ข่าวที่ไม่เป็นข่าว
ระหว่างบรรทัดที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"
PR
@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"
วันอังคารที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2558
หมีขาวรุกเอเชีย!! “นายกฯรัสเซีย” เยือนไทยในรอบ 25 ปี
หมีขาวรุกเอเชีย!! “นายกฯรัสเซีย” เยือนไทยในรอบ 25 ปี พบประยุทธ เมินกระแสตะวันตกยี้ ม.44 “คุยการค้า-ท่องเที่ยว-นิวเคลียร์-ขายอาวุธ” เป็นหลัก
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
7 เมษายน 2558 18:35 น.
(แก้ไขล่าสุด 7 เมษายน 2558 18:40 น.)
เอเจนซีส์ - หลังจากเสร็จสิ้นการเยือนเวียดนาม นายกรัฐมนตรีรัสเซีย ดมิทรี เมดเวเดฟ เดินทางมาถึงไทยในวันนี้(7) ซึ่งถือเป็นในรอบ 25ปีของการเยือนผู้นำหมีขาวมายังไทย และในการเยือน 2 วันมีกำหนดที่จะเข้าหารือกับพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไทย โดยไม่สนใจเสียงวิพากษ์ของโลกตะวันตก รวมไปถึงสหรัฐฯ ต่อมาตรา 44 ที่ทางคณะ คสช.นำขึ้นใช้แทนกฎอัยการศึก โดยวาระการหารือจะมุ่งเจรจาทางการค้า การท่องเที่ยว การซื้อขายอาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหาร และการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีพลังงานนิวเคลียร์ที่รัฐบาลรักษาการคสช.ให้ความสนใจเป็นพิเศษ
มอสโกไทม์ส สื่อรัสเซีย และแชเนลนิวส์เอเชียรายงานวันนี้(7) ถึงการเดินทางเยือนไทยเป็นครั้งแรกในรอบ 25ปีของผู้นำรัสเซียนับตั้งแต่ในสมัยยุคอดีตสหภาพโซเวียต นายกรัฐมนตรีรัสเซีย ดมิทรี เมดเวเดฟ เดินสายทัวร์เอเชีย ที่เพิ่งเสร็จสิ้นการเยือนเวียดนามอย่างเป็นทางการ ได้เดินทางมาถึงไทยแล้วในวันอังคาร(7) ในการเยือนอย่างเป็นทางการเป็นเวลา 2 วันเพื่อกระชับความสัมพันธ์ระดับทวิภาคี ส่งเสริมการค้า การท่องเที่ยว การซื้อขายอาวุธยุทโธปกรณ์ และการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีพลังงานนิวเคลียร์ที่รัฐบาลรักษาการคสช.ให้ความสนใจเป็นพิเศษเป็นหลัก
ซึ่งสื่อมอสโกไทม์สชี้ว่า การเยือนของผู้นำหมีขาวนี้จะส่งเสริมภาพลักษณ์การสนับสนุนในระดับเวทีนานาชาติให้กับรัฐบาลคสช.ของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไทย ที่มาจากการทำรัฐประหารซึ่งจะครบรอบ 1ปีในเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้
การเยือนของเมดเวเดฟเกิดขึ้นท่ามกลางเสียงวิพากษ์ในระดับนานาชาติจากโลกตะวันตก รวมไปถึงสหรัฐฯ ถึงกฎหมายมาตรา 44 ที่ทางคสช.นำมาใช้แทนกฎอัยการศึกที่เพิ่งเลิกการบังคับใช้ไป โดยความกดดันจากนานาชาตินี้เริ่มขึ้นตั้งแต่การทำรัฐประหารในช่วงปีที่ผ่านมา
โดยสื่อรัสเซียชี้ว่า รัฐบาลไทยหลังการทำรัฐประหาร หันมาผูกสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีนและรัสเซียเพิ่มมากขึ้น เพื่อคานอำนาจโลกตะวันตกและสหรัฐฯมหามิตรเก่าแก่ ที่ถอยห่างเนื่องจากกังวลถึงการประกาศระงับการใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญไทยชั่วคราว และเกรงว่าจะมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทยขึ้นในบางระดับ
ทั้งนี้ในเดือนกุมภาพันธ์ล่าสุด ไทยได้กล่าวหาสหรัฐฯ ว่าได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในของไทยหลังจากตัวแทนรัฐบาลสหรัฐฯได้ออกมาวิพากษ์ไทยในแง่ลบ
และมอสโกไทม์สยังชี้ต่อว่า สืบเนื่องมาจากผลของการทำรัฐประหาร ทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยที่เคยเฟื่องฟูก่อนหน้านั้นกลับซบเซา และทำให้ไทยหวังว่าจะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากรัสเซียมาเยือนไทยมากขึ้นในการเจรจากับรัสเซียครั้งนี้
ด้านโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยงยุทธ มัยลาภ แถลงว่า รัสเซียและไทยจะร่วมลงนามข้อตกลงระดับทวิภาคี MOU จำนวน 5 ฉบับในวันพุธ(8)เพื่อเพิ่มความร่วมมือในด้านพลังงาน การลงทุน การปราบปรามยาเสพติด ท่องเที่ยว และวัฒนธรรม
และมอสโกไทม์สยังรายงานเพิ่มเติมว่า รัสเซียมีความสนใจที่จะซื้อยางจากไทย ซึ่งเป็นประเทศที่ปลูกยางพาราและส่งออกใหญ่ที่สุดในโลก “นายกรัฐมนตรีรัสเซียแสดงความสนใจในผลิตภัณฑ์ทางเกษตรของไทย รวมไปถึงยางพารา” ยงยุทธแถลง
ด้านแชเนลนิวส์เอเชียรายงานว่า ในกรอบการหารือที่จะมีขึ้นของทั้งสองชาติ คาดว่าการขยายโอกาสการค้าจะเป็นประเด็นหลักในการเจรจาครั้งนี้ ซึ่งในปีที่ผ่านมาการค้าของทั้งสองชาติมีสูงถึง 150 พันล้านดอลลาร์ โดยไทยส่งออกข้าว รถยนต์ อาหารแปรรูป ส่วนประกอบอิเลกทรอนิกไปรัสเซีย ด้านแดนหมีขาวส่งออกเหล็ก เหล็กกล้า และน้ำมันดิบเข้ามายังไทย
นอกจากนี้ มอสโกยังมองหาลู่ทางที่จะส่งออกยุทโธปกรณ์ทางการทหารให้กับกองทัพไทยอีกด้วย
ในส่วนด้านความร่วมมือทางความมั่นคงทางพลังงานในระยะยาว รัฐบาลไทยได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษในเทคโนโลยีพลังงานนิวเคลียร์ของรัสเซีย ซึ่งคาดว่าจะอยู่ในการหารือครั้งนี้
และแชเนลนิวส์เอเชียยังรายงานต่อว่า ในการเยือนอย่างเป็นทางการตามคำเชิญของรัฐบาลไทย นายกรัฐมนตรีรัสเซียจะเข้าพบกับพลเอกประยุทธเพื่อกระชับความสัมพันธ์ของทั้ง 2ชาติ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผู้นำของสองชาติพบกัน โดยในเดือนพฤศจิกายน 2014 พลเอกประยุทธและเมดเวเดฟได้เคยพบกันก่อนหน้านี้ที่กรุงเนปิดอว์ พม่า โดยในครั้งนั้นผู้นำของทั้งสองชาติร่วมตกลงที่จะเพิ่มมูลค่าส่งออกให้แตะ 10 พันล้านดอลลาร์ภายใน 2ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ในช่วงตลอดการเยือน 2 วันนี้ เมดเวเดฟจะเดินทางเข้าชมพระบรมมหาราชวังและวัดพระแก้ว
แชเนลนิวส์เอเชียได้วิเคราะห์การเยือนของผู้นำมหาอำนาจรัสเซียครั้งนี้ว่า การผูกสัมพันธ์ระหว่างไทยและรัสเซียดูเหมือนเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับทั้งสองชาติ เพราะฝ่ายไทยต้องการเสียงสนับสนุนเพิ่มขึ้นในเวทีโลก ด้านฝ่ายรัสเซียมีความปราถนาที่จะขยายการค้าการลงทุนและความร่วมมือมาสู่เอเชียหลังจากที่โดนชาติตะวันตก ญี่ปุ่น และสหรัฐฯคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจอย่างหนัก รวมไปถึงวิกฤตพลังงานราคาน้ำมันที่ดิ่งเหว และผลจากค่าสกุลเงินรูเบิลที่ตกอย่างหนัก
โดยมอสโกไทม์สรายงานระบุว่า ผลจากค่าเงินรูเบิลตกต่ำได้พ่นพิษต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะนักท่องเที่ยวหมีขาวต้องคำนวนเงินในกระเป๋าอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลากกระเป๋าเดินทางขึ้นเครื่องมายังหาดใดสักแห่งในย่านนี้ เช่น ไทย กัมพูชา เวียดนาม เป็นต้น
จากสถิติปี 2014 พบว่ามีนักท่องเที่ยวรัสเซียมาเยือนไทยราว 1.6 ล้านคน ลดต่ำลงประมาณ8.6 %
ซึ่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแถลงเพิ่มเติมว่า “ในการหารือครั้งนี้มีเป้าหมายต้องการดึงดูดนักท่องเที่ยวรัสเซียให้มาเยือนไทยเพิ่มมากขึ้นถึงแม้ว่าในขณะนี้สถานการณ์เงินรูเบิลจะไม่เป็นใจก็ตาม”
โดยก่อนหน้าที่จะเดินทางมาไทย นายกรัฐมนตรีรัสเซียได้เยือนเวียดนามเป็นเวลา 3 วัน เจรจาร่วมกับนายกรัฐมนตรีเหวียน เติ๋น ยวุ๋ง ของเวียดนาม ซึ่ง RT สื่อรัสเซียรายงานเมื่อวานนี้(6)ว่า ประเด็นหลักทั้งหมดของกรอบการเจรจาร่วมมือการค้าเสรีระหว่างเวียดนามและสหภาพเศรษฐกิจยูเรเซีย สามารถบรรลุข้อตกลงของทั้งสองฝ่าย และข้อตกลงนี้จะมีขึ้นอย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้ รายงานจากแถลงการณ์ร่วมของ เมดเวเดฟและเหวียน เติ๋น ยวุ๋ง
“การเตรียมตัวทางเอกสารในข้อตกลงได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว โดยประเด็นหลักในกรอบการเจรจาทั้งหมดสามารถบรรลุความเห็นชอบของทั้งสองฝ่าย ซึ่งผมหวังว่าจะมีการลงนามความร่วมมือได้ในเร็ววันนี้” เมดเวเดฟแถลง RIA รายงาน
ทั้งนี้สหภาพเศรษฐกิจยูเรเซีย จัดตั้งขึ้นโดยมีผลเมื่อวันที่ 1 ม.ค.2015 ประกอบด้วย รัสเซีย เบลารุส คาซัคสถาน และอาร์เมเนีย และคาดว่า คีร์กีซสถาน จะเข้าร่วมกลุ่มในเดือน พ.ค.นี้
ซึ่งทางเมดเวเดฟยืนยันว่า แผนการนี้จะช่วยเพิ่มมูลค่าการค้าระดับทวิภาคีในอีก 5 ปีหลังจากนี้ ซึ่งในปีที่ผ่านมามูลค่าการค้าระหว่างเวียดนามและรัสเซียตกไปอยู่ที่ 3.7 พันล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าปี 2013 ที่มีมากถึง 4 พันล้านดอลลาร์
และสื่อเวียดนามยังรายงานเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างสองประเทศ โดยบริษัทกาซปรอม เนฟต์ บริษัทลูกของกาซปรอม ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานของรัสเซีย ระบุวานนี้ (6) ว่า ทางบริษัทวางแผนที่จะซื้อหุ้น 49% ของผู้ดำเนินการโรงกลั่นยวุ๋งกว๊าต ของเวียดนาม ซึ่งเป็นโรงกลั่นแห่งเดียวของประเทศ
ความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างสองประเทศดำเนินมาอย่างมายาวนานในความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนาม และรัสเซีย เริ่มต้นจากการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำของเวียดนามในช่วงทศวรรษ 1980 ตามด้วยการร่วมทุนด้านน้ำมันและก๊าซในบริษัทเวียดโซปิโตร และเมื่อไม่นานนี้ ในโครงการพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์
กาซปรอม เนฟต์ ระบุในคำแถลงฉบับหนึ่งว่า เวลานี้บริษัทได้สิทธิพิเศษในการเจรจากับกลุ่มบริษัทปิโตรเวียดนาม ในการถือครองหุ้น 49% (อัตราสูงสุดของการถือครองหุ้นโดยต่างชาติในบริษัทเวียดนาม) ในบริษัท Binh Son Refining and Petrochemical Co ซึ่งเป็นผู้ควบคุมโรงกลั่นยวุ๋งกว๊าต แต่คำแถลงไม่ได้ระบุมูลค่า หรือช่วงเวลาของการซื้อขาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
บทความใหม่กว่า
บทความที่เก่ากว่า
หน้าแรก
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น