PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ขอเชิญ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” อ่านบทความนี้!?

ขอเชิญ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” อ่านบทความนี้!?
โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์30 พฤศจิกายน 2553 17:12 น.
การปราศรัยของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ บนเวทีสัมมนาเครือข่ายแกนนำพรรคในเขตเลือกตั้ง ที่โรงแรมนานาบุรี อ.เมือง จ.ชุมพร เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2553 ได้ปรากฏเป็นข่าวโดยเห็นวิธีคิดของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ว่ามองการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นอย่างไร?
      
       การปราศรัยในวันนั้นไม่ได้เจาะจงเฉพาะตัวนายสนธิ ลิ้มทองกุล อย่างที่นายสุเทพ พยายามกลับลำเบี่ยงเบนประเด็นในการให้สัมภาษณ์กับนักข่าวเท่านั้น แต่ยังให้ร้ายการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอีกด้วย โดยในการสัมภาษณ์ดังกล่าวมีเนื้อความบางตอนว่า:
      
       “ที่ผ่านมามีการออกมาเคลื่อนไหว มีการระดมมวลชนกันมากอย่างน่าตกใจ มีความวุ่นวาย 3-4 ปีมาแล้ว กลุ่มที่เคลื่อนไหวมีการพัฒนาไปมาก มีการปลุกระดม ใช้เครื่องไม้เครื่องมือ มีการใช้สื่อ วิทยุ โทรทัศน์ สิ่งพิมพ์ ยกตัวอย่าง กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) มีหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ มีสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี มีการโฆษณาแนวทางของตัวเองทุกวัน ซึ่งวิธีดังกล่าวทำให้มีการโฆษณาได้อย่างมาก การกระทำดังกล่าวสามารถระดมคนเป็นหมื่นๆ ทำงานการเมืองต่อกันได้ และกลุ่มการเมืองจากหลายๆ ฝ่าย เช่น กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) มีแกนนำเป็น ส.ส.พรรคเพื่อไทย มีสื่อสิ่งพิมพ์ มีวิทยุชุมชน และสถานีโทรทัศน์พีทีวี เมื่อถึงเวลาสามารถปลุกระดมคนได้มีแสนๆ คน มีการเผาบ้านเผาเมือง มีคนตายจำนวนมาก แต่ที่น่าเสียดายคือ คนส่วนใหญ่ของประเทศอยู่เฉยๆ ไม่แสดงออกอะไร”
      
         “ผมขอยืนยันว่าแนวทางของพรรคประชาธิปัตย์คือระบบประชาธิปไตยคือการปกครองโดยประชาชน มาจากประชาชน และทำเพื่อประชาชน วันนี้พี่น้องต้องทำหน้าที่ให้เข้มแข็ง จะปล่อยให้พวกเสื้อแดง เสื้อเหลือง ออกมาอาละวาด ทำร้ายประชาชนผิดทิศผิดทางไม่ได้อีกแล้ว ประชาธิปไตยไม่ใช่การเดินขบวน ประชาธิปไตยไม่ใช่การเผาบ้านเผาเมืองแล้วบังคับให้รัฐบาลทำอย่างนั้นอย่างนี้ เราต้องพูดกับลูกเราหลานเราถึงการปกครองที่ถูกต้องคือการใช้เหตุใช้ผล มีกฎหมายเป็นบรรทัดฐาน ทุกคนต้องถูกปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันตามกฎหมาย เพื่อประโยชน์ของส่วนร่วม ไม่ใช่ประโยชน์ของทักษิณ (ชินวัตร) ไม่ใช่ประโยชน์ของสนธิ (ลิ้มทองกุล)”
      
         “ถ้าถามผมๆ ว่าสองคนนี้เลวพอกันเลย นี่พูดอย่างเปิดเผย เพราะเอาตัวเองเป็นที่ตั้งไม่ใช่ประเทศไทยเป็นที่ตั้ง ปัจจุบันได้แสดงตัวตนออกมาแล้ว 2 ปีด่าผมทุกวัน ผมก็เฉย มา 4-5 วันด่าอภิสิทธิ์ บอกว่าอภิสิทธิ์เนรคุณ ได้เป็นนายกฯ เพราะมัน แต่ไม่จริงเพราะไม่ได้เข้าไปยกมือในสภาเลย นี่ชัดเจน มีปัญหาวันนี้เพราะบังคับห้ามให้อภิสิทธิ์ทำอย่างนั้นอย่างนี้เพื่อประโยชน์ของมัน แต่ทำไม่ได้เพราะนายกฯ ต้องทำเพื่อประเทศไทย ประชาชนคนไทย ไม่ใช่ของใครกลุ่มใด” 
      
       “กำลังชี้ให้เห็นว่า ขบวนการของคนเหล่านี้และบริวารของคนเหล่านี้กำลังเป็นอันตรายกับประเทศ ตนทำบ้านเมืองสงบมาดีๆ นายสนธิ ลิ้มทองกุล  พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ประกาศอีกว่าวันที่ 11 ธันวาคมจะชุมนุมใหญ่อีกแล้ว ดังนั้น เป็นหน้าที่ของพวกเราจะต้องแสดงพลัง แสดงความเป็นปึกแผ่นของเรา พลังประชาชนถึงแม้เป็นพลังเงียบแต่ถ้าไม่สนับสนุน ก็ให้สนธิ-จำลองไปเดินสองคนดูว่าจะไปสักกี่น้ำ คนที่จะไปจากบ้านเราๆ ห้ามหมด คนที่มาจากที่อื่นก็ทำเหมือนกัน ดูว่าจะทำไงได้ บางทีพี่น้องประชาชนมัวแต่ทำมาหากินไม่ได้รู้ข่าวสารบ้านเมือง ไปฟังวิทยุเขา ดูทีวีเขาก็จะหลงเชื่อ มาวันนี้เราต้องมาพัฒนาความสามารถของเรา จะให้พวกนี้มาทำปู้ยี้ปู้ยำบ้านเมืองไม่ได้”
      
       เมื่อได้อ่านข้อความแล้วก็พอจะเป็นการตอกย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าคนระดับเป็นเลขาธิการพรรค และรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง มองการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนแบบไม่แบ่งแยก ไม่เห็นคุณค่าการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย คิดอยู่ในรอยหยักของสมองว่าการเคลื่อนไหวเดินขบวนไม่ใช่ประชาธิปไตยมีแต่สร้างความวุ่นวาย และกล่าวให้ร้ายว่าการเคลื่อนไหวของนายสนธินั้นทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว
      
       คำถามมีอยู่ว่าถ้าการเคลื่อนไหวของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล และขบวนการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายอย่างที่นายสุเทพกล่าวแล้ว เหตุใดคำพูดเหล่านี้ไม่หลุดออกมาจากปากเลยในเวลาที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยคัดค้านต่อต้านขับไล่ขบวนการในระบอบทักษิณ!?
      
       15 พฤษภาคม 2549 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ก่อนที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะมีมติให้มีการออก พ.ร.ฎ.เลือกตั้งในวันที่ 22 ส.ค. และกำหนดวันที่เลือกตั้งใหม่ในวันที่ 22 ต.ค. ว่า
      
       “ขณะนี้ยังไม่สามารถคลี่คลายปัญหาต่างๆ ได้ หาก กกต.ชุดนี้ยังดึงดันที่จะอยู่ในตำแหน่งต่อไป เพราะผมไม่มีความเชื่อถือ กกต.ชุดนี้ และเห็นว่าไม่มีความชอบธรรมที่จะทำหน้าที่ต่อไป ผมจึงได้ฟ้องคดีอาญาต่อ กกต. ซึ่งเท่ากับว่าขณะนี้เป็นคู่กรณีกับ กกต.แล้ว อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวเห็นด้วยกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่จะเคลื่อนไหวขับไล่ กกต. และคิดว่าประชาชนทั่วประเทศก็ควรจะทำเหมือนกับกลุ่มพันธมิตรฯ เพราะ กกต.ชุดนี้สงสัยจะเอาไว้ไม่ได้”
      
       ถ้าไม่มี นายสนธิ ลิ้มทองกุล มาลงทุนขายทรัพย์สินส่วนตัว กู้หนี้ยืมสินมาทำสื่อเพื่อเปิดโปงความเลวร้ายของระบอบทักษิณอย่างทรงพลังที่สุดในยุคนั้น นายสุเทพ เทือกสุบรรณ จะมีสติปัญญาอันใดที่จะทำให้ประชาธิปัตย์มามีอำนาจได้ ทั้งๆ ที่ในปี 2548 นั้นพรรคไทยรักไทยด้วยความนิยมเฟื่องฟูอย่างที่สุด และครอบงำองค์กรอิสระได้มากที่สุด
      
       ถ้านายสนธิ ลิ้มทองกุล เลือกที่จะเอาใจรัฐบาลทักษิณ เชียร์ต่อเนื่องกันไป ทำมาหากินกับฟรีทีวีโดยกับรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ทางช่อง 9 อสมท ที่มีเรตติ้งสูงสุด หรือเจรจารับผลประโยชน์ที่ฝ่ายระบอบทักษิณจำนวนมหาศาลเพื่อประโยชน์กับตัวเองและองค์กรธุรกิจก็คงทำได้ไปนานแล้ว แต่กลับไม่ทำเช่นนั้นเลือกออกมาต่อสู้โดยไม่เห็นฝั่งที่จะชนะได้ โดยเอาธุรกิจในเครือผู้จัดการเป็นเดิมพันนั้น จะกล่าวได้อย่างไรว่าเป็นผลประโยชน์ส่วนตัว!!?
      
       ถ้าไม่มีขบวนการของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย คงไม่มีเหตุใดๆ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรจะมีการยุบสภาตั้งแต่ปี 2549 และคงไม่มีสาเหตุที่ทหารจะนำเป็นข้ออ้างในการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ใช่หรือไม่?
      
       ปี 2551 การเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยถึงกับต้องเสียสละด้วย เลือด เนื้อ ชีวิต ของประชาชนจำนวนมาก ก็เพราะปกป้องอธิปไตยของชาติ คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อฟอกความผิดให้กับนักการเมืองหรือเพื่อผลประโยชน์นักการเมือง และขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิดของระบอบทักษิณ
      
       จำกันได้หรือไม่ว่ามี “น้องโบว์” น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ คือ “เด็กดี ที่ช่วยปกป้องชาติ และราชบัลลังก์” ที่นักการเมืองหลายคนในวันนี้ที่ได้เคยไปเข้าร่วมงานพระราชทานเพลิงศพมาแล้ว รวมถึงวีรชนที่เสียสละชีวิตอีกหลายคน นักการเมืองในรัฐบาลชุดปัจจุบันเคยมีหัวจิตหัวใจหรือไม่ว่าการที่เขาต้องเสียสละในครั้งนั้น ถูกเรียกว่าเป็นการสร้างความปั่นป่วน วุ่นวาย มันเป็นธรรมหรือไม่?
      
       ถ้าไม่มี นายสนธิ ลิ้มทองกุล ไม่มีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และไม่มีประชาชนที่ต้องเสียสละตลอด 193 วัน ของปี 2551 ป่านนี้รัฐธรรมนูญปี 2550 คงถูกฉีกทิ้ง ศาลรัฐธรรมนูญก็จะพิพากษายุบพรรคพลังประชาชนไม่ได้ ก็คงจะไม่เกิดปรากฏการณ์ที่ทหารสามารถมาเจรจานักการเมืองให้แตกออกมาเป็นงูเห่ายกมือในสภาให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ใช่หรือไม่?
      
       ถ้า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ จำความไม่ได้ว่านายสนธิ ลิ้มทองกุล และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยสร้างความวุ่นวายให้กับประเทศชาติสร้างความอึดอัดใจให้กับพรรคประชาธิปัตย์เพียงใดในปี พ.ศ. 2551 ลองไปดูข่าวการสัมภาษณ์ของ นายเทพไท เสนพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ได้แถลงที่พรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2551 ว่า:
      
       “พรรคประชาธิปัตย์ได้ยกระดับการต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ให้เป็นเรื่องเทียบเท่ากับการคว่ำบาตรการเลือกตั้ง 2549 และการต่อสู้คดียุบพรรค พรรคมีมติตั้งคณะทำงานยุทธศาสตร์เพื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญมี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธาน มีนายบัญญัติ บรรทัดฐาน ส.ส.สัดส่วน เป็นประธาน ส.ส.ทั้ง 164 คน และผนึกกำลังต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับองค์กรประชาชนที่มีแนวความคิดต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เบื้องต้นพรรคสนับสนุนให้สมาชิกพรรคเข้าร่วมกิจกรรมวิชาการของกลุ่มต่างๆ และจะไม่ปิดกั้น ส.ส. เข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ แต่ต้องไปในนามส่วนตัว”
      
       ปี 2553 นี้ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยังคงชุมนุมเคลื่อนไหวเหมือนเดิม คือเหมือนเมื่อปี 2551 เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อผลประโยชน์ของนักการเมืองกันเอง และคัดค้านความเสียเปรียบเรื่องดินแดนที่ไทยไปดำเนินการกับกัมพูชา
      
       คำถามมีอยู่ว่า หากทำประชามติในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อแสดงความเคารพต่อประชาชนที่ลงประชามติ 14.7 ล้านเสียง และประชาชนที่เสียสละชีวิตบาดเจ็บล้มตายเมื่อปี 2551 ได้สำเร็จตามข้อเรียกร้องของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นายสนธิ ลิ้มทองกุล หรือพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จะได้ประโยชน์อันใดเป็นการส่วนตัว?
      
       คำถามมีอยู่ว่า หากรัฐบาลยกเลิกข้อผูกพันตามแผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 ทั้งปวงที่ไทยได้ทำกับกัมพูชา และผลักดันกองกำลังทหาร ชุมชนชาวกัมพูชาให้ออกจากดินแดนไทย พร้อมทั้งถอนตัวออกจากมรดกโลกเพื่อหยุดยั้งการบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารได้สำเร็จแล้ว นายสนธิ ลิ้มทองกุล และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จะได้ประโยชน์อันใดเป็นการส่วนตัว?
      
       คำถามมีอยู่อีกว่า หากรัฐบาลหยุดคอร์รัปชัน โกงบ้านกินเมือง นายสนธิ ลิ้มทองกุล และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะได้ประโยชน์อันใดเป็นการส่วนตัว?
      
       คำตอบคือเราไม่ได้ประโยชน์ส่วนตัวใดๆ การทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลอย่างเข้มข้นนอกจากจะไม่มีทางได้เวลาทางฟรีทีวีหรือสื่อของรัฐ และไม่มีทางได้รับการสนับสนุนจากงบประมาณโฆษณาจากภาครัฐแล้ว ยังต้องได้รับผลกระทบจากโฆษณาจากเอกชนต้องลดลงด้วยเพื่อมิให้เป็นศัตรูกับรัฐบาลอีกด้วย
      
       จุดยืนและเนื้อหาของนายสนธิ ลิ้มทองกุล และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่เคลื่อนไหวยังคงเหมือนเดิมไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่ที่เปลี่ยนคือรัฐบาลเปลี่ยนขั้วจากระบอบทักษิณมาเป็นรัฐบาลประชาธิปัตย์มาแสวงประโยชน์ผลประโยชน์ของนักการเมืองและพรรคพวกแทนต่างหาก ใช่หรือไม่?
      
       ลองย้อนกลับไปเมื่อปี 2551 ก็จะเห็นอย่างชัดเจนว่า ประโยคที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ พูดเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2553 ว่า “สนธิ ทำประโยชน์อะไรให้กับประเทศชาติบ้านเมืองบ้าง? มันเป็นประโยคเดียวกันกับที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ได้เคยพูดเมื่อ วันที่ 27 มีนาคม 2551 เพื่อลดความน่าเชื่อถือของฝ่ายที่ตรวจสอบตัวเอง อย่างไม่มีผิดเพี้ยน
      
       วันนี้ขบวนการพิมพ์ใบปลิว ทำซีดี จัดตั้งเครือข่ายโพสต์ตามอินเทอร์เน็ต ของเครือข่ายการเมืองของรัฐบาลแทบจะลอกข้อกล่าวหาของเสื้อแดงในอดีตที่ล้าสมัย ได้ถูกนำมาใช้เพื่อให้ร้ายนายสนธิ ลิ้มทองกุล และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพียงเพื่อลดความน่าเชื่อถือมิให้ตรวจสอบรัฐบาลตัวเอง เหมือนกันกับระบอบทักษิณทุกประการ ใช่หรือไม่?
      
       ต้องถาม นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กลับว่า คำพูดที่เคยพูดเอาไว้เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2551 ในพรรคประชาธิปัตย์เพื่อให้ยอมยกตำแหน่งสำคัญให้พรรคร่วมรัฐบาลว่า “ไม่มีเขา เราก็ไม่ได้เป็นรัฐบาล” กับคำพูดที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณเคยพูดเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2552 ว่า “กลุ่มเสื้อแดงและเหลือง ซึ่งเป็นอันตรายต่อประเทศ” ก็เพียงพอจะบอกได้แล้วว่า คนอย่างนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นคนที่เอาแต่ได้ มองแต่ประโยชน์ในเชิงอำนาจและผลประโยชน์ของตัวเอง และพรรคการเมืองของตัวเองแต่เพียงอย่างเดียวใช่หรือไม่?
      
       เวลาพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยออกมาเคลื่อนไหวเรื่องทุจริตคอร์รัปชัน การเสียดินแดน และการแก้ไขรัฐธรรมนูญกับระบอบทักษิณ นักการเมืองอย่างนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และพรรคประชาธิปัตย์ก็ออกมาสนับสนุน ดังนั้น เมื่อพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเคลื่อนไหว “ในเรื่องเดียวกัน” มาใช้กับรัฐบาลชุดปัจจุบันกลับถูกให้ร้ายว่าเป็นพวกสร้างความปั่นป่วน วุ่นวาย หมกมุ่นมากไป จินตนาการเกินไป สมาธิสั้น ปู้ยี้ปู้ยำบ้านเมือง ฯลฯ มันไม่น่าเกลียดทรยศประชาชนที่เสียสละมากไปหน่อยหรือ?
      
       นักการเมืองเหล่านี้จะเคยรู้สึกอับอายกันบ้างหรือไม่ว่า ที่ประชาชนเขาต้องบาดเจ็บล้มตายจนเปลี่ยนขั้วรัฐบาลในวันนี้ แต่ผลโพลหลายครั้งระบุว่าประเทศไทยได้รัฐบาลที่มีพฤติกรรมทุจริตคอร์รัปชันหนักขึ้น สังคมเสื่อมทรามยอมรับกับการโกงได้มากขึ้นเพราะคนโกงไม่ถูกลงโทษ แม้แต่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ออกมาให้ร้ายนายสนธิ ลิ้มทองกุล และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็เป็นบุคคลที่มีผลโพลระบุว่ามีภาพลักษณ์ความโปร่งใสต่ำที่สุด ใช่หรือไม่?
      
       แค่รัฐบาลปล่อยให้นักการเมืองโกงกินบ้านเมืองมากขึ้นก็ถือว่าทรยศ เนรคุณประเทศชาติประชาชนกันอยู่แล้ว ยังจะมีหน้ามากล่าวให้ร้ายนายสนธิ และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอีกอย่างที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้
      
       มันมิหน้าด้านไปหน่อยหรือครับท่าน!? 

ไม่มีความคิดเห็น: