PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ข่าว10/2/60

สังฆราช

"ออมสิน" เข้าพบ สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ เจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม อ่านฎีกาอาราธนาขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 20 ตามที่ ร.10 ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง

บรรยากาศที่วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร  ในวันนี้ นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้เดินทางเข้าพบ สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ เจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ที่พระอุโบสถ ซึ่งจัดเตรียมไว้เป็นสถานที่รับภวายฎีกานิมนต์  โดยนายออมสิน  ได้จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย ได้จุดธูปเทียนบุชารัตนไตย กราบนมัสการ สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ จากนั้นได้อ่านฎีกาอาราธนาสมเด็จพระมหามุนีวงศ์ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช  ตามที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง “สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ (อัมพร อมฺพโร)” เป็น “สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 20

โดยบรรยากาศการประกอบพิธีในวันนี้เป็นไปด้วยความสงบและเรียบง่าย และเมื่อเสร็จสิ้นพิธี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้พูดคุยกับสมเด็จพระมหามุนีวงศ์ และท่านรองเจ้าอาวาส พระพรมมุ
------------
สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ ฝากขอบคุณนายกรัฐมนตรี -"ออมสิน" เชื่อท่านไม่มุ่งหวังในลาภสักการะ มีจิตใจที่ดี จึงมีสุขภาพแข็งแรงแม้อายุ 90 ปี

นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยภายหลัง กราบถวายสักการะ ถวายฎีกานิมนต์ สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ เจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ว่า ท่านมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงมาก สำหรับอายุ 90 ปี เชื่อว่าเป็นเพราะที่ผ่านมาสมถะ ไม่มุ่งหวังในลาภสักการะ มีจิตใจที่ดี จึงทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง ขณะเดียวกันประชาชนมีความปิติที่ เจ้าประคุณได้ขึ้นเป็นสมเด็จพรพสังฆราช องค์ที่ 20

ขณะที่สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ ได้กล่าวอวยพร คณะ ให้ปฏิบัติงานด้วยความสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี พร้อมสอบถามเรื่องทั่วไป และฝากขอบคุณ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรีผ่านตัวแทน

////////
ปรองดอง

โฆษก กห.เผยเริ่มพูดคุยการเมืองปรองดองเรียงตามตัวอักษร 14 กพ.อย่างสร้างสรรค์ ชี้ทุกฝ่ายให้ความร่วมมือเป็นสัญญาณดี เดินหน้าประชาธิปไตย

พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยถึงการตั้งโฆษกอนุกรรมการ 4 คณะ ที่อยูในคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ว่า ในการให้ข้อมูลความคืบหน้าในการทำงาน ตนเองจะเป็นผู้ให้ข้อมูลเพียงคนเดียวใน ทุกวันพุธและวันศุกร์ เนื่องจากทำงานของแต่ละคณะมีความสัมพันธ์กัน และจะมีการส่งผู้แทนเข้าไปในแต่ละคณะเพื่อเข้าไปรับฟังข้อเสนอแนะต่างๆ ด้วย ขณะเดียวกัน คณะอนุกรรมบูรณาการข้อคิดเห็นข้อเสนอแนะ จะทยอยรับข้อมูลแนวทางการศึกษาการสร้างความปรองดองที่มีอยู่ ทั้งของ สปช. สปท. มาเรียบเรียงเพื่อให้ตกผลึก ทั้งนี้ จากการประชุมคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง นัดแรก ก็ถือว่าทุกฝ่ายได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี และเดือน ก.พ. ก็เป็นเดือนแห่งความรัก ซึ่งเป็นสัญญาณดี  ที่จะสร้างให้ประเทศชาติเกิดความสงบเรียบร้อย มีความสามัคคี และร่วมกันพัฒนาประเทศ ซึ่งสื่อมวลชนก็มีส่วนสำคัญในการสร้างความเข้าใจแก่ประชาชน โดยขออย่าขยายความที่ทำให้เกิดผลกระทบความการปรองดอง

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 14 ก.พ. ก็จะเริ่มพูดคุยกับพรรคการเมืองและกลุ่มการเมืองโดยเรียงตามตัวอักษร ซึ่งขณะนี้ส่วนใหญ่ได้ส่งหนังสือตอบรับมาแล้ว โดยกระบวนการพูดคุย ได้มีการกำหนดกรอบในการแสดงความคิดอย่างสร้างสรรค์ และเสนอแนวทางการแก้ปัญหา จากนั้นจะนำมารวบรวม ก่อนร่างสัญญาประชาคมร่วมกัน เพื่อให้กระบวนการประชาธิปไตยเดินหน้าต่อไปได้
---------
นายกฯพอใจ งานคืบหน้าหลายด้าน รับส่วนที่มีอุปสรรค หลังจากนี้ ให้ ปยป.ขับเคลื่อนต่อ ย้ำต้องปฏิรูปเรื่องสำคัญให้ได้

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. กล่าวภายหลังการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 2/2560 ที่กระทรวงอุตสาหกรรมว่า เบื้องต้นมีความพอใจที่หลายอย่างมีความก้าวหน้าไปมาก ส่วนสิ่งที่เป็นปัญหาหรือติดขัดจะต้องเข้าสู่คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อน โดยวันนี้ต้องปฏิรูปในเรื่องสำคัญให้ได้เพื่อให้เกิดความปรองดอง ซึ่งที่ผ่านมาความขัดแย้งเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ จึงต้องดูว่าประชาธิปไตยไทยมีปัญหาหรือไม่ รวมถึงความเหลื่อมล้ำด้านเศรษฐกิจและสังคมที่เป็นบ่อเกิดของความขัดแย้ง และการศึกษาต้องสอนให้คนคิดเป็น

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า ได้สั่งการให้มีบูรณาการกลไกเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชั่น เนื่องจากขณะนี้มีหลายองค์กรที่รับผิดชอบในเรื่องดังกล่าว ซึ่งต่างคนต่างทำเพราะคดีความใน
อดีตก็มีปัญหาในด้านกฏหมายหลายตัว จึงให้แต่งตั้งบอร์ดเพื่อพิจารณาในเรื่องดังกล่าวขึ้น ประกอบไปด้วย สำนักงานตรวจสอบเงินแผ่นดิน หรือ สตง. สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน 
หรือ ป.ป.ง. คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ(ป.ป.ท.) โดยให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เป็นเจ้าภาพหลัก
---------
นายกลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการ ปยป.แล้ว ปัดเวทีปรองดองฟอกตัวให้ใครย้ำยึดกฏหมายไม่คุยขัดแย้ง

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.  กล่าวว่า ได้ลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง(ป.ย.ป.) เป็นที่เรียบร้อยแล้วรวมถึงผู้ทรงคุณวุฒิ ดังนั้น ขออย่ากังวลในการทำงานของคณะกรรมการ ป.ย.ป. เพราะต้องมีคณะกรรมการหลักขึ้นมาทำงาน ส่วนรายชื่อที่ออกมาจำนวนมากนั้น เป็นรายชื่อที่ปรึกษาที่เข้ามาช่วยทำงาน ดังนั้นอย่ามองว่าเป็นเวทีฟอกตัวหรือให้เครดิตใคร แต่เป็นเวทีที่มาพูดคุยกัน โดยจะไม่นำปัญหาเดิมมาพูดคุยเพราะการปฏิรูปจะไม่นำเรื่องที่มีความขัดแย้งสูงมาพูด ซึ่งทั้งหมดนี้ทำเพื่ออนาคตและจะจัดตั้งกลไกในการประสานกับคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติในวันหน้าด้วย

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า ส่วนตัวมั่นใจในตัวของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในการทำงานเรื่องปรองดอง พร้อมขออย่าไปกดดันและจับผิด เพราะจะทำให้เสียกำลังใจในการทำงาน ยืนยันว่าพลเอกประวิตร มีความตั้งใจเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ 
และการปรองดองไม่สามารถเกิดได้ภายใน 3 เดือน เพราะปัญหาเกิดมานานและไม่ได้ปรองดองเพียงเรื่องใดเรื่องหนึ่งแต่ต้องเอาปัญหามาคลี่คลายออก

ส่วนกรณีที่ยังมีฝ่ายการเมืองบางฝ่ายไม่เห็นด้วยและไม่เข้าร่วมการปรองดองนั้น ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาของการเปลี่ยนแปลงหรือทำสิ่งใหม่ที่ไม่เกิดขึ้นย่อมมีความคิดเห็นแตกต่าง แต่จะคำนึงถึงประเทศชาติว่าจะยืนตรงไหนของเวทีโลก ทั้งนี้ ปลายทางของการปรองดองไม่จำเป็นต้องมีการเซ็นต์สัญญาประชาคม เพราะเซ็นต์แล้วก็เบี้ยวได้หมด แต่เป็นเพียงการพูดแบบสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นเหมือนสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน

 ---------
"ประวิตร" บอกกำหนดกรอบคุยปรองดอง 10 ข้อหาความเห็นร่วมกัน พร้อมทำสัญญาประชาคมให้ทุกฝ่ายเห็นอนาคตชัด ไม่ทำเรื่องขัดแย้ง

พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่นักวิชาการมอง 10 ประเด็นของคณะกรรมการสร้างความปรองดอง ที่เป็นเรื่องเดิม ๆ ที่เคยพูดคุยแล้ว จึงอาจเสียเวลาเปล่า ว่า แม้จะมีการพูดกันมาอยู่แล้ว ก็จะมีการพูดคุยหารือกันต่อไป เพื่อหาความเห็นพ้องร่วมกัน และข้อตกลงร่วมในการกำหนดเป็นสัญญาประชาคม เพื่อให้ทุกฝ่ายเห็นอนาคตที่ชัดเจน ว่าจะมีหนทางอยู่ร่วมกันอย่างปรององได้อย่างไร

ส่วนหัวข้อการเมือง ที่ถูกมองว่าอาจแก้ไขได้ยากนั้น พลเอกประวิตร ระบุว่า เรื่องใดที่จะก่อให้เกิดความขัดแย้งก็จะไม่ทำ เช่น การเลือกตั้ง ที่หากฝ่ายหนึ่งต้องการแต่อีกฝ่าย ไม่ต้องการให้มีการเลือกตั้ง เป็นต้น
--------
"อลงกรณ์"ชี้ คิกออฟเปิดเวทีปรองดอง วันวาเลนไทน์ ถือเป็นสัญลักษณ์ขับเคลื่อนสร้างความสงบ หวังทุกกลุ่มเข้าร่วม ยึดส่วนรวม

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศคนที่หนึ่ง และกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง กล่าวว่า การดีเดย์เปิดเวทีปรองดองโดยคิกออฟวันแห่งความรัก14ก.พ.ถือเป็นสัญญลักษณ์ของการขับเคลื่อนเพื่อสร้างความสงบสันติอย่างยั่งยืนและหวังว่าตัวแทนพรรคการเมือง จะร่วมมือกันแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ โดยยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง จะมีความเห็นต่างหรือเห็นตรงกัน ไม่ใช่ปัญหา เพราะคณะกรรมการฯ ยึดหลักเปิดกว้างเน้นการมีส่วนร่วมและให้เกียรติทุกกลุ่มทุกฝ่าย โดยอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นที่มีปลัดกระทรวงกลาโหมเป็นประธาน จะรับฟังทุกข้อเสนอและไม่มีการถกแถลงหรือโต้แย้งเช่นเดียวกับเวทีสาธารณะในระดับภูมิภาค ก็จะยึดนโยบายนี้เช่นกัน โดยต้องดำเนินการขั้นตอนการรับฟังความเห็นให้แล้วเสร็จภายใน3เดือน ซึ่งตรงกับช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีใหม่ไทย โดยหวังว่าย่างก้าวแรกของการปรองดองจะสร้างความสุขให้กับคนไทยทุกคนทันปีใหม่ไทยปีนี้
------------
"อลงกรณ์" ย้ำปรองดองเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน ชี้สัญญาประชาคมขึ้นอยู่กับความพร้อมใจไม่มีบังคับ

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศคนที่หนึ่ง และกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง กล่าวว่า การเปิดเวทีปรองดองของรัฐบาลครั้งนี้ ถือเป็นบททดสอบครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยและจะสามารถก้าวข้ามปัญหาวิกฤติการณ์ทางการเมืองที่เสมือนแผลเก่าแผลใหญ่ในอดีตได้หรือไม่ รวมถึงไม่ให้ปัญหาดังกล่าวหวนกลับมาซ้ำรอยอีก ซึ่งแม้จะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ความพยายามครั้งนี้ ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเหมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ พร้อมเชื่อว่าคนไทยทั้งประเทศจะให้การสนับสนุน เพราะการสร้างความสามัคคีปรองดองเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบร่วมกันของคนไทยทุกคน

ขณะเดียวกัน นายอลงกรณ์ กล่าวอีกว่า สำหรับเรื่องสัญญาประชาคม เพื่อความสามัคคีปรองดองนั้น ยังไม่ใช่ขั้นตอนนี้ และเป็นเรื่องที่ไม่อาจบังคับใจใครได้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความพร้อมใจของคนไทยทั้งประเทศว่ายินดีจะเดินหน้าประเทศสู่อนาคตด้วยความสงบสันติอย่างยั่งยืนหรือไม่ โดยขณะนี้อยู่ในช่วงการรับฟังความคิดเห็น ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกเท่านั้นและต้องฟังความเห็นจากทุกกลุ่มทุกฝ่ายทั่วประเทศให้แล้วเสร็จเสียก่อน

-------
"วัชระ"ติงแม่ทัพภาค1เข้าใจนักการเมืองคลาดเคลื่อน ยันไม่ใช่ทุกคนที่หวังเลือกตั้ง ขอไม่มีการรัฐประหารในอนาคต

นายวัชระ เพชรทอง อดีตส.ส.แบบบัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่พลโทอภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ระบุว่า ทหารกับนักการเมืองไม่เหมือนกัน เพราะนักการเมืองหวังการเลือกตั้ง แต่ทหารหวังให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ไม่ถูกผู้มีอิทธิพลรังแกนั้น ซึ่งสิ่งที่แม่ทัพกองทัพภาคที่ 1 พูดถูกต้องแล้ว เพราะนักการเมืองมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ต้องยกมือไหว้และได้รับการยอมรับจากประชาชนถึงจะได้เป็นผู้แทน จึงต้องคำนึงประชาชนก่อนเสมอและต้องทำในสิ่งที่ประชาชนต้องการ ไม่ใช้อำนาจเผด็จการหรือบังคับจิตใจ ให้เกียรติประชาชนเพราะประชาชนเป็นผู้เลือกให้ทำหน้าที่เป็นปากเสียงเพื่อพิทักษ์ปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน

ทั้งนี้  นายวัชระ กล่าวว่า แต่สิ่งที่แม่ทัพภาคที่ 1 เข้าใจคลาดเคลื่อน คือ การกล่าวหาว่านักการเมืองหวังเรื่องการเลือกตั้ง แต่ทหารเราหวังประชาชนอยู่ดีกินดี จริงอยู่ที่นักการเมืองบางคนก็หวังเรื่องการเลือกตั้งอย่างเดียว ไม่ถึงฤดูเลือกตั้งประชาชนก็ไม่เคยเห็นหน้า  แต่ไม่ใช่นักการเมืองทั้งหมดที่เป็นเช่นนั้น นอกจากนี้ ยังหวังเห็นบ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองปราศจากการทุจริตคอร์รัปชั่นของข้าราชการทุกฝ่ายและอยากเห็นประเทศไทยมั่นคง ไม่มีการรัฐประหารในอนาคต แต่ทุกวันนี้ประชาชนอยู่ดีกินดีหรือไม่ อยากให้แม่ทัพภาค1 ไปเดินตลาดสดจะได้รู้ว่าของแพง ประชาชนไม่ได้อยู่ดีกินดีเลย
-------------
เด็กเพื่อไทย เย้ยรัฐปฏิบัติการไอโอไปก็ไม่ได้ผล แนะพูดความจริงกับประชาชนดีที่สุด 
 
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี รัฐบาลเตรียมเดินเกมปฏิบัติการด้านข่าว ขีดเส้นหนึ่งวันต้องรีบชี้แจง ว่า นับตั้งแต่วันแรกที่รัฐบาลคสช.ปฏิวัติรัฐประหาร สังคมก็ได้เห็นความพยายามในลักษณะการสื่อสารทางเดียว ไม่ให้โอกาสฝ่ายอื่นพูด จนอาจกล่าวได้ว่าประชาชนไม่อาจหลีกหนี ทีวี,วิทยุได้  แม้ฟรีดอมเฮาส์ องค์กรวิจัยสนับสนุนสิทธิเสรีภาพ ที่เผยแพร่รายงานประจำปี เรื่องเสรีภาพโลกประจำปี 2560 ยังระบุว่า ประเทศไทยยังคงถูกจัดอยู่ในประเทศที่ ไม่มีเสรีภาพ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ดังนั้น หัวใจสำคัญของการสื่อสาร ไม่ใช่ปฏิบัติการไอโอ แต่ต้องสื่อสารและพูดความจริงกับประชาชนให้มากที่สุด ถึงสถานการณ์ที่แท้จริงของประเทศ 

ทั้งนี้ นายอนุสรณ์ กล่าวว่า เศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างไร ประชาชนสัมผัสได้ ถ้าเศรษฐกิจดีจริง รัฐบาลจะระดมเก็บภาษีทุกช่องทาง ซึ่งแม้รัฐจะจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการก็ต้องผลักภาระนั้นมาให้ประชาชนผู้บริโภค ดังนั้นเศรษฐกิจไม่ดีรัฐบาลควรหาแนวทางปรับแก้ในด้านอื่น เช่น ลดภาษี หรือมาตรการจูงใจอื่นๆ ที่จะกระตุ้นการใช้จ่าย หากยังยึดหลักการอยู่อย่างนี้ ชี้แจงบ่อยหรือเร็วแค่ไหน ก็ไม่เกิดประโยชน์ ไม่มีทางแก้ไขได้อย่างแน่นอน
----------------
ศาลแขวงดุสิต สั่งปรับพันบาท “อานนท์ นำภา ”ผิด พ.ร.บ.ชุมนุมฯ จัดกิจกรรมยืนร้องปล่อยตัว วัฒนา เมืองสุข

ศาลแขวงดุสิต อ่านคำพิพากษา ในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้อง นายอานนท์ นำภา ทนายความและแกนนำกลุ่มพลเมืองโต้กลับ เป็นจำเลย ฐานกระทำผิด พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 จัดการชุมนุมสาธารณะโดยไม่แจ้งให้ผู้รับแจ้งทราบก่อนเริ่มการชุมนุมไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมงจากกรณีเมื่อวันที่ 19 เม.ย.2559 จำเลยจัดกิจกรรม “ยืนเฉยๆ” ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยุติการควบคุมตัว นายวัฒนา หรือไก่ เมืองสุข อดีต รมว.พาณิชย์ สมัยรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี จำเลยให้การปฏิเสธศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง พิพากษา ปรับเงิน 1,000 บาท

ภายหลัง นายอานนท์ เปิดเผยว่า ศาลพิพากษาว่า ตนมีความผิดตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ มาตรา 10 วรรคสอง , มาตรา 12 วรรคหนึ่ง และ มาตรา 28 ฐานเป็นผู้จัดการชุมนุมแต่ไม่แจ้งการชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ในเวลาที่กำหนด ลงโทษปรับ 1,000 บาท ไม่มีโทษจำคุก ซึ่งหลังจากนี้ตนก็จะมีการประชุมกันเพื่อเตรียมยื่นอุทธรณ์คดีต่อไป
-------------
ศาลฎีกา พิพากษากลับ ยกฟ้อง สนธิ  ลิ้มทองกุล กรณีนำคำปราศรัย ดา ตอปิโด มาเผยแพร่ซ้ำบนเวทีพันธมิตรฯปี 51 ทนายระบุ ศาลชี้ไม่เจตนา หมิ่นเบื้องสูง  แค่ขยายความเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่เข้าจับกุม 

ศาลอาญา รัชดา นัดอ่านคำพิพากษาฎีกา ในคดี ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นจำเลยในความผิดฐานดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112จากกรณีเมื่อวันที่ 20 ก.ค.2551 ในเวลากลางคืน จำเลยได้นำเอาคำปราศรัยดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูงของน.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปะกุล หรือดา ตอร์ปิโด มาพูดซ้ำบนเวทีเชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ให้กลุ่มผู้ชุมนุม พันธมิตรฯฟัง

โดยคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง แต่ศาลอุทธรณ์เห็นว่านายสนธิไม่มีความจำเป็นจะต้องนำเนื้อหามาถ่ายทอดซ้ำในที่สาธารณะ ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษากลับจำคุกนายสนธิ เป็นเวลา  2 ปี

ขณะที่ นายสุวัจน์ อภัยภักดิ์ ทนายความของนายสนธิ เปิดเผยภายหลังฟังคำพิพากษา ว่า ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากเห็นว่า การกระทำของนายสนธิเป็นการนำคำพูดของนางสาวดารณี ที่ปราศรัยเพื่อเรียกร้องให้ตำรวจและทหารดำเนินการจับกุมนางสาวดารณี ไม่ให้ปราศรัยดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูงอีก ประกอบกับคำพูดของนายสนธิ เป็นการคัดข้อความมาบางส่วนเท่านั้น ดังนั้นศาลจึงเห็นว่านายสนธิไม่ได้มีเจตนาจะหมิ่นเบื้องสูง จึงพิพากษายกฟ้อง

//////////
นายกฯนำถกหัวหน้าส่วนราชการ ครั้งที่2/2560 -กระทรวงอุตสาหกรรมทำแผนยุทธ์ศาสตร์ไทย 4.0 หวังเพิ่มการเติบโต ขอตั้งSMEประชารัฐ 2 หมื่นล้านบาท

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เดินทางมาเป็นประธานการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 2/2560 แล้ว ซึ่งมีนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวงให้การต้อนรับ

โดยกระทรวงอุตสาหกรรม ได้จัดทำแผนยุทธศาสตร์ การพัฒนาอุตสาหกรรมไทย 4.0 ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 โดยมีเป้าหมายในการเพิ่มอัตราการเติบโตต่อปีของภาคอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง พร้อมขอรับการสนับสนุนจากนายกรัฐมนตรี 2 เรื่อง คือการจัดตั้งกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐจำนวน 2 หมื่นล้านบาท เพื่อเป็นกองทุนสนับสนุนเอสเอ็มอีในการปรับกิจการทั้งการผลิตและบริการให้สอดรับกับยุคไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งจะช่วยเหลือสนับสนุนผู้ประกอบการที่มีศักยภาพให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนไม่น้อยกว่า 9,070 ราย เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจในระดับฐานราก 75,200 ล้านบาท และโครงการศูนย์ทดสอบยานยนต์และล้อยางแห่งชาติ จะขอสนับสนุนบบประมาณประจำปี 2561 แบ่งเป็น 2 ระยะ ในระยะแรกเป็นการสร้างสนามทดสอบยางล้อ UN R117  ส่วนระยะที่สองจะสร้างศูนย์การทดสอบยานยนต์และชิ้นส่วน
-----------
นายกฯนำถกหัวหน้าส่วนราชการเร่งขับเคลื่อนประเทศ ขอทุกคนร่วมทำงานแก้ปัญหาอีก 1 ปีที่เหลืออยู่

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวก่อนเริ่มการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 2/2560 ว่า การประชุมวันนี้ถือว่าเป็นการขับเคลื่อนประเทศ ซึ่งข้าราชการการเมืองและข้าราชการประจำ ต้องร่วมมือกันทำงาน และขอให้ตระหนักว่าตนเองมีความสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ ซึ่งการประชุมทุกครั้ง พยายามที่จะหาแนวทางแก้ไขปัญหา ในช่วง 1 ปี ที่เหลือการทำงานของรัฐบาลนี้ ขณะที่การเยี่ยมบูธผลิตภัณฑ์อุสาหกรรม พบว่ามีแต่สิ่งดี และอยากให้ทุกคนนำไปใช้ ให้ตรงตามความต้องการ โดยเฉพาะความต้องการของประชาชนและกลุ่มบริษัท ที่จะนำไปใช้ตามความต้องการ
---------
นายกฯหวังวิทยุชุมชนประชารัฐสร้างความรับรู้ ยันไม่ได้ตั้งสถานีใหม่ เพื่อประหยัดงบประมาณ ไม่ซ้ำซ้อน 

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวถึงแนวคิดจัดตั้งวิทยุชุมชนประชารัฐว่าเป็นการสร้างความรับรู้ ความเข้าใจต่อประชาชนในสิ่งที่รัฐบาลดำเนินการ ซึ่งขณะนี้วิทยุชุมชนนั้นมีอยู่แล้ว ไม่ใช่การตั้งใหม่ โดยจะใช้สถานีวิทยุเดิม เพราะต้องประหยัดงบประมาณและไม่ซ้ำซ้อน วันนี้ปัญหาประเทศอยู่ที่การสร้างความเข้าใจ ซึ่งได้สั่งการในทุกการประชุมว่าให้พยายามไปสร้างความเข้าใจต่อประชาชน
------
นายกฯหวังนโยบาย EECสร้างรายได้ให้กับประชาชน ยันในอนาคต เตรียมออกกฏหมายรองรับ 

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวถึงนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (อีอีซี) ว่า วันนี้มีความจำเป็นต้องมีโครงการลักษณะนี้ออกมา เพราะสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชนในอีก 10-20 ปี โดยต้องมีแนวทางเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติที่ถูกต้องเหมาะสม ไม่ให้เกิดความเดือดร้อน หากไม่ทำแล้วพัฒนาในแบบเดิมประเทศจะอยู่ที่เก่า ไม่มีสิ่งที่จะช่วยเพิ่มมูลค่า เพราะผลผลิตด้านการเกษตรนั้นตกต่ำลงต่อเนื่อง ดังนั้นต้องมีเรื่องอื่นเข้ามาเสริม และอย่ามองว่าทำแล้วจะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพราะจะมีมาตรการรองรับ สร้างการรับรู้และดูแลประชาชน ขณะนี้ได้ใช้อำนาจตามาตรา 44 ตั้งคณะทำงานคิดและวางแผน โดยในอนาคตจะมีการออก พ.ร.บ.เพื่อรองรับเรื่องดังกล่าว โดยคณะทำงานต้องเดินหน้าร่วมกับคณะรัฐมนตรี
/////////
การทุจริต

"วิลาศ"ยื่นปปช.ตรวจสอบผู้ว่าฯกปภ. ชี้คุณสมบัติไม่ถูกต้อง คกก.กปภ.อาจเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

ความเคลื่อนไหวที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีต ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นหนังสือถึงประธาน ป.ป.ช. ขอให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบนายเสรี ศุภราทิตย์ ผู้ว่าการประปาส่วนภูมิภาค(กปภ.) และคณะกรรมการ กปภ. จากกรณีที่นายเสรียื่นหลักฐานการสมัครเข้ารับการสรรหาเป็น ผู้ว่า กปภ. ได้มีการอ้างคุณสมบัติตามว่าเป็นหรือเคยเป็นผู้บริหารของภาคเอกชนจะต้องดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่านองผู้บริหารสูงสุดขององค์กร ซึ่งต้องเป็นองค์กรเดียวที่มีรายได้ไม่น้อยกว่า 3,500 ล้านบาทต่อปี แต่จากการตรวจสอบกลับพบว่านายเสรี เป็นเฉพาะกรรมการผู้มีอำนาจ ไม่ได้เป็นผู้บริหารหรือรองผู้บริหารสูงสุดแต่อย่างใด

จึงขอให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบและหากมีความผิดจริงขอให้ลงโทษตามกฎหมายกับนายเสรี และคณะกรรมการ กปภ.กรณีจงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ด้วย
----------
เบสท์รินพร้อมสู้ชั้นศาลยืนยันรถเมล์ NGV ซื้อถูกต้องตามฟอร์มดี พร้อมตั้งข้อสงสัยมีผู้อยู่เบื้องหลังล้มการประมูล

นายคณิสสร์ ศรีวชิระประภา ประธานบริษัทเบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด กล่าวยืนยันว่า ขอปฎิเสธทุกข้อกล่าวหาของทางกรมศุลกากร มั่นใจรถเมล์ซื้อมาจาก ประเทศมาเลเซีย และนำเข้าอย่างถูกต้องในแบบฟอร์มดี ที่ประเทศมาเลเซียออกให้ รวมทั้งรถเมล์ เอ็นจีวี ยังเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในทีโออาร์ร่วมกับทาง ขสมก. จึงอยากเรียกร้อง ให้ทางกรมศุลกากร ปล่อยรถเมล์เอ็นจีวี 99 คัน โดยจะชำระแค่ภาษีศุลกากรนำเข้าร้อยละ 40 และให้ทางขสมก.เร่งตรวจรับรถ อย่างไรก็ตามทางบริษัท พร้อมสู้ในชั้นศาลหากมีการฟ้องร้อง ทั้งนี้เชื่อมีผู้อยู่เบื้องหลังล้มการประมูลรถเมล์ NGV 489 คัน

 ซึ่งล่าสุดศาลอาญาได้ประทับรับฟ้องในส่วนของเจ้าหน้าที่กรมศุลกากร 3 คนที่มีการปลอมแปลงเอกสารของทางบริษัท และจะนัดไต่สวนในวันที่ 24 เมษายนนี้
------------
มติกรรมการสอบฟันวินัยร้ายแรง "สุภัฒ" ขโมยภาพที่ญี่ปุ่น เรียกรับทราบข้อหา15กพ.นี้

พันตำรวจเอก ดุษฏี อารวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยภายหลังประชุมคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงนายสุภัฒ สงวนดีกุล อดีตรองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กรณีกระทำความผิดขโมยภาพวาดในโรงแรม ขณะเดินทางไปราชการที่ประเทศญี่ปุ่น ว่า ที่ประชุมมีมติแจ้งข้อกล่าวหา ผิดวินัยร้ายแรงกับนายสุภัฒ  พร้อมให้เข้ารับทราบข้อกล่าวต่อ คณะกรรมการในวันที่ 15 กุมภาพันธ์นี้ เวลา 13.00น. ที่ กระทรวงพาณิชย์ ซึ่ง ที่ประชุมลงความเห็นตามพยานหลักฐานเพียงพอที่จะแจ้งข้อกล่าวหาได้

สำหรับขั้นตอนหลังจากนี้ นายสุพัฒต้องเข้ามาชี้แจงตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ โดยคณะกรรมการจะทำงานให้เร็วที่สุด ส่วนนายสุพัฒ จะนำความดีความชอบจากการรับราชการ มายื่นประกอบการพิจารณาหรือไม่นั้น ก็สามารถทำได้ แต่ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการว่าจะรับพิจารณาหรือไม่ ยืนยันว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่มีใครกดดันการทำงาน ซึ่งโทษทางวินัยของพฤติกรรมนายสุพัฒมีสองระดับคือไล่ออกกับปลดออกเท่านั้น
--------------
"รองปลัด ยธ." เผย เรียก "สุภัฒน์" รับทราบข้อกล่าวหาผิดวินัยร้ายแรง 15 ก.พ.นี้ ที่ กระทรวงพานิชย์

พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมพิจารณาความผิดทางวินัยของนายสุภัฒน์ สงวนดีกุล รองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ กรณีก่อเหตุขโมยภาพเขียน 3 รูป ในโรงแรมที่พักแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น

พ.ต.อ.ดุษฎี กล่าวภายหลังการประชุมว่า ในวันนี้ที่ประชุมเห็นควรเรียกนายสุภัฒมารับทราบข้อกล่าวหาผิดวินัยร้ายแรงในวันที่ 15 ก.พ.นี้ เวลา 13.00 น. ที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เนื่องจากที่ประชุมทุกคนเห็นว่าข้อเท็จจริงนายสุภัฒลักทรัพย์ ซึ่งพฤติการณ์ดังกล่าวเสื่อมเสียเกียรติและกระทบต่อภาพลักษณ์ชื่อเสียงของประเทศตามที่มีการนำเสนอข่าวในประเทศญี่ปุ่น รวมถึงหลักฐานที่ได้รับจากคณะกรรมการสอบสวนเพียงพอจึงได้แจ้งข้อกล่าวหานายสุภัฒว่าผิดวินัยร้ายแรง แต่ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าการลักทรัพย์มีเจตนาหรือไม่ ซึ่งต้องรอให้นายสุภัฒน์ มาชี้แจงกับทางคณะกรรมการก่อน โดยนายสุภัฒน์สามารถยื่นขอชี้แจงได้ทุกเรื่อง รวมถึงการนำเอาคุณงามความดีที่ปรากฎมาให้คณะกรรมการได้ประกอบการพิจารณา เพื่อขอลดหย่อนโทษได้ โดยกระบวนการทั้งหมดจะแล้วเสร็จภายใน 1 เดือนเศษ

อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการทุกคนมีอิสระในการทำงาน ไม่มีใครถูกกดดันและจะพิจารณาด้วยความเป็นธรรม
///////
คดีจำนำข้าว

ศาลปกครองนัดอ่านคำสั่งคดี "บุญทรง-ภูมิ"ฟ้องนายกฯและพวก พร้อมทุเลาคำสั่งทางปกครองจ่ายเงินชดเชยเสียหายข้าวจีทูจี

ศาลปกครองกลาง นัดอ่านคำสั่งในคดีที่ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายภูมิ สาระผล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรีกับพวกรวม 4 คน กรณีคำสั่งทางปกครองให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากเหตุขณะปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในโครงการรับจำนำข้าวและระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ(จีทูจี)

ทั้งนี้คำสั่งที่จะมีการอ่าน เป็นคำสั่งว่า ศาลจะกำหนดมาตรการบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา คือ สั่งทุเลาการบังคับใช้คำสั่งกระทรวงพาณิชย์ ที่ให้นายบุญทรงและนายภูมิชดใช้ค่าสินไหมทดแทนไว้ จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือไม่ หากศาลมีคำสั่งไม่บรรเทา นายบุญทรงและนายภูมิจะต้องหาเงินมาชำระทันที แต่ถ้าศาลมีคำสั่งทุเลานายบุญทรง และนายภูมิ ยังไม่ต้องมีการจ่ายชดใช้จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาคดีถึงที่สุด

สำหรับค่าสินไหมทดแทนจากการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวและโครงการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ จากนักการเมือง และข้าราชการรวม 6 คน มียอดเงินรวมประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นมติให้นายบุญทรงชดใช้ค่าเสียหาย 1,770 ล้านบาท นายภูมิ ชดใช้ 2,300 ล้านบาท
 แต่สิ่งที่น่าจับตาคือไม่ว่าคำสั่งศาลจะออกมาในทางใดก็อาจจะส่งผลไปถึงคดีที่ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยื่นฟ้อง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และขอให้ศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับใช้คำสั่งเรียกให้ชดใช้ค่าเสียหายคดีจำนำข้าวเช่นกัน
----------------
ศาลปกครองมีคำสั่ง ยกคำร้อง "บุญทรง-ภูมิ"ขอให้มีคุ้มครองชั่วคราว คำสั่งทางปกครองชดใช้ค่าเสียหายระบายข้าวจีทูจี ชี้ยังไม่มีการบังคับทางคดี

ศาลปกครองกลาง ได้นัดอ่านคำสั่งในคดีที่ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายภูมิ สาระผล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรีกับพวกรวม 4 คน ที่สั่งให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากเหตุขณะปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในโครงการรับจำนำข้าวและระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ(จีทูจี) โดยในวันนี้ผู้ฟ้องได้ส่งทนายความมารับทราบคำสั่งแทน หลังใช่เวลาเพียง 30 นาที ทนายความได้เดินทางออกจากศาลปกครองทันที โดยกล่าวกับสื่อมวลชนสั้นๆ ว่า ศาลยกคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราว เพราะการบังคับใช้คำสั่งทางปกครองยังไม่เกิด แต่เมื่อกระบวนเริ่มขึ้นจะกลับมายื่นคำร้องอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งยกคำร้องขอให้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว เนื่องจากเห็นว่าผู้ฟ้องยังไม่ได้รับการบังคับทางในการยึดหรืออายัดซับขายทอดตลาด เพื่อชำระค่าสินไหมทดแทนแต่อย่างใด ดังนั้นข้อกล่าวอ้างในคำขอให้ศาลออกคำสั่งทุเลาการบังคับใช้ตามคำสั่งพิพาทของผู้ฟ้องคดีจึงไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด ที่ศาลจะมีอำนาจในการทุเลาการบังคับในระหว่างการพิจารณาคดีนั้นได้

////////
ไซซะนะ

"ประวิตร" บอกรอสอบจับยาเสพติดภาคใต้โยงเครือข่ายไซซะนะ ชี้ มาเลเซียเคุม 6 ผู้ต้องหา พร้อมประสานไทยยังไม่มีข้อมูลเชื่อมโยงกลุ่มไอเอส

พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการจับกุมผู้ต้องหายาเสพติดในภาคใต้ ที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับนายไซซะนะ และอาจเป็นท่อน้ำเลี้ยงแก่ผู้ก่อนความไม่สงบในภาคใต้ว่า  จะต้องรอเจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน ซึ่งเจ้าหน้าที่จะมีช่องทางติดต่อกันอยู่แล้ว

ส่วนกรณีที่ตำรวจมาเลเซียจับกุม 6 ผู้ต้องสงสัยได้ที่รัฐกลันตัน ซึ่งเชื่อมโยงกับกลุ่มรัฐอิสลาม หรือ ไอเอส และ 1 ใน 6 คนนั้น อาจต้องสงสัยว่ามีส่วนร่วมกับกลุ่มบีอาร์เอ็นในภาคใต้ของไทยว่า ทางการมาเลเซีย พร้อมประสานข้อมูลกับไทย แต่มาเลเซีย มีการออกฎหมายใหม่ทำให้ไม่สามารถเผยแพร่ย้อมูลผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มไอเอสได้ และขณะนี้ทางการไทย ยังไม่พบข้อมูลว่ามีความเชื่อมโยงกับกลุ่มไอเอส
-------------------
ปปส.ตั้งคณะทำงาน เตรียมเรียก "เบนซ์ เรซซิ่ง" เข้าชี้แจงที่มาของรถหรูลัมโบกินี 

นายศิรินยาทร์ สิทธิชัย เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดหรือ ปปส.กล่าวว่า ทางกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ได้เสนอเรื่องให้ปปส. ทำการอายัด รถยนต์หรู ลัมโบกินีและรถจักรยานยนต์บิ๊กไบท์ ภายในชื่อนายณัฐพล นาคคำ หรือบอย ผู้ต้องหาเครือข่ายยาเสพติดของนายไซซะนะ แก้วพิมพา ในฐานะผู้ต้องหา และอีกคำสั่งให้ยึดทรัพย์สินนายบอยอีก 12 รายการ แต่เนื่องจากนายบอยให้การพาดพิงถึงนายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช หรือ เบนซ์ เรซซิ่ง สามีนางเอกสาวแพท ณปภา ตันตระกูล จำเป็นต้องเรียกนายเบนช์ มาสอบปากคำด้วย

โดยทางปปส.ได้ตั้งคณะพนักงานเจ้าหน้าที่รวม5คน ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ปปส.3 คนและ บช.ปส. 2 คน จากนั้นพนักงานจะประชุมและเรียกทั้งนายเบนช์ มาชี้แจ้งเหตุผลว่ารถยนต์ ลัมโบกินี ได้มาอย่างไรและถ้าเป็นการยืมเงินมาต้องมีหลักฐานการบยืมเงินจากนั้นพนักงานชุดเดียวกันจะไปสอบปากคำนายบอยที่เรือนจำ ว่าทั้งสองคนให้การสอดคล้องหรือไม่

ทั้งนี้หากพนักงานสอบสวนสอบถึงความเชื่อมโยงใคร ก็จะเรียกมาสอบสวนและหากนายเบชน์ชี้แจงไม่ได้จะมีความผิดข่ายผิดพ.ร.บ.มาตรการป้องกันปราบปรามยาเสพติดพ.ศ.2534 ในความผิดข้อหาฐานสมคบกระทำความผิดเกี่ยวยาเสพติด โดยคณะเจ้าหน้าที่มีกรอบเวลาสืบสวนเป็นเวลา 60 วัน แต่สามารถขยายเวลาออกไปได้ แต่ได้กำชับให้ดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพราะเป็นเรื่องที่สนใจของประชาชน
////////////
เครือข่ายค้ายาใต้

พลตำรวจตรีสุนทร เผย เร่งขยายผลตรวจสอบ บุหลัน ภรรยาผู้ต้องหาค้ายาเสพติดที่ถูกจับปี 57  เอี่ยว คามะลูดีน พ่อค้ายาเสพติดทางภาคใต้หรือไม่  - ประสานมาเลเซียร่วมสอบ 

พลตำรวจตรีสุนทร เฉลิมเกียรติ ผู้บังคับการประจำกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด หรือ ปส ในฐานะโฆษก ปส. กล่าวถึงปฏิบัติการกวาดล้างจับเครือข่ายผู้ค้ายาในภาคใต้ เมื่อวานนี้ มีการจับ นางบุหลัน ธารีสืบ ภรรยาของ นายมามะรุสสัน ดรอแม ผู้ต้องหาค้ายาเสพติดทางภาคใต้ ซึ่งถูกตำรวจมาเลเซียจับไปก่อนหน้านี้ ในปี 2557 พร้อมกับนายจิตรภานุ แซ่เฮง ที่เซฟเฮ้าส์ ในหาดใหญ่ ยึดทรัพย์เป็นเงินสด พร้อมรถยนต์ เครื่องเพชร รวมมูลค่า กว่า 50 ล้าน บาท

โดยนางบุหลัน สารภาพอ้างว่า เป็นเงินของสามี ซึ่งสอดคล้องกับ การสอบปากคำสามีนางบุหลันที่ถูกจับไปแล้วตั้งแต่ปี2557 ว่า เงินจำนวนนี้เป็นเงินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด จริง และมอบให้นางบุหลัน ภรรยา ไว้เพื่อ นำไปซื้อ คอนโดมิเนียม และเอาไว้ใช้จ่ายส่วนตัว

ส่วนกลุ่มนางบุหลัน จะมีความเกี่ยวข้องกับ ผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ทางภาคใต้ คือนายคามะลูดีน บิน อาหว่อง หรือ ไม่ อยู่ระหว่างขยายผลตรวจสอบ ซึ่งทางตำรวจปราบปรายาเสพติดได้ประสานผ่านตำรวจมาเลเซียเพื่อขอเข้าร่วมสอบปากคำนายคามะลูดีน บิน อาหว่อง ทางปากเปล่าไปแล้ว และอยู่ระหว่างจัดทำหนังสือให้เป็นทางการ รวมถึง อาจพิจารณาขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน หากมีสนธิสัญญาร่วมกัน
------------
รองผบ.ตร. ร่วมกับ ปปส.แถลงจับเครือข่ายค้ายา"อุสมาน สะแลแมง" ยึดทรัพย์สินรวม 68 ล้านบาท

พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย นายศิรินยาทร์ สิทธิชัย เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดหรือ ปปส.แถลงผลการจับกุมเครือข่ายค้ายาเสพติด ที่ตำรวจปราบปรามยาเสพติด 5 และปปส. ทำการสืบสวนขยายผลจับกุม นายจิตรภานุ แซ่เฮง และนางบุหรัน สืบธารี ภรรยาของนายมามะรุสสัน ดรอแม ผู้ค้ายาเสพติดเครือข่ายอุสมาน สะแลแมง ที่เป็นคู่ค้ากับ นายไซซะนะ แก้วพิมพา และถูกจับกุมได้ก่อนหน้านี้

โดยการจับกุมครั้งนี้ เจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึดทั้งเงินสดไทย และเงินสกุลมาเลเซีย 52 ล้านบาท รถยนต์ ที่ดิน บ้านพัก ทองรูปพรรณ รวมมูลค่ากว่า 68 ล้านบาท

จากการสืบสวนพบว่านายมามะรุสสัน เป็นผู้ส่งเงินให้นางบุหรัยนำไปซื้อทรัพย์สินและนางบุหรัน ก็ให้การรับสารภาพว่าเป็นเงินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติดจริง ในทางสืบสวนของปส.และปปส.พบว่านายมามะรุสสัน เป็นลูกน้องของนายอุสมาน ซึ่งเป็นคู่ค้ายาเสพติดกับนายไซซะนะและนายไซนุเด็งที่ทางการมาเลเซียจับกุมได้เมื่อเดือยกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา

ไม่มีความคิดเห็น: