PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2562

ยกเลิกกัญชาออกจากชื่อยาเสพติดให้โทษประเภท 5 แล้ว


30 ส.ค.62  เว็ปไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่  ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท ๕ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยให้ยกเลิกกัญชาออกจากชื่อยาเสพติดให้โทษประเภท 5 แล้ว

ประกาศดังกล่าว ลงนามโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุข  โดยมีเนื้อหาดังนี้

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๖ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๘ (๑) และ (๒) แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขโดยความเห็นชอบ ของคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้

ข้อ ๑ ให้ยกเลิกชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท ๕ ลำดับที่ ๑ ในบัญชีท้ายประกาศ กระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท ๕ พ.ศ. ๒๕๖๑ ลงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน





ศาลฎีกาการเมือง ยกฟ้อง “ทักษิณ” ปม “ซุปเปอร์บอส” กรณีกรุงไทยปล่อยกู้

ที่มา ไทยรัฐ
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษายกฟ้อง “ทักษิณ” กรณีที่ถูกกล่าวอ้างว่าเป็น “ซุปเปอร์บอส” คดีธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้

เวลา 14.30 น. วันที่ 30 ส.ค. 2562 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อม. 3/2555 คดีหมายเลขแดง อม. 55/2558 ระหว่างอัยการสูงสุด โจทก์ นายทักษิณ ชินวัตร จำเลยที่ 1 กับพวกรวม 27 คน คดีธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้บริษัทในเครือบริษัท กฤษดามหานคร เรื่องความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ยักยอก ความผิดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ ความผิดต่อ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ชั้นยกคดีขึ้นพิจารณาเฉพาะจำเลยที่ 1)
ทั้งนี้ ศาลได้อ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลยที่ 1 ในวันนี้ ว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำวินิจฉัยในสาระสำคัญกรณีคำว่า “ซุปเปอร์บอส” หรือ “บิ๊กบอส” ที่ นายณรงค์ชัย อินทรมีทรัพย์ แจ้งว่ามีลักษณะที่น่าจะหมายถึง นายทักษิณ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะเกิดเหตุ เป็นเพียงการคาดเดาไปตามความเข้าใจของนายณรงค์ชัย ซึ่งนายณรงค์ชัยไม่รู้จักนายทักษิณเป็นการส่วนตัว เพียงแต่อ้างว่า นายวิโรจน์ นวลแข จำเลยที่ 2 โทรศัพท์มาบอกว่า “ซุปเปอร์บอส ตกลงแล้ว อย่าถามข้อมูลมาก และขอให้พิจารณาไปโดยเร็ว”
ทางด้าน นายอุตตม สาวนายน ก็ปฏิเสธว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้โทรศัพท์มาหา การพิจารณาอนุมัติสินเชื่อให้ บริษัทโกลเด้น เทคโนโลยี อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด โดยนายสุบิน แสงสุวรรณเมฆา และนายบัญชา ยินดี จำเลยที่ 19 ในส่วนของนายอุตตม จึงไม่ได้เกิดจากจำเลยที่ 2 โน้มน้าวให้อนุมัติเพราะได้รับคำสั่งจากนายทักษิณ
“พยานหลักฐานของโจทก์ที่ไต่สวนมายังไม่มีน้ำหนักรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 สั่งการผ่านจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ให้อนุมัติสินเชื่อดังกล่าว จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดตามฟ้อง พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1”
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า คดีนี้เป็นคดีแรกจากทั้งหมด 5 คดี ที่มีการพิพากษาลับหลังจำเลย ซึ่ง นายทักษิณ ตั้งทนายความสู้ และเป็น 2 จาก 5 คดี ที่มีการพิพากษายกฟ้อง พร้อมกับมีการสั่งให้ถอนหมายจับเฉพาะคดีนี้ด้วย.
(ภาพจากอินสตาแกรม thaksinlive)

วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2562

ปมเซ็นทรัลวิลเลจ สุวรรณภูมิ "ช้าง ชน ช้าง"

ปมเซ็นทรัลวิลเลจ สุวรรณภูมิ "ช้าง ชน ช้าง"
เอ๊ะ...มีช้างกี่ตัวนะ!
กรณีพิพาทระหว่างบริษัทเซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กับ บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) วันนี้(28ก.ค.) ผู้บริหารเซ็นทรัลตั้งโต๊ะแถลงข่าวชี้แจงประเด็นพิพาทในทุกประเด็นแบบถี่ยิบ ยืนยันว่า ที่ผ่านมาทำถูกต้องตามกฎหมาย
รายละเอียดที่แจกแจง พูดถึงหลายประเด็นที่ถูกโจมตี เดี๋ยวจะไล่เรียงให้อ่านกัน แต่ตอนแรกนี้อยากช่วงมองข่าวธุรกิจให้ลึก...ลงไปก่อน
ทำไมเรื่องเพิ่งมาวุ่นวายตอนนี้...สงสัยไหม สร้างเซ็นทรัลวิลเลจมา 5 ปี เพิ่งจะมาดราม่าโค้งสุดท้ายก่อนเปิดโครงการจริงในวันที่ 31 ส.ค. 62 ( ทอท.เริ่มเอาเต็นท์ไปปิดกั้นทางเข้า-ออกเซ็นทรัลวิจเลจ วันที่ 22 ส.ค. 62 )
นี่เป็นปัญหาเรื่องพิพาทที่ดิน-เรื่องความไม่ปลอดภัยการบิน จริงหรือ | หรือแค่เป็นจุดที่ถูกใช้เป็นชนวนความวุ่นวาย แต่แท้จริงแล้วมีอะไรอยู่เบื้องหลัง
ทอท. ที่เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ กับ เซ็นทรัล คือ คู่ขัดแย่งตัวจริงใช่...ใช่ไหม
***คำถามพวกนี้...สเตตัสนี้ไม่มีคำตอบ***
ฮาาาาา แต่ถ้าใครอ่านจบ เชื่อว่า อาจจะพอเดาออก...หรืออาจจะมีข้อมูลไปช่วยกันหาคำตอบได้มากขึ้น
ในการแถลงข่าววันนี้(28ส.ค.) นักข่าวถาม กรรมการผู้จัดการใหญ่บ.เซ็นทรัล ว่า ที่ผ่านมาทำไมไม่คุยกับทอท.ทั้งที่เป็นหน่วยงานดูแลท่าอากาศยาน ได้คำตอบว่า ไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องคุยกับทอท. เพราะ คุยและประสานงานกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย หรือ กพท. ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับทอท.ตลอด การจะไปไล่คุยกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ใช่หน้าที่ของเซ็นทรัล หน่วยงานรัฐต้องแจกแจงกันเอง
พอถามว่า...ข้อพิพาทที่เกิดขึ้นอาจเกี่ยวข้องกับการแข่งขันทางธุรกิจหรือไม่ ได้คำตอบว่า ไม่อยากคาดเดาเรื่องนี้ เพราะสร้างเซ็นทรัลวิจเลจมานาน5ปี ไม่ใช่เพิ่งทำหลังประมูลdutyfree รวมถึงอยากให้ทุกฝ่ายเปิดใจให้กว้างกับธุรกิจoutlet เวลาไปเที่ยว ญี่ปุ่น เกาหลี ยุโรป อเมริกา ก็ต้องไปซื้อของที่outlet และเชื่อว่าแม้คนจะเดินซื้อของที่outlet พอเข้าไปในสนามบินก็จะซื้อของdutyfreeเช่นกัน เพราะ สินค้าแตกต่างกัน dutyfree เป็นสินค้าปลอดภาษี คอลเลคชั่น ส่วนoutletเป็นสินค้าราคาถูกที่ตกรุ่นแล้ว
ส่วนตัวมองว่า คำตอบนี้สะท้อนอะไรหลายอย่าง เช่น แม้จะบอกว่าไม่คาดเดาว่าข้อพิพาทโครงการเซ็นทรัลวิลเลจเกี่ยวกับบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีบทบาทเรื่องการของสินค้าปลอดภาษีหรือไม่ แต่ก็พูดเปรียบเทียบoutlet-dutyfree หรือ การแสดงออกถึงการไม่ได้ให้ความสำคัญกับทอท.มากนัก
เอ่อออ...งงๆเหมือนกันว่า สรุปใครคู่กรณีใคร
แล้วก็งงๆอีกว่า...จะจบยังไง ก่อนจะไปดูว่าจะจบยังไง เราว่ากันเรื่องประเด็นที่ทำให้กลายเป็นเรื่องพิพาทกันก่อน
โครงการเซ็นทรัลวิลเลจอยู่ห่างจากสนามบินสุวรรณภูมิฝั่งทิศใต้ ประมาณ 5-6 กิโลเมตร ทำให้ทุก5-10นาที จะเห็นและได้ยินเสียงเครื่องบินบินขึ้นสู่ท้องฟ้า (ภาพ1-2)
ประเด็นที่ทำให้เกิดข้อพิพาทต่างๆมีหลากหลายมาก โดยเฉพาะ เรื่องการรุกล้ำพื้นที่ราชพัสดุ บนทางหลวงหมายเลข 370 ที่อยู่ในความดูแลของ ทอท. / แต่เซ็นทรัล ชี้แจงว่า ทางหลวงหมายเลข 370 อยู่ในความดูแลของกรมทางหลวง ไม่ใช่ทอท. ที่ผ่านมาจึงขออนุญาตเชื่อมทางเข้า-ออกกับโครงการเซ็นทรัลวิลเลจ เพราะ โครงการอยู่ในที่ดินติดถนนใหญ่ ด้านขวาอยู่ติดสนามกอล์ฟซึ่งเป็นที่ของเอกชน / ส่วนด้านซ้ายอยู่ติดที่ดินว่างเปล่า / และด้านหลังอยู่ติดริมคลองบางโฉลง
(ภาพ 3)
แต่ข้อมูลของ ทอท.ระบุว่า โครงการเซ็นทรัลวิลเลจ ไม่ได้อยู่ติดถนนใหญ่ เพราะ มีพื้นที่ประมาณ 164 ตารางวา จุดที่ตั้งเต็นท์ของทอท.ที่มาปิดทางเข้า-ออก ลานจอดรถของโครงการฯ และตลอดแนวถนนเป็นที่ดินราชพัสดุที่อยู่ในความดูแลของทอท. (ภาพ4)
ข้อมูลของทอท.สอดคล้องกับเอกสารที่กรมธนารักษ์นำมาติดไว้ที่หน้าโครงการเซ็นทรัลวิลเลท ซึ่งยืนยันว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินราชพัสดุที่อยุ่ในความดูแลของทอท.จริงและกรณีที่ทอท.เดินหน้าให้บริษัทเซ็นทรัลรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากพื้นที่ดังกล่าวจึงเป็นไปตามกรอบอำนาจทางกฎหมายที่กำหนดไว้ (ภาพ5)
ส่วนกรณีที่ถูกมองว่าโครงการนี้ก่อสร้างในพื้นที่ผังเมืองสีเขียว คือ ที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม ไม่สามารถก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างได้ บริษัทเซ็นทรัล ชี้แจงว่า กฎหมายเปิดช่องให้ก่อสร้างในพื้นที่สีเขียวบริเวณ ก1-10 ได้ หากการก่อสร้างไม่เกินร้อยละ 10 ของพื้นที่สีเขียวบริเวณดังกล่าว (ภาพ6)
แต่ก็มีข้อโต้แย้งว่า ตามกฎหมายจะไม่อนุญาตให้สร้างโรงแรมและสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ หรือหากดำเนินการได้ก็จะสามารถทำได้เพียง 200 ตารางเมตร แต่โครงการเซ็นทรัลวิลเลจมีพื้นที่โครงการเฉพาะสิ่งปลูกสร้างรวม 40,000 ตารางเมตร
ส่วนการดำเนินการโครงการเซ็นทรัลวิลเลจจะส่งผลต่อความปลอดภัยการบินหรือไม่ บริษัทเซ็นทรัล ยืนยันว่า ไม่ได้ละเมิดกฎใดๆ ทั้ง ความสูงของอาคาร และไม่มีกิจกรรมใดๆที่เสี่ยงรบกวนการบิน ประเด็นนี้มีการตั้งข้อสังเกตเรื่องไฟฟ้าส่องสว่างที่โครงการใช้อาจกระทำกับทัศนวิสัยของนักบินหรือไม่
ส่วนข้อมูลจาก ทอท. ยืนยันว่าไม่ได้กลั่นแกล้งหรือสกัดการเปิดบริการของเซ็นทรัล แต่เพราะที่ผ่านมาเจ้าของโครงการไม่เคยขออนุญาต ทอท. จึงต้องปฏิบัติตามหลักการ เพราะ ไม่สามารถปล่อยปละละเลย หรือ สนับสนุนผู้กระทำผิดกฎหมายบนพื้นที่รัฐได้ พร้อมให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ กรมทางหลวงเป็นผู้ดูแลและอนุญาตการก่อสร้างโครงการจริง แต่กรมทางหลวงใช้เกณฑ์การประเมินเฉพาะเรื่องผลกระทบด้านถนนเท่านั้น กรมธนารักษ์ในฐานะผู้กำกับดูแลที่ราชพัสดุ จึงให้ ทอท.เข้ามาดูแลและใช้เกณฑ์ด้านการบินเป็นเกณฑ์ประเมินหลัก
ส่วนข้อสงสัยที่ระบุว่าหากพบความผิดเหตุใดทอท.ไม่สั่งระงับการก่อสร้างตั้งแต่แรก นายนิตินัย ระบุว่า ตอนแรกกรมธนารักษ์มีหนังสือถึงทอท.เข้าไปตรวจสอบโครงการเมื่อวันที่ 16 มกราคม2562 จากนั้นจึงรวบรวมข้อมูลจากสายงานต่างๆ ก่อนจะได้ข้อสรุปในเดือนเมษายนว่าให้บริษัทเซ็นทรัลรื้อถอนถนนปูน เพราะเป็นการรุกร้ำพื้นที่ แต่ในเดือนสิงหาคมกลับพบว่า มีการเตรียมติดตั้งท่อและที่กั้นเหล็ก พร้อมเปิดใช้บริการ ทั้งที่เคยแจ้งไปแล้วว่าพื้นที่จุดเข้า-ออก ดำเนินการไม่ได้ จึงต้องเข้ามาตั้งจุดเพื่อสกัดไม่ให้มีการดำเนินการใดๆ
ส่วนตัวมองว่า ข้อพิพาทต่างๆไม่ใช่เรื่องใหม่ จริงๆมีโอกาสที่จะเป็นปัญหาตั้งแต่ตอนเริ่มก่อสร้างแรกๆแล้ว แต่กลับเพิ่งมาเป็นปัญหาในอีกไม่กี่วันที่เซ็นทรัลวิจเลจจะเป็นให้บริการ
ถ้ามองข้ามห้วยไปถึงการแก้ปัญหาว่าจะจบยังไง หลังเซ็นทรัลขอให้ภาครัฐ โดยเฉพาะ นายกฯร่วมแก้ปัญหา และนายกฯสั่งการให้มหาดไทย-คมนาคม ตรวจสอบข้อมูลให้รอบด้าน ส่วนศาลปกครองล่าสุดก็ยังไม่มีคำสั่งคุ้มครองการก่อสร้างของโครงการดังกล่าว
ตอนนี้อะไรๆก็มะรุมมะตุ้มกันไปหมด ลองแยกส่วนแล้วมองมิติทั้งธุรกิจ เศรษฐกิจ หรือแม้แต่การเมือง อาจจะพอจับทางได้ว่าเป็นยังไง ส่วนจะจบยังไง ยากที่จะตอบจริง ถ้าเป็นหนังจีนตอนนี้อาจอยู่ในช่วงวัดกำลังภายใน ส่วนใครจะชนะ จะชนะแบบใสใส หรือ แบบไสยไสย จะเจ็บตัวคนละนิด หรือ ชนะแบบขาดลอย หรือจะตกลงกันได้
มดตัวน้อยๆอย่างเรา แค่รอดูอยู่ห่างๆพอ

ซ็นทรัลโต้ "ไม่จำเป็นต้องคุย" ทอท.

ซีพีเอ็นตั้งโต๊ะแถลงยืนยัน "เซ็นทรัล วิลเลจ" เปิดบริการ 31 ส.ค.นี้แน่นอน ยืนยันขออนุญาตก่อสร้างถูกต้องตามกฎหมาย ไม่จำเป็นต้องคุยกับ ทอท. ขณะที่ ทอท.โต้ไม่ได้กลั่นแกล้งใคร
วันนี้ (28 ส.ค.2562) นายปรีชา เอกคุณากูล กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ยืนยันว่าโครงการเซ็นทรัล วิลเลจ ได้รับอนุญาตและก่อสร้างถูกต้องถามกฎหมายทุกขั้นตอน พร้อมชี้แจงใน 3 ประเด็นหลัก


ประเด็นแรกคือ พื้นที่โครงการที่ถูกระบุว่ามีการรุกล้ำพื้นที่นั้น ยืนยันว่าพื้นที่โครงการอยู่ติดกับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 370 มีการเชื่อมทางเข้า-ออกอย่างถูกต้อง ไม่มีการรุกล้ำที่ดินของรัฐ หรือที่ราชพัสดุและลำรางสาธารณะ และไม่ได้เป็นที่ดินตาบอด


ก่อนหน้านี้ที่ดังกล่าวเคยเป็นที่ราชพัสดุ แต่ได้มอบให้กับกรมทางหลวงสร้างและเป็นผู้ดูแล เพื่อสร้างกับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 370 ซึ่งเป็นพื้นที่คนละส่วนกับพื้นที่ดินเวนคืนของสนามบินสุวรรณภูมิที่ ทอท.ดูแล และถนนหมายเลข 370 ถือเป็นทางหลวงสาธารณะ ไม่ใช่ขององค์กรเอกชนใดที่จะมากล่าวอ้างเป็นเจ้าของได้
ซึ่ง ทอท.ก็มีการขออนุญาตจากกรมทางหลวงเพื่อใช้ประโยชน์เช่นเดียวกัน และที่ผ่านมาไม่เคยมีเอกชนที่จะใช้ประโยชน์รายใดยื่นขออนุญาตเชื่อมทางจากทาง ทอท. ล่าสุดวันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา ได้มีหนังสือจากกรมทางหลวงอนุญาตให้ ทอท.เดินท่อร้อยสายไฟใต้ดินและบ่อพัก
ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องคุยกับ ทอท. เนื่องจากโครงการอยู่นอกเขตพื้นที่ของ ทอท.และทุกอย่างทำตามระเบียบ มีการขออนุญาต กพท.ที่เป็นหน่วยงานควบคุม ทอท.อยู่แล้ว
ประเด็นที่ 2 กรณีการก่อสร้างโครงการในพื้นที่สีเขียว ยืนยันว่าปฎิบัติตามกฎหมายผังเมืองอย่างเคร่งครัด ซึ่งได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องในการก่อสร้างตามกฎหมายผังเมืองในพื้นที่สีเขียว ไม่เกินร้อยละ 10 ของที่ดินพื้นที่สีเขียวบริเวณดังกล่าว และไม่เคยมีการขอปรับผังเมืองแต่อย่างใด
ประเด็นที่ 3 ที่โครงการอาจรบกวนการบิน ชี้แจงว่า บริษัทฯได้ขออนุญาตก่อสร้างในบริเวณพื้นที่เขตปลอดภัยในการเดินอากาศจากสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) อย่างถูกต้อง ไม่ได้ละเมิดกฏใดๆ ทั้งด้านความสูงและไม่มีกิจกรรมใดๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานสนามบิน เป็นไปตามมาตรฐานองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) และไม่เกี่ยวกับการติดธงแดง 


สำหรับประเด็นการกลั่นแกล้งทางธุรกิจ นายปรีชา ระบุว่า ไม่อยากคาดเดาในประเด็นนี้ เพราะไม่ได้มองว่าจะต้องมีการแข่งขันกับใคร โดยยังยืนยันว่า เซ็นทรัล วิลเลจ จะเปิดให้บริการในวันที่ 31 ส.ค.นี้ พร้อมหวังว่าศาลปกครองจะมีคำสั่งคุ้มครอง และให้ ทอท.รื้อย้ายสิ่งของปิดทางเข้า-ออก ก็จะสามารถเปิดบริการได้ทัน
แต่หากศาลมีคำสั่งไม่คุ้มครอง ก็มีแผน 2 รองรับไว้แล้ว แต่ขอไม่เปิดเผยต่อสื่อมวลชน พร้อมยอมรับว่าข้อพิพาทที่เกิดขึ้นสร้างความกังวลให้กับผู้ประกอบการในโครงการและพนักงานที่ทำงานอยู่ ซึ่งหากข้อพิพาทที่เกิดขึ้นมีผลกระทบต่อธุรกิจมาก ก็จะพิจารณาเดินหน้าฟ้องร้องทางคดี
ส่วนกรณีที่นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) กล่าวว่า อาจหาแนวทางในการเจรจาเพื่อยุติข้อพิพาทนั้น นายปรีชา ระบุว่า ยินดีเสมอในการเจรจา แต่ทุกอย่างต้องอยู่ภายใต้กระบวนการของกฎหมาย ไม่ใช่เป็นการตีความฝ่ายเดียว เพราะถือว่าเป็นการริดรอนสิทธิ์

ทอท.โต้ไม่ได้ได้กลั่นแกล้ง

ด้านนายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท. ยืนยันว่า กรณีที่ ทอท.จำเป็นจะต้องออกมาเคลื่อนไหวเป็นการดำเนินการตามกฎหมายที่ ทอท.ในฐานะโอเปอเรเตอร์ ผู้บริหารจัดการสนามบิน ซึ่งครอบคลุมเรื่องความปลอดภัย ต้องทำเรื่องดังกล่าวอยู่บนพื้นฐานของกฎหมายและความถูกต้อง และคนที่ตั้งคำถามระบุว่า ทอท.ปกป้องผลประโยชน์ของใคร ก็ขอให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายเสียก่อน ไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้งทางธุรกิจ โดยฝากคนที่ตั้งคำถามนี้ควรหาทางออกตามข้อกฎหมายให้ ทอท.ด้วย


ทั้งนี้ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท. ระบุว่า ที่ผ่านมาปัญหาการเข้าก่อสร้างโครงการเซ็นทรัล วิลเลจ เกิดปัญหาขึ้นในอดีต เนื่องจากพื้นที่ทั้งหมดเป็นพื้นที่ราชพัสดุและต่อมากรมทางหลวงได้ขอใช้ประโยชน์ เพื่อตัดถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 370 หลังจากนั้นก็มีเอกชนมาขอเชื่อมต่อทางเข้า-ออก ซึ่งกรมทางหลวงอนุมัติให้ดำเนินการได้ ทั้งที่ข้อกฎหมายเมื่อมีการตัดทางแล้วเสร็จ ควรดำเนินการส่งพื้นที่คืนกรมธนารักษ์และให้เอกชนที่จะเข้าใช้พื้นที่กรมธนารักษ์ ขอพื้นที่เข้า-ออกโดยตรงจากธนารักษ์ ไม่ใช่เชื่อมต่อเอง
นอกจากนี้ประเด็นเรื่อง ทอท.สอบถามไปยัง กพท.เรื่องแบบแปลนการก่อสร้างโครงการเซ็นทรัล วิลเลจ ทอท.มีข้อสงสัยหลาประเด็น แต่ กพท.ได้ตอบเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยความสูงอาคารมาเท่านั้น โดย กพท.ยังไม่ได้ให้รายละเอียด ซึ่ง ทอท.จะขอส่งหนังสือให้ กพท.ให้รายละเอียดอีกครั้ง รวมถึงประเด็นเรื่องการบุกรุกลำน้ำสาธารณะในพื้นที่ก่อสร้าง
เรื่องนี้ ทอท.ได้ประสาน อบต.บางโฉลง เพื่อให้ตรวจสอบ หากพบว่ามีการบุกรุกก็จะดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่ง ทอท.เป็นผู้บริหารสนามบินสุวรรรภูมิ หากเห็นว่าโครงการทำผิดกฎหมาย ก็จะแจ้งความดำเนินคดีด้วยเช่นกัน
ขณะที่บริเวณด้านหน้าโครงการเซ็นทรัล วิลเลจ ทอท.ได้ติดป้ายข้อความขนาดใหญ่หน้าทางเข้า-ออก จุดที่เคยใช้เป็นทางผ่านส่งอุปกรณ์ก่อสร้างและสิ่งของร้านค้าที่กำลังจะเปิดให้บริการ โดยระบุข้อความว่า “พื้นที่ในความครอบครองของ ทอท.ห้ามผู้ใดบุกรุก มิฉะนั้นจะดำเนินการตามกฎหมายโดยเด็ดขาด” และอีกป้ายที่ไม่ห่างกันของ ซีพีเอ็น ก็ขึ้นข้อความว่า “โครงการนี้ตั้งอยู่ติดทางหลวงแผ่นดิน มิได้รุกล้ำพื้นที่ผู้ใด”


ขณะที่การจราจรเลนคู่ขนานบางนาตราด-สุวรรณภูมิ หน้าโครงการเซ็นทรัล วิเลจ เคลื่อนตัวช้าและติดสะสมเป็นระยะ เพราะมีรถหลายคันจอดบริเวณไหล่ทาง เพื่อขนอุปกรณ์เข้าไปตกแต่งภายใน ขณะที่ร้านค้าต่างๆ พนักงานต้องจอดรถริมทางเพื่อเข็นอุปกรณ์และขนสินค้าเข้าไปเช่นกัน เนื่องจากไม่สามารถนำรถไปจอดบริเวณที่จอดรถได้


เปิดเบื้องหลัง ทอท. ขวาง "เซ็นทรัลวิลเลจ"

เปิดเบื้องหลัง ทอท. ขวาง "เซ็นทรัลวิลเลจ"

          ส่งท้ายเดือน 8 ก้าวสู่เดือน 9 เดือนสุดท้ายของการทำงานของข้าราชการเกษียณ 
เดือนแห่งการแต่งตั้งโยกย้าย ตามประเพณีที่วิ่งกันฝุ่นตลบเช่นเคย และเข้าสู่โค้งสุดท้ายของปี ที่
ต้องวัดกันว่าเศรษฐกิจไทยจะโงหัวได้หรือไม่ หลังรัฐบาลสาดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจกว่า 3 
แสนล้านบาท
          ขณะที่บิ๊กสตอรียังคงจับตาไปที่ “ศึกช้างชนช้าง” สนั่นไปทั้งเมือง ระหว่าง 
“ทอท.” กับ “เซ็นทรัลวิลเลจ” ที่ทอท.ยอมเปลืองตัวเปิดศึกยก 2 หลังยกแรกทำอะไร
ไม่ได้ แต่คราวนี้ใช้วิธีตั้งเต๊นท์ขึงผืดกลางถนนห้ามรถเข้า-ออกโครงการที่จะเปิดในวันที่ 31 
สิงหาคมนี้ ซึ่งเหลืออีกไม่กี่วัน จนปั่นป่วน เพราะนักลงทุนต้องเดินเท้า แบกข้าวของ เข้า
ไปตกแต่งร้านค้าเพื่อให้ทันเปิดในสภาพทุกลักทุเล “งามหน้า” ทุนต่างชาติที่รัฐบาลสู้อุตส่าห์ 
อันเชิญให้เข้ามาลงทุน


          เบื้องหน้าเบื้องหลังเรื่องนี้เขารู้กันทั้ง“บาง” ว่าอะไรเป็นอะไร หากไม่ใช่เรื่อง
ของผลประโยชน์ เพราะโครงการ “เซ็นทรัลวิลเลจ” เป็นเอาต์เลตลักชัวรีหรูที่ตระกูล 
“จิราธิวัฒน์” ควักเงินลงทุนไป 5 พันล้านบาท ดึงแบรนด์เนมกว่า 130 แบรนด์ดังระดับ
โลกมาปักหลัก ลดราคากระหน่ำซัมเมอร์เซล 30-70% ในเนื้อที่กว่า 100 ไร่ หรือ 4 
หมื่นตารางเมตร “ปาดหน้าเค้ก” แค่ปลายจมูกร้านค้าในสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อรองรับ
นักท่องเที่ยวหัวดำ หัวแดง ก่อนขึ้นเครื่อง และคนไทยกระเป๋าหนัก ที่ตั้งเป้าไว้ถึง 65% 
ที่เหลือเป็นทัวริสต์ร่วม 40 ล้านคนต่อปี ที่หมายมั่นปั้นมือเป็นกลุ่มเป้าหมาย


          แน่นอนว่าเปิดบริการเมื่อไร สะเทือนทั้ง ดิวตี้ฟรี-รีเทล ในสนามบิน และ
ยาวไปถึงดิวตี้ฟรี ร้านขายยาโด๊ปทัวร์จีน ย่านศรีวารี บางนา จุกอกแน่นอน ยิ่งย้อนไปดู
สัมปทานดิวตี้ฟรีที่คิงเพาเวอร์คว้าไปนั้นมีการเสนอผลประโยชน์ให้ทอท.สูงสุดเป็นประวัติ
การณ์ “15,000 ล้านบาท” ต่อปี รีเทล “5,800 ล้านบาท” ขั้นต่ำตลอด 10 ปี 
ตามสัญญา จนเป็นที่หวั่นเกรงกันว่าเสนอผลตอบแทนมหาศาลขนาดนี้คงต้องปั้นยอดขาย
หาเงินกันมือเป็นระวิง


          ส่วนการประมูลรีเทลในสนามบินที่ผ่านมา “เซ็นทรัล” สนใจซื้อซอง
แต่ไม่สู้ราคา เพราะคงดีดลูกคิดแล้วไม่คุ้ม สู้ออกมาทำเอาต์เลตแบบสแตนด์อะโลน 
ข้างนอกดีกว่าและทั่วโลกเขาก็ล้วนมีโมเดล เอาต์เลตรอบสนามบินผุดเป็นดอกเห็ด มีแต่ 
“ไทยแลนด์” ที่ยังไม่มีและกลุ่มทุนค้าปลีกขนาดใหญ่ก็เพิ่งมาตื่นตัว ทยอยลงทุนกัน
ปีนี้และปักหลักโซนสุวรรณภูมิ บางนา ซึ่งนอกจากค่ายยักษ์ใหญ่อย่างเซ็นทรัลแล้ว 
เดอะมอลล์-สยามพิวรรธน์ เตรียมทยอยเปิดตัว โดยของเซ็นทรัลใกล้สนามบินและ
จะเปิดก่อนใครเพื่อน
          เรื่องนี้จึงมองเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เมื่อมีการใช้ “กรมธนารักษ์” 
เป็นตัวประกันยกเหตุจากการใช้พื้นที่ทางหลวงแผ่นดิน 370 ขึ้นมาเป็นข้ออ้างว่า 
“สิทธิ์” อยู่ในการดูแลของกรมทางหลวง หรือ ทอท. กันแน่ เพราะเป็นที่ดินที่ราชพัสดุ 
ซื้อมาด้วยเงินงบประมาณ เดิมอยู่ในการดูแลของธนารักษ์ ก่อนจะยกให้ กรมการบินพาณิชย์ 
(บพ.เดิม) และเป็นที่ดินคนละแปลงกับที่สร้างสนามบิน ซึ่งต้องพิสูจน์กันให้ชัดว่าใคร
กันแน่มีอำนาจที่แท้จริงในทางเข้า-ออกที่ดินผืนนี้ ในเมื่อตลอดทั้งเส้นทางก็มีการตัด
ทางเข้า-ออกหลายจุดเชื่อมโยงกัน
  
          เจอสถานการณ์บีบคั้นให้ “เซ็นทรัล” ต้องดับเครื่องชน และลุยเดี่ยว
ทั้งอาศัยอำนาจศาลขอคุ้มครองชั่วคราว และอื่นๆ ตามมา เพราะไม่ใช่ตัวเองที่ลำบาก 
แต่ยังมีผลต่อเนื่องถึงพันธมิตรต่างชาติที่เข้ามาร่วมทุน ที่พลอยได้รับผลกระทบตามมาด้วย
          ส่วนรัฐบาลก็รู้อยู่เต็มอกว่าอะไรเป็นอะไร แต่คงหวังจะพึ่งพาใครคงลำบาก 
เพราะเป็นรัฐบาลผสม รู้ๆ กันอยู่ ว่า “ไผเป็นไผ” คนของใครคุมทั้งกระทรวงคมนาคม
และมหาดไทย ผู้หลักผู้ใหญ่เองแม้จะบอกว่าไม่ชอบการ “ผูกขาด” การค้าที่ไม่เป็นธรรม 
แต่ก็ไม่มีใครกล้าแสดงออกนอกหน้า เรื่องก็มีประการฉะนี้ท่านผู้ชม !!

ไพบูลย์โมเดล : ไม่ยึดติดเก้าอี้หัวหน้าพรรค แต่ “ผมจะเป็น ส.ส. บัญชีรายชื่อของ พปชร.”

ไพบูลย์โมเดล : ไม่ยึดติดเก้าอี้หัวหน้าพรรค แต่ “ผมจะเป็น ส.ส. บัญชีรายชื่อของ พปชร.”

ไพบูลย์Image copyrightSTR/BBC THAI
พรรคประชาชนปฏิรูป (ปชช.) ซึ่งมีอายุเพียง 10 เดือน กำลังจะกลายเป็นเพียงอดีตไปแล้ว หลังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติเมื่อ 26 ส.ค. ให้ประกาศการสิ้นสภาพของ ปชช. ในราชกิจจานุเบกษา ท่ามกลางความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับสถานะของ ไพบูลย์ นิติตะวัน หัวหน้าพรรค และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เพียงหนึ่งเดียวของพรรค
"น้อมนำคำสอนพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหา 'ทุกข์ร้อน' ให้กับประชาชน คืองานของพรรคประชาชนปฏิรูป" คำขวัญประจำพรรคได้กลายเป็นภาพลักษณ์ประจำตัวของ ไพบูลย์ ในช่วงรณรงค์เลือกตั้ง 24 มี.ค. 2562
การใช้ชื่อพระพุทธเจ้าหาเสียง ทำให้ ไพบูลย์กับพวก ถูกวิจารณ์อย่างหนักจากองค์กรชาวพุทธ แต่ถึงกระนั้น ปชช. ก็เดินเข้าสู่สนามเลือกตั้งได้ตลอดรอดฝั่ง เนื่องจาก กกต. เห็นว่าไม่ขัดต่อบทกฎหมายใด และทำให้ภารกิจสนับสนุน พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้เป็นนายกรัฐมนตรีสมัย 2 สำเร็จ-สมใจ
เมื่อ ปชช. ประกาศ "เลิกพรรค" ไพบูลย์ จึงมิลืมน้อมนำคำสอนพระพุทธเจ้ามาประกอบการตัดสินใจ
"ทุกอย่างมันคือความไม่เที่ยง อนิจจตา อย่าไปยึดมั่นถือมั่น" ไพบูลย์ กล่าวกับบีบีซีไทย
ไพบูลย์ กล่าวว่า แนวคิดในการ "เลิกพรรค" เกิดขึ้นจากการที่พรรคมี ส.ส. เพียงคนเดียวในสภา คณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) บางส่วนจึงไม่อยากทำงานต่อ ขอลาออก เพราะเป็นงานที่อาศัยความเสียสละ และเสียทรัพย์สินเงินทอง
"เมื่อเขา (กก.บห.) ไม่เห็นประโยชน์ เราก็ต้องปล่อยวาง อย่าไปยึดมั่นถือมั่นว่าต้องเป็นหัวหน้าพรรค ตถตา มันก็เป็นเช่นนั้นเอง"
โคว้ดพิค

งัดสารพัด กม. ตีความ ขอ "เลิกพรรค" = "ยุบพรรค"

นอกจากอ้างถึงหลักธรรมเป็นหลังพิง ไพบูลย์ ยังต้องเผชิญหน้ากับสารพัดปมปัญหาทางกฎหมาย
ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมืองปี 2560 กำหนดว่าการย้ายสังกัดของ ส.ส. เกิดขึ้นได้ใน 2 กรณีคือ ถูกที่ประชุม กก.บห. และ ส.ส. ของพรรคต้นสังกัดลงมติ "ขับพ้นพรรค" ต้องหาสังกัดใหม่ภายใน 30 วัน หรือ "พรรคถูกสั่งยุบ" ต้องหาสังกัดใหม่ภายใน 60 วัน แต่กรณี "ขอยุบตัวเอง" เพื่อย้ายไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคอื่น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก
ทว่า ไพบูลย์ ยืนกรานว่า ปชช. ไม่ได้ "ขอยุบพรรคตัวเอง" แต่เป็นการ "ขอเลิกพรรค" ซึ่งกฎหมายเปิดช่องให้ทำได้
พ.ร.ป. พรรคการเมือง มาตรา 91 (7) กำหนดว่าพรรคการเมืองจะสิ้นสภาพความเป็นพรรคเมื่อ "เลิกตามข้อบังคับพรรค" และวรรคสี่ระบุว่า "เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองสมาชิกที่เป็น ส.ส. ให้ถือว่าการสิ้นสภาพของพรรคการเมืองตามมาตรานี้ เป็นการถูกยุบพรรคการเมือง"
ขณะที่ข้อบังคับ ปชช. ข้อที่ 122 เขียนไว้ว่า "ให้การยกเลิกพรรคเป็นไปตามมติของ กก.บห." ซึ่ง ไพบูลย์ บอกว่า มี กก.บห. จำนวน 16 จาก 27 คนมาร่วมประชุมนัดส่งท้าย ก่อนมีมติเป็น "เอกฉันท์" ให้ยื่นคำร้องต่อ กกต. เพื่อขอเลิกกิจการพรรค เมื่อ 5 ส.ค.
สมัคร ส.ส.Image copyrightWASAWAT LUKHARANG/BBC THAI
เป็นไปได้หรือไม่ที่ ไพบูลย์กับพวก จงใจกำหนดสถานะของ ปชช. เป็น "พรรคเฉพาะกิจ" ตั้งแต่ต้น จึงเขียนข้อบังคับพรรคให้พร้อมยุบ-เลิกกิจการได้ทุกเมื่อ ?
"พรรคไหน ๆ ก็ทำแบบนี้กันทั้งนั้นล่ะ" เขาแจกแจงทันควัน พลางยกเหตุผลประกอบว่าทุกพรรคการเมืองต้องเขียนข้อบังคับพรรคให้สอดคล้องกับเนื้อหาในกฎหมายลูก และย้ำว่า ปชช. ไม่ใช่พรรคการเมืองแรกที่ขอเลิกพรรค เพราะนับจากประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 มี 29 พรรคที่เลิกกิจการไปแล้ว เนื่องจากไม่สามารถดำเนินการทางธุรการได้ตามเวลาที่กฎหมายกำหนด หรือเลิกพรรคเองก็มี เพียงแต่พรรคเหล่านั้นไม่มี ส.ส. จึงไม่เป็นที่สนใจของสังคม

ปัดติดเงื่อนไขรอ "เคลียร์สมบัติเก่า" ใน 180 วัน เดินหน้าเข้า พปชร. ใน 60 วัน

สิ่งที่ ไพบูลย์ ผู้เป็น ส.ส. เพียงหนึ่งเดียวของ ปชช. ต้องทำภายใน 60 วันคือเร่งหาต้นสังกัดใหม่ ไม่เช่นนั้นสมาชิกภาพ "ผู้แทนปวงชนชาวไทย" ของเขาจะสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (10)
พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) คือ "บ้านใหม่" ที่ ไพบูลย์ หมายมั่นปั้นมือว่าจะโยก-ย้ายเข้าไปอยู่ ถึงขั้นดอดไปแสดงความจำนงผ่าน พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการยุทธศาสตร์ พปชร. ว่า "จะไปช่วยงานด้านกฎหมาย" แต่ขณะนี้เขายังติดภารกิจ "เก็บกวาดบ้านเก่า" ต้องส่งบัญชีและงบแสดงฐานะทางการเงิน และเอกสารการเงินของพรรคการเมืองภายใน 30 วันนับแต่วันที่พรรคสิ้นสภาพ และให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ชำระบัญชีให้เสร็จสิ้นภายใน 180 วันนับแต่รับแจ้ง
ลุงป้อมImage copyrightกองโฆษก พปชร.
คำบรรยายภาพพล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ เข้าไปยังที่ทำการพรรคพลังประชารัฐ เป็นครั้งแรกเมื่อ 20 ส.ค. หลังตอบรับทำหน้าที่ประธานกรรมการยุทธศาสตร์พรรค
พ.ร.ป. พรรคการเมือง มาตรา 95 วรรคสอง กำหนดให้หัวหน้าพรรคและ กก.บห. "ยังคงต้องปฏิบัติหน้าที่อยู่จนกว่าการชำระบัญชีจะแล้วเสร็จ แต่จะดำเนินกิจกรรมทางการเมืองในนามพรรคการเมืองที่สิ้นสภาพหรือยุบมิได้" ทำให้เกิดการตีความกันว่าหัวหน้า ปชช. อาจย้ายไปสังกัด พปชร. ไม่ทันใน 60 วัน และทำให้แกนนำ พปชร. ออกอาการ "แบ่งรับ-แบ่งสู้" แทนที่จะเปิดบ้านรอ "ต้อนรับขับสู้" ว่าที่สมาชิกพรรคคนใหม่
วาทะ "ต้องไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อยก่อน" จึงหลุดจากปาก ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช. เกษตรและสหกรณ์ของ พปชร. ในฐานะ "มือประสานงานพรรคจิ๋ว"
เกี่ยวกับประเด็น "เคลียร์ตัวเอง-เคลียร์สมบัติเก่า" ไม่ทำให้นักการเมืองที่หวังจะไปร่วมชายคา พปชร. ต้องสะทกสะท้าน เพราะเห็นว่าพวกที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เขาในเรื่องนี้ "อ้างกฎหมายผิด" พร้อมยืนยันว่าเมื่อ กกต. ประกาศราชกิจจานุเบกษาให้พรรคเลิกกิจการแล้ว การเป็นสมาชิกพรรคและหัวหน้าพรรคก็จะสิ้นสุดลง
"มันเหลือแต่ชื่อเพื่อไว้คอยตอบข้อซักถามของ สตง. เท่านั้น" และ "ผมแค่ไปสมัครเป็นสมาชิก พปชร. ชำระเงิน แล้วนำหลักฐานไปแจ้งต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง ก็ถือว่ามีสมาชิกภาพ ส.ส. ต่อแล้ว"

"ผมจะเป็น ส.ส. บัญชีรายชื่อของ พปชร."

คำถามต่อมาคือ หาก พปชร. รับ ไพบูลย์ เข้าสังกัด เขาจะเป็นผู้แทนฯ ประเภทใด ?
ไพบูลย์ ไม่มีชื่อในบัญชี 150 ผู้สมัคร ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ (ปาร์ตี้ลิสต์) ของ พปชร. แต่เข้าสภามาได้ในฐานะ ส.ส. ปาร์ตี้ลิสต์ของ ปชช. เขาจะเป็นปาร์ตี้ลิสต์เบอร์เท่าไร หรือเขาจะเป็น "ส.ส. เฉย ๆ" ที่จำแนกประเภทไม่ได้ตามที่นักวิชาการบางคนคาดการณ์
"ผมจะเป็น ส.ส. บัญชีรายชื่อของ พปชร." เขาประกาศ
เขากล่าวต่อไปว่า ผู้สมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ พอได้เป็น ส.ส. ก็ถือว่าพ้นจากบัญชีไปแล้ว กลายเป็น ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อ เวลาขานชื่อในสภาก็ไม่มีใครมานั่งพูดว่าในลำดับใด พูดแค่ว่าเป็น ส.ส.
"เรื่องการจัดลำดับ เป็นเรื่องของคนที่ยังไม่ได้เป็น ส.ส. แต่ผมเข้าไป พปชร. ในฐานะที่เป็น ส.ส. อยู่แล้ว จึงไม่ต้องไปจัดลำดับอะไร"

"ไม่เข้าใจ" พวกคำนวณ 4.5 หมื่นเสียงของ ปชช. และ "ไม่เกี่ยว" ลัทธิเอาอย่างจาก "ไพบูลย์โมเดล"

ปชช. เป็น 1 ใน 10 "พรรคจิ๋ว" หรือพรรคการเมืองที่มีที่นั่งในสภาพรรคละคนด้วยการปัดเศษทศนิยมตาม "สูตรคำนวณ ส.ส." ของ กกต. ทั้งที่ได้รับคะแนนมหาชน (ป๊อปปูลาร์โหวต) ไม่ถึงเกณฑ์มี "ส.ส. พึงมีได้" 1 คน หรือได้ 71,123.112 คะแนน
ปชช. เป็นพรรคอันดับ 4 จากท้ายตารางพรรคที่มีที่นั่งในสภา ได้คะแนนมหาชน 45,420 คะแนน จากการส่งผู้สมัคร ส.ส. แบบแบ่งเขต 311 คน และแบบบัญชีรายชื่อ 40 คน
พรรคจิ๋วImage copyrightTHAI NEWS PIX
คำบรรยายภาพนายอุตตม สาวนายน หัวหน้า พปชร. รับหนังสือแสดงเจตนารมณ์สนับสนุน พปชร. เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลจาก 11 พรรคการเมืองที่มีเสียงเดียวในสภา เป็นลายเซ็นของ ส.ส. 11 คน เมื่อ 13 พ.ค.
คะแนนที่ได้มา เพียงพอต่อการส่งหัวหน้าพรรคในฐานะผู้สมัคร ส.ส. ปาร์ตี้ลิสต์หมายเลข 1 เข้าสภาได้ แต่เมื่อ ปชช. ขอ "เลิกพรรค" จึงเกิดคำถามตามมามากมาย อาทิ คะแนน 4.5 หมื่นเสียงของ ปชช. ยังอยู่หรือไม่หลังเลิกพรรค และอยู่อย่างไร ? คะแนนจะติดตามตัว ไพบูลย์ ไปที่พรรคใหม่ด้วยหรือในเมื่อประชาชนเลือก ปชช. ไม่ใช่ พปชร. ? การย้ายพรรคของหัวหน้า ปชช. ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และไม่เป็นธรรมกับสมาชิกคนอื่นหรือไม่ ? กกต. ต้องคำนวณ ส.ส. บัญชีรายชื่อใหม่ทั้งระบบหรือไม่ โดยตัดทุกคะแนนของ ปชช. ออก ?
ทุกคำถามที่ดังขึ้นจากรอบด้านทั้งนักวิชาการและนักการเมืองขั้วตรงข้าม ไพบูลย์ ได้ยิน แต่คำตอบของเขามีเพียงสั้น ๆ ว่า "พอพรรคสิ้นสภาพไป ผมก็ไม่เกี่ยวแล้ว ไม่เข้าใจพวกที่ไปคิดเรื่องคะแนน เพราะในรัฐธรรมนูญไม่ได้เขียนเรื่องนี้ไว้ เมื่อไม่เขียนไว้ในกฎหมาย ก็ไม่ต้องทำอะไร"
ปฏิเสธไม่ได้ว่า "ไพบูลย์โมเดล" มีแนวโน้มก่อให้เกิด "ลัทธิเอาอย่าง" กับบรรดา "พรรคจิ๋ว" ซึ่งน่าจะหนาว ๆ ร้อน ๆ ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งซ่อม เพราะไม่รู้ว่าจะยึดเก้าอี้ ส.ส. เอาไว้ได้นานแค่ไหน เพื่อสร้าง "หลักประกันทางอำนาจ" การ "ยุบพรรคตัวเอง" แล้วโยก-ย้ายไปอยู่พรรคใหญ่อาจการันตีสถานะ ส.ส. ได้ดีกว่า
ไพบูลย์ หลีกเลี่ยงจะให้ความเห็นประเด็นนี้ โดยกล่าวเพียงสั้น ๆ ว่า "ถ้ามีเหตุให้สิ้นสภาพ เขาก็เลิกพรรคได้ตามกฎหมาย ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับผม"

คนถือศีล 5 ประกาศฟ้อง 2 นักวิจารณ์ แต่อนุโมทนาการทำหน้าที่สื่อ

ป้ายหาเสียงไพบูลย์Image copyrightWASAWAT LUKHARANG/BBC THAI
อย่างไรก็ตาม ไพบูลย์ ผู้ออกตัวว่าถือศีล 5 ไม่เคยขาด อ่านหนังสือธรรมพุทธทาสภิกขุเป็นประจำ ศึกษาธรรมอยู่กับบ้าน ออกไปทำงานประหนึ่งไปปฏิบัติธรรมและเรียกมันว่าการ "ถือบวชที่สภา" ได้ประกาศฟ้องดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาทกับนักวิจารณ์อย่างน้อย 2 คนคือ บุญยอด สุขถิ่นไทย อดีต ส.ส. กทม. พรรคประชาธิปัตย์ และ เจษฎ์ โทณะวณิก อดีตที่ปรึกษากรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) หลังใช้คำว่า "ยุบพรรคตัวเอง" และ "เผาบ้านเอาประกัน" ซึ่งทำให้เขารูสึกได้รับความเสื่อมเสีย แต่กับสื่อมวลชนที่นำข้อวิพากษ์ของทั้ง 2 คนมาเผยแพร่ต่อ ไพบูลย์ยืนยันว่าจะไม่ดำเนินคดีใด ๆ เพราะเข้าใจว่าเป็นการทำหน้าที่
"ก็ขออนุโมทนาด้วย สาธุ ๆ ๆ" ไพบูลย์ กล่าวทิ้งท้ายบทสนทนา