PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2559

มาอีกแล้วครับ หลังจากรถไฟ มา รร.อนุบาลเลย...

มาอีกแล้วครับ หลังจากรถไฟ มา รร.อนุบาลเลย...
จริงๆ ผมไม่คิดว่าไอเดียเรื่องเซฟตี้โซนเป็นอะไรที่เวิร์คในกรณีนี้นะ (แต่ยังไม่มีอารมณ์จะพูดยาว) สั้นๆ คือ การมีเซฟตี้โซน เป็นนโยบายที่รัฐไทย "ได้ประโยชน์ฝ่ายเดียว" ในขณะที่นอกจากฝ่าย BRN จะไม่ได้ประโยชน์แล้ว "ช่องทางในการสื่อสาร" ยิ่งกลายเป็นไม่มีอีก (ไม่เกี่ยวกับเรื่องการเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรง แต่คนเหล่านี้ รวมถึงผู้ก่อการร้ายทั่วโลกด้วย "ส่งสาร" ผ่านการใช้ความรุนแรง) และขนาดแบบเดิมที่เป็นอยู่ "สังคมไทย" ยังไม่เคยจะแยแสเลย ถ้ายิ่งเป็นเซฟตี้โซนที่ส่ง "สาร" อะไรทางการเมืองไม่ได้ ยิ่งไม่มีทางที่สังคมจะแยแสต่อข้อเรียกร้องอะไรของเค้า
อย่างที่บอกตั้งแต่ตอนระเบิดในภาคใต้ตอนกลางและตอนบนช่วงวันที่ 12 สิงหาคม ที่ผ่านมาว่า BRN มีแนวโน้มสูงจะยกระดับการปฏิบัติการ เพราะวิธีการเดิมทำมาสิบกว่าปี ไม่มีใครสนใจฟัง ไม่มีใครแยแส คิดแต่จะแก้ด้วยการส่งปืนไปยิงเพิ่มตายเพิ่ม และมาถึงวันนี้การยกระดับนั้นก็ดูจะตั้งเค้าแล้วไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อเหตุติดๆ กัน หลังจากมีการตกลงเรื่องเซฟตี้โซน ซึ่งบอกตามตรงว่า ทางฝ่ายเค้าไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยอย่างเป็นชิ้นเป็นอัน
กรุณาเข้าใจแต่แรกด้วย ท่านเจ้าหน้าที่รัฐ ว่าการก่อการร้ายมันคือ "ยุทธศาสตร์" (ที่มีสารทางการเมืองเบื้องหลัง) ชนิดหนึ่ง ที่มีขึ้นเพื่อสู้หรือต่อต้านกับคู่ต่อสู้ที่พวกเขารู้อยู่แล้วว่าถือครองอำนาจในการรบ หรือการต่อสู้ที่สูงกว่าชนิดเทียบไม่ได้ หรือง่ายๆ คือ เป็นยุทธศาสตร์สำหรับสู้กับอีกฝ่ายที่ตัวเองไม่มีทาง "รบตรงๆ ซึ่งๆ หน้า (Total War)" แล้วจะชนะได้ ฉะนั้นการต่อสู้ของกลุ่มก่อการร้าย จึงอาศัยความรุนแรงเป็นเครื่องมือส่งสาร และสร้างความหวาดกลัวให้มากที่สุด สร้างเครดิตต่อคำขู่ของตนให้สูงที่สุด สร้าง "ภาพ" ของความรุนแรงให้สูงที่สุด แม้ในความเป็นจริงภัยมันในเนื้อแท้มันจะไม่ได้สูงมาก แต่การทำให้ภาพของภัยนั้นใหญ่ล้นความจริง คือ กุศโลบายพื้นฐานอยู่แล้วในการวิธีการแบบการก่อการร้าย ฉะนั้นเซฟตี้โซนในทางปฏิบัติแล้ว เป็นข้อเสนอที่ไม่ได้สนใจ "เหตุผล ความต้องการของฝ่ายผู้ก่อเหตุแต่แรก"
ปัญหามันก็ไม่มีทางยุติหรอก...ตอนนี้ก็คงพูดอะไรมากกว่านี้ไม่ได้
สิ่งหนึ่งที่พอจะพูดได้ก่อนก็คือ แม้ผมจะรังเกียจการใช้ความรุนแรงที่เกิดขึ้นนี้มาก แต่การแก้ปัญหาจะไม่เกิด หาก mindset ยังอยู่กับการมองผู้ก่อเหตุว่า "นรกส่งมาเกิด" อะไรพวกนี้ มันทำให้การมองและความพยายามจะพูดคุย "ให้ได้ผลจริงๆ" มันไม่เกิดครับ
[อีดิตเพิ่ม: พอดีแลกเปลี่ยนกับมิตรสหายท่านหนึ่งมา]
As terrorism theorist, ผมไม่คิดว่าในทางภาพใหญ่ "ฝ่ายนั้นมีทางอื่นที่เป็นรูปธรรม" ในการสื่อสารหรือต่อสู้กับรัฐในฐานะอำนาจที่เหนือกว่า และเรียกร้องข้อเรียกร้องของตนได้อ่ะนะ
คือ การมี safety zone ไม่ได้ผิดโดยตัวมันเอง แต่มันต้องมาพร้อม "เงื่อนเวลา" ว่า ใช้ safety zone นานแค่ไหน เพื่อเตรียมการนู่นนั่นนี่อะไรก็ว่าไป เพืรอเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับผู้ก่อเหตุ (ตัวอย่างไม่ใช่ไม่เคยเกิด)
แต่อันนี้กำหนดกรอบว่า มี safety zone กันนะ ไม่บอกเงื่อนเวลาชัดๆ และไม่บอกว่าระหว่างนี้เราจะ "ทำอะไรให้เค้าบ้าง" (คือ เค้าจะได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน) มันไม่ได้เรื่องหรอกครับ
วิธีการคิดและใช้ข้อเสนอแบบนี้ อยู่บนฐานที่รัฐไทยได้กับได้เป็นหลัก แต่ทางเค้าไม่ได้อะไรเป็น "ชิ้นเป็นอัน" เลย

ไม่มีความคิดเห็น: