PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2557

"บวรศักดิ์"ทางออกประเทศต้องปฏิรูปลดความเหลื่อมล้ำ เลิกนโยบายประชานิยม

ปธ.กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวปาฐกถาสร้างความปรองดอง เผยทางออกประเทศต้องปฏิรูปลดความเหลื่อมล้ำ เลิกนโยบายประชานิยม ยกคำพูดพระพุทธเจ้าทำในสิ่งที่พรรคการเมืองไม่ทำ ย้ำนำผู้นำสองฝ่ายคุยกัน แย้มขั้นตอนสุดท้ายนิรโทษกรรม แต่เฉพาะหน้าทำยังไงปรองดองให้ได้ อ้างสัญญาณดีแม้ คสช. เข้มห้ามประชุมพรรคแต่พยายามพูดคุย พร้อมเชิญชวนมองอนาคต อย่ามองไปในอดีต
วันนี้ (11 ธ.ค.) นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวปาฐกถาเรื่อง “การปฏิรูปและการสร้างความปรองดอง ตามแนวทางการยกร่างรัฐธรรมนูญ” ว่า โจทย์ใหญ่ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ คือ เราจะทำอย่างไรให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย เพื่อให้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงคือการปฏิรูป ซึ่งไม่ใช่โจทย์ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้ แต่เป็นโจทย์ที่คนไทยทั้ง 62 ล้านคนเห็นร่วมกัน ทั้งนี้ ในปี 2558 ประเทศไทยจะเข้าสู่ประชาคมอาเซียน หากยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งได้ เราก็จะอยู่ในลำดับท้ายของประชาคมอาเซียน คงไม่ใช่ความปรารถนาของคนไทยทั้งหมด ดังนั้น จะทำอย่างไรให้มีการปรองดองและการปฏิรูปประเทศเพื่อให้เดินหน้าต่อไปได้ ไม่ต้องติดกับดักความขัดแย้งที่มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้น ทางออกคือ ต้องปฏิรูปให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมในสังคม เพราะเป็นรากฐานของขัดแย้งระหว่างคนมีมหาศาล ความขัดแย้งระหว่างคนรวยกับคนจน จึงต้องแก้ปัญหาที่เชิงโครงสร้าง โดยต้องยกเลิกนโยบายประชานิยม จัดสรรความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ และทรัพยากรใหม่
“การปฏิรูปครั้งนี้จะพิสูจน์ว่าที่พระพุทธเจ้าเคยบอกว่าดอกบัวที่แทนความบริสุทธิ์เกิดจากโคลนตมได้ฉันท์ใด การปฏิรูปประเทศก็เกิดจากกระบวนที่ไม่เป็นประชาธิปไตยได้ฉันท์นั้น ตอนนี้ สปช. สนช. รัฐบาล คณะรัฐมนตรี กรรมาธิการยกร่างมีหน้าที่ใหญ่คือการลดความเหลื่อมล้ำสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม ทำในสิ่งที่ผู้มีทุนมากมายมหาศาลจากพรรคการเมืองไม่ทำ” นายบวรศักดิ์ กล่าว
ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวอีกว่า การปรองดองต้องให้ผู้นำทั้ง 2 ฝ่ายมาคุยกัน ซึ่งถือเป็นหน้าที่หนึ่งที่ต้องทำอย่างจริงจัง เพราะหากไม่ทำก็จะเกิดปัญหาซ้ำอีก ส่วนการนิรโทษกรรมจะเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการปรองดอง ถ้ารัฐธรรมนูญไม่วางโครงสร้างกระบวนการที่ดี ก็จะมีการทำลัดขั้นตอน ไปเริ่มที่ 100 แทนที่จะทำจาก 1 อาจจะมีการทำนิรโทษกรรมก่อนที่จะเริ่มกระบวนการปรองดอง ซึ่งก็จะทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นอีก และในรัฐธรรมนูญจะไม่พูดถึงเรื่องการปรองดองก็ไม่ได้ ถ้าไม่มีก็แสดงว่าเราไม่เอาปัญหาของบ้านเมืองมาพูดเป็นเรื่องเป็นราว ดังนั้น จะทำอย่างไรจึงจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าคือการสร้างความปรองดองได้
ทั้งนี้ ก็มีสัญลักษณ์ที่ดีเกิดขึ้นแล้วเพราะแม้ คสช. จะห้ามพรรคการเมืองประชุมกัน แต่หลายพรรคก็พยายามเข้ามาพูดคุย อย่างไรก็ตาม โจทย์ใหญ่ทั้ง 2 เรื่องตนยังไม่มีคำตอบ แต่หากเราหาคำตอบให้โจทย์เหล่านี้ไม่ได้ กระบวนการที่ทำอยู่ใน สปช. กมธ. ยกร่างฯ หรือการยึดอำนาจของ คสช. ก็จะเสียของ ดังนั้น จึงขอเชิญชวนให้ช่วยกันเสนอความเห็น มองอนาคตไปด้วยกัน อย่ามองไปในอดีต แม้จะประกาศกฎอัยการศึก แต่ความเห็นของกลุ่มต่างๆ เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นการปฏิรูปไม่กี่คน และท้ายที่สุดก็อาจจะไม่ได้รับการยอมรับ ทั้งนี้ ยืนยันว่า หากมีข้อเสนอดีๆ เราก็ยินดีจะรับฟัง
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx…


ไม่มีความคิดเห็น: