PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เผย..สงครามสะท้านโลก อดีต ปัจจุบัน ส่องอนาคต ตั่วเฮียจีน อาตี๋ไทย

แฉ..ความลับ เพิ่ม 24 รูปภาพใหม่
วันที่ 12 มิ.ย. 57 เผย..สงครามสะท้านโลก อดีต ปัจจุบัน ส่องอนาคต ตั่วเฮียจีน อาตี๋ไทย
เรื่องการแทรกแซง กิจการภายในประเทศอื่น และก่อสงครามแตกแยกไปทั่วโลก ไม่มีใครเกินรัฐบาลอเมริกา สงครามที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้ ทั้งสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 และสงครามย่อยๆ ในภูมิภาคต่างๆ และในประเทศใหญ่ กลาง เล็ก ล้วนมีรัฐบาลอเมริกา อยู่เบื้องหน้า หรือเบื้องหลังทั้งสิ้น
ที่ใกล้ตัวคนไทยจนสัมผัสกลิ่นดินปืนได้ ก็คือ สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่อเมริกาถึงกับมาตั้งฐานทัพ และส่งกำลังทหารมาประจำในประเทศไทย , การทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ที่เมืองฮิโรชิมา กับนางาซากิ ของญี่ปุ่น ที่ทำให้ทั้ง 2 เมืองราบพนาสูญ ประชาชนล้มตายกองเท่าภูเขาเลากา พิการอีกมากคนานับ
ต่อมาก็สงครามเกาหลี จนแยกเกาหลีออกเป็นเหนือไต้ ในปัจจุบัน สงครามในเวียดนาม ที่สร้างความทุกข์เข็ญ เป็นบาดแผลในใจให้คนเวียดนามต่อมาอีกหลายสิบปี สนามบินอุดร ที่อเมริกาใบรรทุกระเบิดไปทิ้งใส่ประชาชนเวียดนาม ยังคงอนุสรณ์อยู่จนทุกวันนี้
ในภูมิภาคอื่นก็แถวแอฟริกา เช่น โซมาเลีย , ในอาฟกานิสนิสถาน ที่อเมริกา ส่งกำลังไปประจำการ เอาระเบิดมาทิ้งปูพรมใส่เทือกเขาแทบทุกตารางนิ้ว เพื่อล่าตัวบินลาเดน จนประเทศเละไปหมด
หนุนให้เกิดความยุ่งเหยิงวุ่นวายในย่านมุสลิม เกิดอาหรับสปริง เริ่มจากจนรัฐบาลอาหรับเป็นคลื่นปฏิวัติการเดินขบวน การประท้วงและสงครามซึ่งเกิดขึ้นในโลกอาหรับตั้งแต่วันที่ 18 ธันวาคม 2553 จนปัจจุบัน ผู้ปกครองถูกโค่นจากอำนาจ จากในตูนิเซีย อียิปต์ ลิเบีย และเยเมน การก่อการจราจลอุบัติขึ้นในบาห์เรน และซีเรีย การประท้วงใหญ่เกิดขึ้นในอัลจีเรีย อิรัก จอร์แดน คูเวต โมร็อกโก และซูดาน
และการประท้วงเล็กเกิดในเลบานอน มอริเตเนีย โอมาน ซาอุดิอาระเบีย จิบูตี และเวสเทิร์นสะฮารา การประท้วงใช้เทคนิคการดื้อแพ่งร่วมกัน การรณรงค์อย่างต่อเนื่อง การนัดหยุดงาน การเดินขบวน การเดินแถว และการชุมนม การใช้โซเชียลมีเดีย
การเดินขบวนอาหรับสปริงหลายประเทศเผชิญกับการตอบสนองรุนแรงจากทางการ การใช้ทหารอาสาสมัครนิยมรัฐบาล และขบวนโต้ตอบ การโจมตี จากผู้ประท้วงด้วยความรุนแรงในบางแห่ง
ล่าสุดที่เห็นๆ หมาดๆ กลิ่นคาวเลือด จากคมอาวุธยังคละคลุ้งอยู่ปัจจุบัน ก็ที่ประเทศซีเรีย และยูเครน ที่รัฐบาลอเมริกาและผองเพื่อน ผู้ใช้กลยุทธ์ “ แบ่งแยกเพื่อปกครอง “ มาตลอด โดยการสนับสนุนทางนโยบาย เงินทุน อาวุธ ในกับกลุ่มๆ หนึ่งในประเทศนั้น เพื่อให้คนในชาตินั้นๆ สู้รบกันเองจนปั้วเปี้ย หมดแรง ถึงตอนนั้นอเมริกา และพันธมิตร ก็จะกรีฑาทัพไปซ้ำเติมบดขยี้ทันที ภาษาไทยเรียกแต้มแก่ว่างั้นเถอะ
สงครามยุยงให้คนฆ่ากันเอง ที่สำคัญๆ จะไม่กล่าวเสียไม่ได้ ก็คือ สงครามอิหร่าน โดยอเมริกาสนับสนุนพระเจ้าชาร์มูฮัมหมัด เรซา ปาฮ์เลวี ของอิหร่าน ต่อมาก็ถูกอะญาตุลลอฮ์ โคไมนี ผู้นำศาสนา ประกาศการปฏิวัติอิสลาม ล้มล้างอำนาจลง และก้าวขึ้นสู่อำนาจเป็นผู้นำประเทศอิหร่านแทน
ช่วงนั้นอเมริกาจึงหันไปหนุนซัดดัมฮุสเซนอย่าลับๆ ทำให้กองทัพอิรัก มีกำลังเข้มแข็งกว่าละเมิดพรมแดนระหว่างทั้งสองประเทศ ประธานาธิบดี อะญาตุลลอฮ์ โคไมนี อิหร่าน จึงประกาศสงครามกับอิรัก ที่นำโดยซัดดัม ฮุสเซน กินระยะเวลายืดเยื้อถึง 8 ปี ระหว่างเดือนกันยายน 2523 ถึง เดือนสิงหาคม 2531 เสียหายยับเยินอ่วมทั้ง 2 ประเทศ สงครามครั้งนี้ มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บฝ่ายอิหร่าน ระหว่าง 750,000-1,000,000 คน ฝ่ายอิรักประมาณ 375,000 - 400,000 คน
เมื่อยุอิรักเกิดสงครามจนอ่วมอรทัยแล้ว ทีนี้อเมริกาก็หันมาเล่นงานอิรักเองบ้าง โดยก่อสงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งที่ 1 เริ่มจากอิรักที่เป็นประเทศมีน้ำมันมาก แต่ไม่มีทางออกทะเล บุกคูเวตตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2533 อเมริกาได้ยืมมือคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ บีบอิรักทางเศรษฐกิจทันที และส่งทหารอเมริกันไปยังซาอุดิอาระเบีย โดยมีกำลังทหารส่วนใหญ่มาจากอเมริกา ซาอุดิอาระเบีย อังกฤษ และอียิปต์ เพื่อขับไล่กองกำลังอิรักออกจากคูเวต
เริ่มต้นขึ้นจากการทิ้งระเบิดทางอากาศเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2534 ตามมาด้วยการโจมตีภาคพื้นดินเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ สงครามดังกล่าวสิ้นสุดลงด้วยชัยชนะอย่างเด็ดขาดของกองกำลังผสม รุกเข้าไปในพรมแดนอิรัก และยุติการรุกคืบ และประกาศหยุดยิง 100 ชั่วโมงหลังจากการทัพภาคพื้นดินเริ่มต้นขึ้น การรบทางอากาศและพื้นดินจำกัดอยู่ภายในอิรัก คูเวต และพื้นที่บริเวณพรมแดนของซาอุดิอาระเบีย และอิรักได้ปล่อยขีปนาวุธสกั๊ด ต่อเป้าหมายทางทหารของกองกำลังผสมในซาอุดิอาระเบีย และอิสราเอล
ต่อมาอเมริกา ใช้ปฏิบัติการพายุทะเลทราย ก่อสงครามในอิรักครั้งที่สอง โดยก่อนการรุกราน อเมริกา และอังกฤษ ใส่ร้ายอิรักว่า ครอบครองอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูง คุกคามความมั่นคงของตนและพันธมิตรในภูมิภาคยุโรป พ.ศ. 2545 อเมริกายืมมือคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ อีกแล้วครับท่าน ผ่านมติกำหนดให้อิรักต้องยอมตรวจสอบว่า มิได้มีอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูง และขีปนาวุธร่อนอยู่ในครอบครอง
แต่คณะตรวจสอบอาวุธ ไปตรวจกี่รอบก็ยังไม่พบหลักฐานอาวุธสักที จึงยุยงคนอิรักให้ก่อสงครามกลางเมืองซะเลย เพื่อขับไล่ ซัดดัม ฮุสเซน เอาดื้อๆ จนอิรักวุ่นวายยุ่งเหยิง วันที่ 20 มีนาคม 2546 อเมริกาจึงสวมรอยยึดครองอิรัก และการจับกุมตัวประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน ถูกพิจารณาโดยศาลอิรัก และประหารชีวิตโดยรัฐบาลใหม่ของอิรักที่อเมริกาชักใย
ประเทศอิรัก ภายหลังถูกอเมริกาโจมตีด้วยอาวุธ และสังหารซัดดัม ฮุสเซน ลง ก็ชักใยประเทศนี้มาตลอด โดยการตั้งรัฐบาลหุ่นเชิดจากมุสลิมนิกายซุนนีย์ปกครอง แล้วก็ครอบงำรัฐบาลใหม่ยึดเอาแหล่งน้ำมันมาทั้งหมด และเงินทุนสำรองประเทศราว 9 ล้านๆ บาทด้วย..แม้สงครามจะสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2554 ก็ยังมีการสู้รบกันประปราย
สงครามครั้งนี้ได้คร่าชีวิตคนอิรักไปแล้วถึง 5 แสนคน บาดเจ็บพิการอีกนับไม่ถ้วน สหประชาชาติรายงานว่า มีผู้ลี้ภัย 4.7 ล้านคน (ประมาณ 16% ของประชากร) โดยมี 2 ล้านคนหนีออกนอกประเทศ และประชาชนพลัดถิ่นในประเทศ 2.7 ล้านคน ในปี 2550 คณะกรรมการต่อต้านคอร์รัปชันของอิรักรายงานว่า เด็กอิรัก 35% หรือเกือบ 5 ล้านคนกำพร้า กาชาดแจ้งว่าในเดือนมีนาคม 2551 สถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในอิรัก อยู่ในระดับวิกฤตที่สุดในโลก โดยมีชาวอิรักหลายล้านคน ถูกบีบให้พึ่งพาแหล่งน้ำที่ไม่เพียงพอและคุณภาพต่ำ
ตั้งแต่นั้นมา ความรุนแรงประปรายยังมีต่อไปทั่วประเทศ กองกำลังติดอาวุธผสม ระหว่างกลุ่มนิกายต่าง ๆ ได้นำไปสู่การก่อความไม่สงบในอิรักในเวลาไม่นานนัก การต่อสู้ระหว่างกลุ่มในอิรักโดยนิกายซุนนีย์ และชีอะห์หลายกลุ่ม มีการเกิดกลุ่มย่อยแยกใหม่ของอัลกออิดะฮ์ขึ้นในอิรัก ในปี 2551 ก็เกิดสงครามระหว่างนิการสุหนี่ กับนิกายชีอะห์
สถานการณ์สงครามกลางเมืองในอิรักตอนนี้วิกฤติหนัก เพราะกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลามอิรักและเลแวนท์ หรือ ไอซิล ซึ่งมีนักรบอยู่ราว 3,000-5,000 คน และมีความโยงใยกับกลุ่มอัลกออิดะห์ กลุ่มติดอาวุธนี้ เป็นพวกวาฮะบี สายเคร่ง ต่อต้านทุกศาสนา ทุกนิกายที่ไม่ใช่สำนักคิดเดียวกัน กลุ่มนี้ได้รับทุน อาวุธ สนับสนุนจากอเมริกา ยุโรป และอิสราเอล
เป็นแนวคิดเดียวกับกลุ่มตอลีบัน ที่เคยใช้ปืนใหญ่ยิงทำลายพระพุทธรูป และโบสถ์คริส ในอาฟกานิสถาน เป็นกลุ่มเดียวกับก่อความไม่สงบในภาคใต้อิรัก เป็นสายป่านเดียวกับกลุ่มที่ปฏิบัติการถล่มสนามบินในเมืองนาจาร์ ที่ปากีสถาน จนย่อยยับคนตายและเจ็บเพียบ
ตอนนี้กลุ่มนี้ได้ยึดเมืองรามาดี และ ฟัลลูจา ไว้ได้สำเร็จ และต่อเนื่องด้วยบุกโจมตีและยึดเมืองโมซูล เมืองใหญ่อันดับ 2 ของอิรัก ที่มีประชากรราว 2 ล้านคนไว้ได้อีก ประชาชนกว่า 5 แสนคน (หนึ่งในสี่) ต้องอพยพหนีตายกันอลหม่าน
กลุ่มไอซิล ยังได้รุกคืบต่อไป ด้วยการเข้ายึดเมืองติกริต บ้านเกิดของอดีตประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน ที่อยู่ใกล้กับกรุงแบกแดดเพียง 150 กิโลเมตร มีการสู้รบกับทหารของรัฐบาลด้วยอาวุธหนักนานาชนิด แม้แต่ทหารจำนวนมาก ก็ถอดเครื่องแบบ แล้วใส่ชุดพลเรียนหนีไปด้วยเช่นกัน การยึดเมืองโมซูลไว้ได้ต้องถือว่าเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญของกลุ่มติดอาวุธนี้
เหตุผลในการรุกคืบอย่างหนักครั้งนี้ เป้าหมายหลักไม่ใช่ยึดทั้งประเทศอิรัก เพราะอเมริกาและพันธมิตรยึดครองชักใยอยู่เบื้องหลังอยู่แล้ว แต่พวกเขาต้องการวางรากฐาน เพื่อเตรียมการทำสงครามกับประเทศอิหร่านที่อยู่ติดกันอีกครั้ง แล้วทำลายมุสลิมนิกายชีอะห์ และขบวนการฮิสบุลเลาะห์ ที่เป็นคู่ต่อกรกับอิสราเอลอยู่
นายกรัฐมนตรี นูรี อัลมาลิกี ของอิรัก เองก็ประกาศจะขับไล่กลุ่มติดอาวุธให้ได้ พร้อมกับจะเอาผิดกับทหารอิรักที่หนีทัพในระหว่างที่กลุ่มไอซิลเข้าโจมตี หลังถูกกลุ่มติดอาวุธหัวรุนแรงโจมตี ผู้นำอิรัก บอกว่าจะไม่ร้องขอความช่วยเหลือจากต่างชาติ แต่จะจัดการวิกฤตที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่กงศุลตุรกีในเมืองโมซูลเกือบ 50 คน ก็ถูกกลุ่มติดอาวุธจับตัวไปด้วย
นายบัน คีมูน เลขาธิการสหประชาชาติ ได้ประณามการลักพาตัวเจ้าหน้าที่กงศุลตุรกี ว่า การกระทำดังกล่าวเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ ส่วนสหรัฐแสดงความกังวลกับสถานการณ์ในอิรักเช่นกัน
นี่คือตัวอย่างอย่าเป็นรูปธรรม แผนการยุยง ของอเมริกาและพันธมิตร ให้อิสลามสู้รบกันเองจนง่อยเปลี้ย เจ็บจริง ตายจริง พินาศจริง เพื่อทำลายอิสลามให้อ่อนแอลง แล้วประเทศพวกตนเองก็จะเข้าไปค่อยๆ ฮุบสมบัติ และทรัพยากรของประเทศเหล่านั้น มาเป็นของตนเองไปเรื่อยๆ เหมือนไม่รู้จักพอ..ใช้กำลังที่แข็งแรงกว่าปล้นเอาคนอ่อนแอกว่า ว่างั้นเถอะ
เมื่อใดที่คนในชาติแตกแยกเป็น 2 ฝ่าย หรือฝ่ายย่อยๆ เมื่อนั้นอเมริกา และผองเพื่อน จะเข้ามารุมตอดทันที โดยเข้ามาสนับสนุนฝ่ายหนึ่ง ทั้งทางลับและเปิดเผย ในรูปแบบทุนทางการเงิน อาวุธสงคราม การบ่อนทำลายสถาบันหลัก การแทรกแซงทางการทหาร ทางเศรรษฐกิจการเงิน ฯลฯ
ทีนี้มาดูทางตั่วเฮีย จีน บ้าง พฤติกรรมโดยธรรมชาติคนเอเชีย จะให้ความสำคัญกับเพื่อนตนเอง มากกว่าฝรั่ง คนจีนจะพร่ำสอนลูกหลานเสมอ เรื่องบุญคุณต้องทดแทน มีผู้รู้ให้ข้อมูลว่า สมัยก่อนประเทศไทยมีวิกฤติสูงสุดทางทหาร คือ เมื่อเวียดนามบุกเขมรในเดือน ธันวาคม 2521 จนมาประชิดชายแดนไทย
เวียดนามช่วงนั้นมีกองทัพเกรียงไกรมาก เพิ่งไล่อเมริกาเตลิดเปิดเปิงกลับบ้าน จนอเมริกาหงอยมาแล้ว เวียดนามยังส่งกำลังมาชักใบหนุนหลังรัฐบาลเขมรด้วยในช่วงนั้น รัฐมนตรีต่างประเทศเวียดนาม เบ่งกล้ามขู่ไทยว่าอย่าหือนะ เพราะกองทัพเวียดนาม สามารถบุกยึดถึงกรุงเทพได้ภายในเวลาไม่นาน ในตอนนั้นกองทัพไทย ยังต้องต่อสู้ติดพันกับพรรคคอมมิวนิสต์แดงแห่งประเทศไทยรุนแรงอยู่ ไม่อยู่ในสถานะที่จะก่อสงครามภายนอกประเทศได้อีก
ไทยหันไปขอให้อเมริกาช่วย เพราะเราเคยให้เขาใช้สนามบินอุดร มาเป็นฐานบินนกยักษ์ B52 ไปทิ้งระเบิดเวียดนามตั้งหลายปี อเมริกาตอบว่าเขาเองก็ยังเอาตัวไม่รอด หมดสภาพจากสงครามเวียดนาม เขาจึงขอแค่ส่งใจมาช่วยแทน..ว่าแล้วส่งความช่วยเหลือมาให้ ขนปืนใหญ่รุ่น M-198 ขนาด 155 มม. ขึ้นเครื่องบินมา แค่ 1-2 กระบอก แล้วหลังจากนั้น ก็ส่งบิลตามมาเรียกเก็บเงินอีก...ฮา โหย
ทีนี้ไทยเราก็มึน จังหันไปทางจีนบ้าง เริ่มที่ พล.อ.เกรียงศักดิ์ฯ สังการให้นายทหารฝ่ายเสนาธิการไม่กี่คน ในศูนย์อำนวยการร่วมสนามเสือป่า ประสานกับทูตทหารจีน ชื่อ เหมา มากับเลขาทูตหนุ่มพูดไทยคล่องชื่อ จาง ( 20 กว่าปีต่อมาคือ เอกอัครราชทูตจาง) เพื่อขอพบผู้นำของจีน
จากนั้น พันเอก 2 คน ของกองทัพไทยบินไปปักกิ่ง แล้วได้รับเกียรติให้ได้เข้าพบ เติ้งเสี่ยวผิงด้วย ต่อมาไม่นานก็มีคณะนายทหารระดับสูงมากจากจีน เดินทางมาเยือนไทย เข้าร่วมประชุมและฟังการบรรยายสรุปที่ ศูนย์อำนวยการร่วมฯ สนามเสือป่า พล.อ.เกรียงศักดิ์ฯ ถึงกับพูดตรงๆว่า ถ้าเวียดนามบุกไทยๆ คงไม่สามารถรับมือได้แน่ ขอให้ตั่วเฮีย จีนช่วยด้วย
ไม่นานนัก จีนก็ก่อสงครามสั่งสอน ที่ชายแดนระหว่างจีนกับชายแดนเวียดนามด้านทิศเหนือ รบกันอย่างรุนแรง เวียดนาม จึงจำใจต้องถอนกำลังหน่วยรบหลัก ทั้งหมด 10 กว่ากองพล ออกจากเขมร และเวียดนามใต้ เพื่อไปรบกับจีนที่ชายแดนด้านเหนือ พอเวียดนามหลงกลดังกำลังกลับไปไว้ที่เหนือหมด จีนก็เลิกรบถอนกำลังรบกลับ..อ้าว..เวียดนามก็วืดๆๆๆ
ตามประวัติศาสตร์นั้น จีนเคยปกครองเวียดนามอยู่หลายร้อยปี จึงเป็นไม่เบื่อไม้เมากันมาแต่โบราณแล้ว หลังจากนั้น ไทยก็เริ่มพัฒนากำลังรบอาวุธหนักตามแบบสากล โดยจัดหารถถังและยานเกราะจากจีนหลายร้อยคัน ซื้อในราคามิตรภาพ แต่จริงๆ ซื้อไม่กี่คัน เพราะที่เหลือตั่วเฮียจีนแถมให้ แบบซื้อ 1 แถม 5 ประมาณนั้น พวกรถถัง T-69 สมัยนั้นที่ปลดประจำการไปแล้ว ปัจจุบันก็แปรสภาพเป็นปะการังเทียมในทะเล ยานลำเลียงพลหุ้มเกราะ บางรุ่นที่ปรับปรุงอะไหล่ ก็ยังมีประจำการในกองทัพบก
สัปดาห์ก่อน กลุ่มนักธุรกิจไทย-จีน สภาอุตสาหกรรมไทย-จีน นักธุรกิจภาคธนาคาร เช่น ธนาคารไอซีบีซี นักธุรกิจภาคอุตสาหกรรมไอที การสื่อสาร บริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้า บริษัทผลิตรถยนต์ โรงงานผลิตปุ๋ย ธุรกิจทำเหมืองแร่ และบริษัทบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ได้เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา หัวหน้า คสช.
เพื่อยืนยันเจตนารมณ์ในการดำเนินธุรกิจกับประเทศไทย เพื่อประสานความร่วมมือด้านการค้าการลงทุน และสร้างความมั่นใจในการลงทุนของสองประเทศ หัวหน้า คสช. ได้อธิบายเหตุผลและความจำเป็นในการเข้ามาบริหารประเทศ ที่ต้องปลดล็อคข้อกฎหมายและข้อระเบียบต่างๆ เพื่อให้มีการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีอุปสรรค
หัวหน้า คสช.ได้ให้ความมั่นใจกับนักลงทุนว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้น การลงทุนจากนี้ไปจะมีความโปร่งใส มีความยุติธรรม ตรวจสอบได้ ไม่มีคอรัปชั่น มุ่งผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวกับนักธุรกิจที่ประสงค์ที่เข้ามาลงทุนในไทยขอให้มีข้อคำนึง 5 ข้อ
1.มองผลประโยชน์ตอบแทนที่ประเทศไทยควรได้รับมากที่สุด
2.สร้างความเข้มแข็งให้กับคนไทยใน เรื่องวิชาชีพ เทคโนโลยี การตั้งบริษัทลูก
3.เพิ่มการใช้วัตถุดิบในประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำ เช่น ใช้น้ำยางดิบของไทยในอุตสาหกรรมยางรถยนต์
4.โรงงานที่ตั้งขึ้นใหม่ต้องนำพลังงานทดแทนมาช่วยลดมลพิษ ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
5.พัฒนาบุคลากรของไทย โดยให้จัดฝึกอบรมดูงาน ให้ทุนการศึกษาเพื่อให้แรงงานมีความรู้มากขึ้น
และได้ขอความร่วมมือนักธุรกิจชาวจีนให้ข่าวสารกับนักลงทุนรายอื่น รวมทั้งนักท่องที่ยวชาวจีนให้มาเที่ยวและมาลงทุนในไทย และได้ยืนยันกับนักธุรกิจจีนว่าขอให้มั่นใจประเทศไทยและเชื่อมันว่าไทยจะกลับมาแข็งแกร่ง พร้อมกันนี้ไทยยืนยันความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่มีต่อจีนมายาวนานในทุกระดับ
สัปดาห์นี้ผู้แทนกระทรวงกลาโหมของไทย ก็นำคณะสามเหล่าทัพ ไปเยือนจีนตามคำเชิญอย่างเป็นทางการ ย้อนอดีตในประวัติศาสตร์ที่เคยเล่าให้ฟังแล้ว จะเห็นว่าความสัมพันธ์มีเชื้อสายเผ่าพันธ์รากแก้ว รากแขนงหยั่งลึกระหว่างไทย จีน และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตั่วเฮียจีน พร้อมเป็นมิตรแท้ในยามยากให้อาตี๋ไทย เรื่องนี้เกิดมานานกว่า 1,000 ปีมาแล้ว
ก็เป็นความจริง ที่ท่านผู้รู้บอกว่า นายกฯ ไทยจะเข้าพบประธานาธิบดีอเมริกา แบบทวิภาคีแสนยากเย็น (ยกเว้นไอ้มาม่ากับปูเน่า อันนั้นอินเลิฟยามเย็น) แต่ยามไทยวิกฤติ แม้แต่นายทหารยศระดับพันเอก ยังได้รับเกียรติอย่างสูงให้เข้าพบผู้นำยิ่งใหญ่ของจีนได้ เห็นชัดเจนถึงความแตกต่างในการแสดงออกแสดงความรู้สึกจริงใจ ของวัฒนธรรมเอเซีย และการให้เกียรติกันแบบพี่น้อง บุญคุณของจีนครั้งนี้ คนไทยจะไม่มีวันลืม และต้องทดแทนกันตามแบบตั่วเฮี่ย กับอาตี๋
อเมริกากับสงครามเป็นของคู่ก่อน วัฒนธรรมประเทศเขาเริ่มต้นมาจากการแย่งชิงดินแดนมาจากชนเผ่าพื้นเมือง แก่งแย่งคนอื่นมาตั้งแต่ตั้งต้นสร้างประเทศเขา วัฒนธรรมแบบนี้จึงถ่ายทอดต่อมาจนถึงปัจจุบัน บทเรียนสอนใจนี้ เตือนสติคนไทยว่า การมีอาวุูธท่ามกลางความขัดแย้ง และการเจรจากันที่ไม่บรรลุผล จะนำมาซึ่งการสู้รบกันเองของคนไทยด้วยกัน
มีความเสี่ยงจะเกิดสงครามกลางเมืองเหมือนหลายๆ ประเทศอยู่ขณะนี้ ผลที่ตามมา คือ การบาดเจ็บล้มตายของลูกเด็กเล็กแดง ผู้หญิง คนชรา ที่อ่อนแอ และสภาพการบังคับใช้กฎหมายบ้านเมืองที่ล้มเหลว ไม่เหลือความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน การทำมาหากินตามปกติทำไม่ได้..
นี่เป็นบทเรียนที่ล้ำค่าสำรับเรา การที่ คสช. ระดมกวาดล้างอาวุธสงคราม และจับกุมตัวผู้ครอบครองมาลงโทษ จึงเป็นเหมือนการตัดไฟเสียแต่ต้นลม ที่สำคัญที่สุดคือ คนไทยต้องรักและสามัคคีกันเป็นหนึ่งเดียวกันมากกว่านี้ หันหน้าเข้าหากัน ก่อนที่ไฟสงครามกลางเมือง จะโหมกระพือเอาชีวิตผู้คนที่เรารักทั้งสองฝ่าย จากไปอย่างชั่วนิจนิรันดร์ไม่มีวันกลับคืนมา
การได้รู้ความจริงบางครั้งมันเป็นทุกข์ แต่การไม่รู้อะไรเสียเลยมันเป็นทุกข์มากกว่า
พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการเสด็จออกมหาสมาคม เนื่องในพระราชพีธีเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2530 ความว่า "...ความสามัคคีนี้ เป็นคุณธรรมสำคัญประการหนึ่ง ซึ่งหมู่ ชนผู้อยู่ร่วมกันจำเป็นต้องมี ต้องถนอมรักษา และต้องนำมาใช้อยู่สม่ำเสมอ เนื่องด้วยสรรพกิจการงานที่เป็นส่วนรวมทุกด้าน ทุกระดับ ต้องอาศัยบุคคลหลายฝ่ายร่วมกันทำกิจกรรม “
และนำภาพที่ชวนลำลึกในอดีต เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2523 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทอดพระเนตรการสาธิตอาวุธต่อสู้รถถังแบบใหม่ ณ ศูนย์การทหารราบ ค่ายธนะรัชต์ ตำบลเขาน้อย อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ( 11 June 1980. His Majesty inspecting the demonstration of TOW heavy anti-tank guided weapon missile, at Infantry Centre, Dhanarat Fort, Pran Buri District, Prachuap Khiri Khan Province)
ท่านจงภูมิใจเถิดว่า ประเทศไทยมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นจอมทัพไทย ที่กล้าแข็ง นำพาผสกนิกรไทยฝ่าฟันอุปสรรค ทั้งปวงนานา มากกว่า 64 ปีแล้ว จากจำนวนราษฎรต้นรัชกาลเพียง 17 ล้านคน ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัวเป็นกว่า 67 ล้านคน..คนไทยโชคดีที่สุดในโลกแล้ว
เสธ น้ำเงิน4
https://www.facebook.com/thailandcoup

ไม่มีความคิดเห็น: