PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

"พล.ต.ต.ปวีณ" ลี้ภัยแดนออสซี่...อีกหนึ่งคีย์แมนคดีค้าโรฮิงญาที่ถูกลืม

"พล.ต.ต.ปวีณ" ลี้ภัยแดนออสซี่...อีกหนึ่งคีย์แมนคดีค้าโรฮิงญาที่ถูกลืม

เขียนวันที่
วันพฤหัสบดี ที่ 20 กรกฎาคม 2560 เวลา 04:51 น.
เขียนโดย
ศูนย์ข่าวภาคใต้
14.8kShares
 Share
 Tweet
 Share

คดีค้ามนุษย์โรฮิงญา ซึ่งน่าจะเป็นคดีใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เปิด "แผนกคดีค้ามนุษย์" ในศาลอาญา เพราะมีผู้ต้องหามากถึง 153 คน จับกุมและถูกฟ้องเป็นจำเลย 103 คน เสียชีวิตไป 1 คน ทั้งนักธุรกิจ นักการเมืองท้องถิ่นในภาคใต้ รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐ และนายทหารยศสูงถึง "พลโท" ถือเป็นคดีตัวอย่างที่รัฐบาลไทยใช้ยืนยันกับสหรัฐอเมริกาว่ามีความจริงจัง จริงใจในการปราบปรามขบวนการค้ามนุษย์ 
paween
          แต่คดีสำคัญนี้กลับมีร่องรอยของความด่างพร้อย เมื่อหัวหน้าชุดสอบสวน พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ ออกมาให้ข่าวเปิดโปงการถูกข่มขู่คุกคามจากผู้มีอิทธิพลที่ได้รับผลกระทบทางคดี ที่สำคัญคือผู้ใหญ่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติกลับไม่ดูแล โยกย้ายเขาแบบ "ย้ายระนาบ" ไปอยู่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จากตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 (รองผบช.ภ.8) ไปเป็นรองผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (รองผบช.ศชต.)
          พล.ต.ต.ปวีณ เคยให้สัมภาษณ์เปิดใจกับ "ทีมข่าวอิศรา" เอาไว้ว่า การย้ายเขาไปอยู่ชายแดนใต้ เชื่อว่ามีขบวนการกลั่นแกล้ง เพราะไม่มีใครรับประกันได้ว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์ถูกลอบวางระเบิดสังหารเช่นเดียวกับ พล.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา อดีต ผกก.สภ.ยะหา จ.ยะลา เมื่อปี 2553 เพราะในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างมีเครือข่ายขบวนการค้ามนุษย์อยู่เป็นจำนวนมาก
          ยิ่งไปกว่านั้นตลอดช่วงของการทำคดี เขาถูกข่มขู่คุกคามจากผู้มีอิทธิพลและคนมีสีหลายครั้ง เพราะมีการออกหมายจับนายทหารยศพลโท และนายทหารสัญญาบัตรอีก 4 นาย มีการข่มขู่พยานไม่ให้เข้าให้การ ขณะที่การแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจชั้นนายพลในปีนั้น ก็ไม่มีตำรวจในชุดสอบสวนคดีค้ามนุษย์โรฮิงญาได้รับการแต่งตั้งในตำแหน่งที่ดีขึ้นเลยแม้แต่คนเดียว
          พล.ต.ต.ปวีณ ได้ทำเรื่องขอให้ผู้บังคับบัญชาทบทวนคำสั่งโยกย้าย ซึ่งเป็นวาระแต่งตั้งประจำปี 2558 แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนองที่ดี จึงตัดสินใจยื่นใบลาออกเมื่อวันที่ 5 พ.ย.ปีเดียวกัน
          การถอดใจลาออกของ พล.ต.ต.ปวีณ ตกเป็นข่าวครึกโครม เพราะภาพที่ออกมากลายเป็นว่า"ตำรวจ" ในฐานะ "ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์" ต้องพ่ายแพ้อิทธิพลของขบวนการค้ามนุษย์ ร้อนถึงพล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในขณะนั้น ต้องเชิญ พล.ต.ต.ปวีณ เข้าพบเมื่อวันที่ 10 พ.ย. หลังจากนั้นท่าทีของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็เปลี่ยนไป และให้สัมภาษณ์ยอมรับว่าจะทบทวนใบลาออกของ พล.ต.ต.ปวีณ แต่แล้วสถานการณ์ก็พลิกผันอีกครั้ง เพราะอีกเพียงไม่กี่วันต่อมา พล.ต.อ.จักรทิพย์ ก็อนุมัติใบลาออก ทำให้ชีวิตราชการของ พล.ต.ต.ปวีณ สิ้นสุดลง ทั้งๆ ที่ยังเหลืออายุราชการอีกถึง 3 ปี
          หลังจากนั้น พล.ต.ต.ปวีณ ก็หายหน้าไปจากวงการสีกากี มีข่าวว่าเขาและครอบครัวเดินทางไปประเทศออสเตรเลีย พร้อมทำเรื่องขอลี้ภัย ปัจจุบันมีข่าวว่า พล.ต.ต.ปวีณ ได้สถานะผู้ลี้ภัยแล้ว แต่ยังไม่ได้สัญชาติออสเตรเลีย
          สำหรับ พล.ต.ต.ปวีณ ได้รับการยอมรับว่าเป็น "นายตำรวจน้ำดี" และเป็น "ตำรวจตงฉิน" คนหนึ่ง เขาเป็นคนกระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร จบโรงเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 35 รุ่นเดียวกับ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตลอดชีวิตราชการได้รับรางวัลมากมาย โดยเฉพาะรางวัลพนักงานสอบสวนดีเด่นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 3 ปีซ้อน สมัยดำรงตำแหน่ง ผกก.สภ.กะทู้ และ สภ.เมืองภูเก็ต ได้รับรางวัลที่ 1 โรงพักต้นแบบที่มีการจัดระบบอย่างทันสมัย สามารถตอบสนองการให้บริการประชาชนแบบร้อยเปอร์เซ็นต์
          ส่วนผลงานด้านการสอบสวน เคยคลี่คลายคดีสำคัญๆ มากมาย เช่น คดี นายศักดิ์ ปากรอ ฆ่ายกครัว 5 ศพ ที่อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา คดีฆาตกรรมแหม่มสวีเดน ที่ จ.ภูเก็ต คดีทุจริตก่อสร้างสถานีตำรวจ 396 แห่ง แฟลตตำรวจ 163 แห่ง คดีร้องเรียนแท็กซี่มาเฟีย จ.ภูเก็ต จับกุมผู้ต้องหาได้กว่า 200 คน และคดีสุดท้ายคือคดีค้ามนุษย์โรฮิงญา ก่อนจบชีวิตราชการก่อนเกษียณถึง 3 ปี

ไม่มีความคิดเห็น: