PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

ทวงคืนประชาธิปไตย : ท้าชนอำนาจกองทัพ-สกัดทุนใหญ่ผูกขาด

เผชิญคลื่นมรสุมการเมืองตั้งแต่ก่อตั้งพรรค ถูกตั้งข้อกล่าวหาด้วยฐานความผิดรุนแรง

แต่เจ้าตัวไม่หวั่น ขอต่อสู้เต็มที่ไม่มีถอย วันนี้มีบทบาทโดดเด่น ในสภาผู้แทนราษฎร นิกเนมว่า “ช่อ” น.ส.พรรณิการ์ วานิช ส.ส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคอนาคตใหม่ บอกถึงการเมืองหลังรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยฉายภาพให้เห็นความผิดหวังต่อนโยบาย ไม่มีรูปธรรมใดๆ ให้เห็น

เรายืนยันต้องทำหน้าที่ต่อไป แม้ในรัฐบาลมีรัฐมนตรีหลายคนและนายกรัฐมนตรีเป็นคนเดิม แต่การบริหารประเทศต้องไม่เหมือนเดิม

เพราะขณะนี้มีสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชนคอยตรวจสอบและถ่วงดุล

รัฐบาลไม่สามารถใช้อำนาจหรือการบริหารแบบสบายๆเหมือน 5 ปีที่ผ่านมาได้

ใครมาบอกว่าประเทศต้องเดินไปข้างหน้า ขอให้โอกาสรัฐบาลทำงาน อย่าอภิปรายอะไรมาก

เราไม่ให้โอกาสนายกฯอีกต่อไป เพราะช่วงชิงอำนาจจากประชาชนไป 5 ปีและประเทศเสียหาย 5 ปี

หลังจากนี้ขอตรวจสอบเข้มข้นทุกวินาที

หลังเลือกตั้งเสร็จ 7 พรรคฝ่ายค้านจับมือกันแน่น แบ่งหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลอย่างไร น.ส.พรรณิการ์ บอกว่า เราทำงานเป็นเอกเทศ ส่วนที่ร่วมมือก็คือการทำงานในสภาฯ เพื่อให้การซักฟอกรัฐบาล ทั้งผ่านการตั้งกระทู้ถาม การเสนอญัตติต่างๆให้ราบรื่นและไม่สิ้นเปลืองเวลาของสภาฯ

แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทุกพรรคต้องร่วมมือ ไม่ใช่เฉพาะแค่ 7 พรรคฝ่ายค้าน พรรคในรัฐบาล ซึ่งเคยรณรงค์หาเสียงต้องการให้แก้จะเป็นจะตาย ท่านอาจจะจำไม่ได้ แต่ประชาชนจำได้

ก็ขอทวงสัญญาพรรคร่วมรัฐบาลทำให้เกิดขึ้น

ยืนยันต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่เช่นนั้นประเทศเดินหน้าไม่ได้ เพราะรัฐธรรมนูญให้อำนาจองค์กรที่มาจากการแต่งตั้งสูงกว่าองค์กรที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหาตามมา เสียงของประชาชนไม่ได้รับการรับฟัง ปัญหาปากท้องไม่ได้รับการแก้ไข

การแก้รัฐธรรมนูญและปัญหาปากท้อง รัฐบาลสามารถแก้ไขไปพร้อมกันได้

พรรคร่วมฝ่ายค้านจะขยับอย่างไรต่อ น.ส.พรรณิการ์ บอกว่า ประเด็นที่เสนอแก้ไข เช่น ที่มาของ ส.ว.ไม่ได้มาจากประชาชน แต่มีอำนาจเท่ากับองค์กรที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ผิดธรรมชาติของระบอบประชาธิปไตย โครงสร้างเช่นนี้ไม่ควรบอกว่าประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย

เรื่องนี้จำเป็นต้องแก้ไข แม้ตามกลไกรัฐธรรมนูญแก้ไขยากที่สุด ใช้เสียง 1 ใน 3 ของวุฒิสภา แล้ว ส.ว.จะยอมลดทอนอำนาจทำไม

ก็ต้องวัดใจว่าเห็นแก่บุญคุณประชาชน โดยกล้าหักล้างบุญคุณฝ่ายที่ทำให้ท่านได้รับตำแหน่งหรือไม่

ฉะนั้น เราจะรณรงค์ทั้งในและนอกสภาฯ เพื่อให้ประชาชนเห็นด้วยมากที่สุด ผ่านรูปแบบกิจกรรมที่หลากหลายอย่างสนุกสนาน

ให้คนทุกรุ่น ทุกอาชีพได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นว่า อยากให้กติกาสูงสุดของประเทศ จะเป็นตัวกำหนดอนาคตพวกเราและลูกหลานอย่างไร อย่าลืมว่ากฎหมายทางหนึ่งคือการปกป้องชีวิต สิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นพลเมืองไม่ใช่เรื่องไกลตัว

รัฐบาลเตรียมตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาข้อดีและข้อเสียก่อนแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส่อซื้อเวลาอย่างไร น.ส.พรรณิการ์ บอกว่า หวังว่าคงไม่เป็นเช่นนั้น หากตั้งคณะกรรมาธิการฯ ขึ้นมาจริงต้องมุ่งมั่น ตั้งใจ

ไม่ใช่สุดท้ายสิ้นเปลืองงบประมาณและได้ผลสรุปออกมาแค่ 1 เล่ม

มั่นใจแค่ไหนจะแก้ไขรัฐธรรมนูญสำเร็จ เพราะตามกลไกรัฐธรรมนูญแทบจะปิดประตูแก้ไข น.ส.พรรณิการ์ บอกว่า เราต้องการแก้ไขโครงสร้างของประเทศที่ไม่เป็นธรรมกับสังคมมาหลายสิบปี

ต้องการท้าชนกับผู้มีอำนาจทุนใหญ่ผูกขาด

อำนาจทหารที่อยู่ในรัฐบาลพลเรือน

ปมเหล่านี้ไม่มีอะไรง่าย การเปลี่ยนประเทศไทยให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ มันยาก

ถามว่าต้องทำหรือไม่ เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ขอให้คิดถึงอนาคตลูกหลาน จะส่งต่อสังคมที่ไม่ใช่เลวเท่าเดิม แต่กำลังจะเลวกว่าเดิมให้ลูกหลาน เรายอมไม่ได้ ก็ต้องแก้ไข แต่แก้ไขเสร็จเมื่อไหร่ในเมื่อรู้ว่าแก้ยากและต้องใช้เวลา

จำเป็นต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้และเริ่มทันที หากต้องการผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ ต้องทำอะไร ที่ยาก

จะทำอย่างไรกับทุนใหญ่ เพราะช่วงชิงโอกาสและทรัพยากรของประเทศและประชาชนไป นับวันโอกาสของประเทศและประชาชนไหลไปตกอยู่ในมือของทุนใหญ่ น.ส.พรรณิการ์ บอกว่านี่คือหนึ่งในปัญหาระดับโลก

ทุกประเทศกำลังพูดคุยกันว่าจะต่อต้านกลุ่มทุนใหญ่อย่างไรไม่ให้กินรวบ และเดินไปด้วยกันกับการลงทุน การพัฒนา การสร้างนวัตกรรม ซึ่งใช้งบประมาณมหาศาล

ฉะนั้น เมื่อเรามุ่งมั่นตั้งใจทำงานการเมือง ต้องกล้าหาญพอทำเรื่องพวกนี้ โดยพูดคุยกับทุนใหญ่

เช่น ทุนใหญ่ผูกขาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สุดท้ายประชาชนก็เข้าถึงธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมประกอบกิจการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่พูดไม่ได้ส่งเสริมให้ดื่มแอลกอฮอล์ แต่เป็นการยกระดับมูลค่าสินค้าเกษตรและเพิ่มมูลค่าภูมิปัญญาท้องถิ่นให้ประชาชนลืมตาอ้าปากได้

แต่พรรคอนาคตใหม่ถูกบางฝ่ายโจมตีว่ามียุทธศาสตร์ล้มล้างวัฒนธรรม ล้างสมองเยาวชน น.ส.พรรณิการ์ บอกว่า ล้มล้างวัฒนธรรมอย่างไร ยังพูดถึงการส่งเสริมอนุรักษ์วัฒนธรรมการผลิตเหล้าท้องถิ่นอยู่เลย

พาดพิงเราก็ไม่โมโหนะ แต่รู้สึกโมโหแทนเยาวชนคนรุ่นใหม่ เหมือนดูถูกคนรุ่นใหม่

ในโลกยุคโซเชียลมีเดีย พลังค้นหาความจริงอยู่ที่ปลายนิ้ว การล้างสมองเกิดขึ้นได้ยาก

ไม่ใช่บอกว่าเกิดไม่ได้ ก็มีความพยายามป้อนข้อมูลผิดๆล้างสมองคน

แต่ไม่ได้เกิดจากเรา เพราะไม่มีอำนาจขนาดนั้น สิ่งเดียวที่มีคืออำนาจของคนที่คิดเหมือนกัน แล้วแปลเป็นคะแนนช่วงเลือกตั้ง คือพลังอำนาจที่เกิดจากเราเสนอความคิดแบบนี้ไป คนอื่นเห็นด้วยและตะโกนออกมาดังๆผ่านการเลือกตั้ง และร่วมกิจกรรมกับเรา ถ้าแบบนี้เรียกว่าล้างสมองก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร

รูปแบบที่พรรคอนาคตใหม่ทำ ถูกหลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์เหมือนในยุคปฏิวัติวัฒนธรรมของประเทศจีน น.ส.พรรณิการ์ บอกว่า จีนในยุคนั้นเป็นเผด็จการเบ็ดเสร็จ

ถ้ากลัวใครปฏิวัติวัฒนธรรมหรือล้างสมอง ควรกลัวยุคเผด็จการเบ็ดเสร็จช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เรายังไม่เคยได้อำนาจรัฐ ไม่เคยมีอำนาจเบ็ดเสร็จใดๆพอที่จะไปล้างสมองใครหรือปฏิวัติวัฒนธรรม

หากมีอำนาจขนาดนั้นเราคงไม่โดนโจมตีมากขนาดนี้ และเวลาเราพูดถึงการเมืองก็พูดถึงความคิดเชิงวัฒนธรรมและโครงสร้างของสังคม เมื่อพูดถึงเรื่องพวกนี้ คนที่ไม่อยากเปลี่ยนแปลงยังกลัวและยึดติดอยู่ ก็คิดว่าทำไมคนพวกนี้วิพากษ์วิจารณ์ทุกอย่าง และวิพากษ์วิจารณ์ในสิ่งที่คนเคยเคารพและเชื่อ

ในความเป็นจริงวัฒนธรรมต้องเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปข้างหน้าวัฒนธรรมไม่ใช่สิ่งหยุดนิ่งและตาย ถ้าอยากอนุรักษ์วัฒนธรรม ทำในสิ่งที่คุณเชื่อให้คงอยู่ ต้องทำให้เคลื่อนไหว นำมาใช้และเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ นี่คือพลวัตของสังคม

ฉะนั้น เราไม่ได้ต่อต้านวัฒนธรรม คุณต่างหากที่กำลังต่อต้านการเปลี่ยนแปลงของสังคมไปข้างหน้า

3 ทหารเสือพรรคอนาคตใหม่ ทั้งนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคและโฆษกพรรค โดนข้อหาหมิ่นสถาบัน ขอให้นิยามคำว่าการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข น.ส.พรรณิการ์ บอกว่า นโยบายพรรคไม่มีส่วนใดล้มล้างการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพราะในตอนนี้เป็นแนวทางการปกครองที่ดีและเหมาะสมกับประเทศไทย ไม่ต้องอธิบาย ทุกคนเข้าใจตรงกัน

ส่วนที่ถูกโจมตีว่าหมิ่นและล้มสถาบัน ก็เป็นข้อกล่าวหาที่ใช้โจมตีนักการเมืองมาทุกยุค

เพราะเป็นข้อกล่าวหาที่แก้ตัวได้ยาก ใช้อารมณ์ความรู้สึกมากกว่าใช้เหตุผลทางกฎหมายมาหักล้างกัน

แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สังคมรู้เท่าทันข้อหาเหล่านี้ และเบื่อหน่ายการโจมตีทางการเมือง

ทำให้ระบอบประชาธิปไตยและสถาบันได้รับผลกระทบ

เราขอให้หยุดมาโดยตลอด เพราะไม่เป็นประโยชน์ต่อใคร.

ทีมการเมือง

ไม่มีความคิดเห็น: