย้ำว่าเรื่องบานไม่หุบ ขนาดนี้ คงไม่มีใครในรัฐบาลกล้าเสี่ยงเอาตัวเองเป็นหนังหน้าไฟ เพื่อช่วยเหลือกลุ่มนายทุนบุกรุกอุทยานทับลานอย่างแน่นอน

สรุปว่าถ้า ส.ส.ดำรงค์ พิเดช หัวหน้าพรรครักษ์ผืนป่า ไม่เป็นก้างขวางคอ

ป่านนี้ก็ปิดจ๊อบเรียบร้อยบริดวกโยธิน.

“แม่ลูกจันทร์”


ทวงคืนประชาธิปไตย : ท้าชนอำนาจกองทัพ-สกัดทุนใหญ่ผูกขาด

เผชิญคลื่นมรสุมการเมืองตั้งแต่ก่อตั้งพรรค ถูกตั้งข้อกล่าวหาด้วยฐานความผิดรุนแรง

แต่เจ้าตัวไม่หวั่น ขอต่อสู้เต็มที่ไม่มีถอย วันนี้มีบทบาทโดดเด่น ในสภาผู้แทนราษฎร นิกเนมว่า “ช่อ” น.ส.พรรณิการ์ วานิช ส.ส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคอนาคตใหม่ บอกถึงการเมืองหลังรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยฉายภาพให้เห็นความผิดหวังต่อนโยบาย ไม่มีรูปธรรมใดๆ ให้เห็น

เรายืนยันต้องทำหน้าที่ต่อไป แม้ในรัฐบาลมีรัฐมนตรีหลายคนและนายกรัฐมนตรีเป็นคนเดิม แต่การบริหารประเทศต้องไม่เหมือนเดิม

เพราะขณะนี้มีสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชนคอยตรวจสอบและถ่วงดุล

รัฐบาลไม่สามารถใช้อำนาจหรือการบริหารแบบสบายๆเหมือน 5 ปีที่ผ่านมาได้

ใครมาบอกว่าประเทศต้องเดินไปข้างหน้า ขอให้โอกาสรัฐบาลทำงาน อย่าอภิปรายอะไรมาก

เราไม่ให้โอกาสนายกฯอีกต่อไป เพราะช่วงชิงอำนาจจากประชาชนไป 5 ปีและประเทศเสียหาย 5 ปี

หลังจากนี้ขอตรวจสอบเข้มข้นทุกวินาที

หลังเลือกตั้งเสร็จ 7 พรรคฝ่ายค้านจับมือกันแน่น แบ่งหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลอย่างไร น.ส.พรรณิการ์ บอกว่า เราทำงานเป็นเอกเทศ ส่วนที่ร่วมมือก็คือการทำงานในสภาฯ เพื่อให้การซักฟอกรัฐบาล ทั้งผ่านการตั้งกระทู้ถาม การเสนอญัตติต่างๆให้ราบรื่นและไม่สิ้นเปลืองเวลาของสภาฯ

แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทุกพรรคต้องร่วมมือ ไม่ใช่เฉพาะแค่ 7 พรรคฝ่ายค้าน พรรคในรัฐบาล ซึ่งเคยรณรงค์หาเสียงต้องการให้แก้จะเป็นจะตาย ท่านอาจจะจำไม่ได้ แต่ประชาชนจำได้

ก็ขอทวงสัญญาพรรคร่วมรัฐบาลทำให้เกิดขึ้น

ยืนยันต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่เช่นนั้นประเทศเดินหน้าไม่ได้ เพราะรัฐธรรมนูญให้อำนาจองค์กรที่มาจากการแต่งตั้งสูงกว่าองค์กรที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหาตามมา เสียงของประชาชนไม่ได้รับการรับฟัง ปัญหาปากท้องไม่ได้รับการแก้ไข

การแก้รัฐธรรมนูญและปัญหาปากท้อง รัฐบาลสามารถแก้ไขไปพร้อมกันได้

พรรคร่วมฝ่ายค้านจะขยับอย่างไรต่อ น.ส.พรรณิการ์ บอกว่า ประเด็นที่เสนอแก้ไข เช่น ที่มาของ ส.ว.ไม่ได้มาจากประชาชน แต่มีอำนาจเท่ากับองค์กรที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ผิดธรรมชาติของระบอบประชาธิปไตย โครงสร้างเช่นนี้ไม่ควรบอกว่าประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย

เรื่องนี้จำเป็นต้องแก้ไข แม้ตามกลไกรัฐธรรมนูญแก้ไขยากที่สุด ใช้เสียง 1 ใน 3 ของวุฒิสภา แล้ว ส.ว.จะยอมลดทอนอำนาจทำไม

ก็ต้องวัดใจว่าเห็นแก่บุญคุณประชาชน โดยกล้าหักล้างบุญคุณฝ่ายที่ทำให้ท่านได้รับตำแหน่งหรือไม่

ฉะนั้น เราจะรณรงค์ทั้งในและนอกสภาฯ เพื่อให้ประชาชนเห็นด้วยมากที่สุด ผ่านรูปแบบกิจกรรมที่หลากหลายอย่างสนุกสนาน

ให้คนทุกรุ่น ทุกอาชีพได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นว่า อยากให้กติกาสูงสุดของประเทศ จะเป็นตัวกำหนดอนาคตพวกเราและลูกหลานอย่างไร อย่าลืมว่ากฎหมายทางหนึ่งคือการปกป้องชีวิต สิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นพลเมืองไม่ใช่เรื่องไกลตัว

รัฐบาลเตรียมตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาข้อดีและข้อเสียก่อนแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส่อซื้อเวลาอย่างไร น.ส.พรรณิการ์ บอกว่า หวังว่าคงไม่เป็นเช่นนั้น หากตั้งคณะกรรมาธิการฯ ขึ้นมาจริงต้องมุ่งมั่น ตั้งใจ

ไม่ใช่สุดท้ายสิ้นเปลืองงบประมาณและได้ผลสรุปออกมาแค่ 1 เล่ม

มั่นใจแค่ไหนจะแก้ไขรัฐธรรมนูญสำเร็จ เพราะตามกลไกรัฐธรรมนูญแทบจะปิดประตูแก้ไข น.ส.พรรณิการ์ บอกว่า เราต้องการแก้ไขโครงสร้างของประเทศที่ไม่เป็นธรรมกับสังคมมาหลายสิบปี

ต้องการท้าชนกับผู้มีอำนาจทุนใหญ่ผูกขาด

อำนาจทหารที่อยู่ในรัฐบาลพลเรือน

ปมเหล่านี้ไม่มีอะไรง่าย การเปลี่ยนประเทศไทยให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ มันยาก

ถามว่าต้องทำหรือไม่ เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ขอให้คิดถึงอนาคตลูกหลาน จะส่งต่อสังคมที่ไม่ใช่เลวเท่าเดิม แต่กำลังจะเลวกว่าเดิมให้ลูกหลาน เรายอมไม่ได้ ก็ต้องแก้ไข แต่แก้ไขเสร็จเมื่อไหร่ในเมื่อรู้ว่าแก้ยากและต้องใช้เวลา

จำเป็นต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้และเริ่มทันที หากต้องการผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ ต้องทำอะไร ที่ยาก

จะทำอย่างไรกับทุนใหญ่ เพราะช่วงชิงโอกาสและทรัพยากรของประเทศและประชาชนไป นับวันโอกาสของประเทศและประชาชนไหลไปตกอยู่ในมือของทุนใหญ่ น.ส.พรรณิการ์ บอกว่านี่คือหนึ่งในปัญหาระดับโลก

ทุกประเทศกำลังพูดคุยกันว่าจะต่อต้านกลุ่มทุนใหญ่อย่างไรไม่ให้กินรวบ และเดินไปด้วยกันกับการลงทุน การพัฒนา การสร้างนวัตกรรม ซึ่งใช้งบประมาณมหาศาล

ฉะนั้น เมื่อเรามุ่งมั่นตั้งใจทำงานการเมือง ต้องกล้าหาญพอทำเรื่องพวกนี้ โดยพูดคุยกับทุนใหญ่

เช่น ทุนใหญ่ผูกขาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สุดท้ายประชาชนก็เข้าถึงธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมประกอบกิจการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่พูดไม่ได้ส่งเสริมให้ดื่มแอลกอฮอล์ แต่เป็นการยกระดับมูลค่าสินค้าเกษตรและเพิ่มมูลค่าภูมิปัญญาท้องถิ่นให้ประชาชนลืมตาอ้าปากได้

แต่พรรคอนาคตใหม่ถูกบางฝ่ายโจมตีว่ามียุทธศาสตร์ล้มล้างวัฒนธรรม ล้างสมองเยาวชน น.ส.พรรณิการ์ บอกว่า ล้มล้างวัฒนธรรมอย่างไร ยังพูดถึงการส่งเสริมอนุรักษ์วัฒนธรรมการผลิตเหล้าท้องถิ่นอยู่เลย

พาดพิงเราก็ไม่โมโหนะ แต่รู้สึกโมโหแทนเยาวชนคนรุ่นใหม่ เหมือนดูถูกคนรุ่นใหม่

ในโลกยุคโซเชียลมีเดีย พลังค้นหาความจริงอยู่ที่ปลายนิ้ว การล้างสมองเกิดขึ้นได้ยาก

ไม่ใช่บอกว่าเกิดไม่ได้ ก็มีความพยายามป้อนข้อมูลผิดๆล้างสมองคน

แต่ไม่ได้เกิดจากเรา เพราะไม่มีอำนาจขนาดนั้น สิ่งเดียวที่มีคืออำนาจของคนที่คิดเหมือนกัน แล้วแปลเป็นคะแนนช่วงเลือกตั้ง คือพลังอำนาจที่เกิดจากเราเสนอความคิดแบบนี้ไป คนอื่นเห็นด้วยและตะโกนออกมาดังๆผ่านการเลือกตั้ง และร่วมกิจกรรมกับเรา ถ้าแบบนี้เรียกว่าล้างสมองก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร

รูปแบบที่พรรคอนาคตใหม่ทำ ถูกหลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์เหมือนในยุคปฏิวัติวัฒนธรรมของประเทศจีน น.ส.พรรณิการ์ บอกว่า จีนในยุคนั้นเป็นเผด็จการเบ็ดเสร็จ

ถ้ากลัวใครปฏิวัติวัฒนธรรมหรือล้างสมอง ควรกลัวยุคเผด็จการเบ็ดเสร็จช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เรายังไม่เคยได้อำนาจรัฐ ไม่เคยมีอำนาจเบ็ดเสร็จใดๆพอที่จะไปล้างสมองใครหรือปฏิวัติวัฒนธรรม

หากมีอำนาจขนาดนั้นเราคงไม่โดนโจมตีมากขนาดนี้ และเวลาเราพูดถึงการเมืองก็พูดถึงความคิดเชิงวัฒนธรรมและโครงสร้างของสังคม เมื่อพูดถึงเรื่องพวกนี้ คนที่ไม่อยากเปลี่ยนแปลงยังกลัวและยึดติดอยู่ ก็คิดว่าทำไมคนพวกนี้วิพากษ์วิจารณ์ทุกอย่าง และวิพากษ์วิจารณ์ในสิ่งที่คนเคยเคารพและเชื่อ

ในความเป็นจริงวัฒนธรรมต้องเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปข้างหน้าวัฒนธรรมไม่ใช่สิ่งหยุดนิ่งและตาย ถ้าอยากอนุรักษ์วัฒนธรรม ทำในสิ่งที่คุณเชื่อให้คงอยู่ ต้องทำให้เคลื่อนไหว นำมาใช้และเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ นี่คือพลวัตของสังคม

ฉะนั้น เราไม่ได้ต่อต้านวัฒนธรรม คุณต่างหากที่กำลังต่อต้านการเปลี่ยนแปลงของสังคมไปข้างหน้า

3 ทหารเสือพรรคอนาคตใหม่ ทั้งนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคและโฆษกพรรค โดนข้อหาหมิ่นสถาบัน ขอให้นิยามคำว่าการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข น.ส.พรรณิการ์ บอกว่า นโยบายพรรคไม่มีส่วนใดล้มล้างการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพราะในตอนนี้เป็นแนวทางการปกครองที่ดีและเหมาะสมกับประเทศไทย ไม่ต้องอธิบาย ทุกคนเข้าใจตรงกัน

ส่วนที่ถูกโจมตีว่าหมิ่นและล้มสถาบัน ก็เป็นข้อกล่าวหาที่ใช้โจมตีนักการเมืองมาทุกยุค

เพราะเป็นข้อกล่าวหาที่แก้ตัวได้ยาก ใช้อารมณ์ความรู้สึกมากกว่าใช้เหตุผลทางกฎหมายมาหักล้างกัน

แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สังคมรู้เท่าทันข้อหาเหล่านี้ และเบื่อหน่ายการโจมตีทางการเมือง

ทำให้ระบอบประชาธิปไตยและสถาบันได้รับผลกระทบ

เราขอให้หยุดมาโดยตลอด เพราะไม่เป็นประโยชน์ต่อใคร.

ทีมการเมือง