PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2560

กระพือแรงต้านเอง?

กระพือแรงต้านเอง?

แล้วก็ถึงเดือนตุลาคม เข้าสู่ห้วงพระราชพิธีสำคัญของคนไทยทั้งชาติ

อารมณ์ใจหาย บรรยากาศของการถวายอาลัยเป็นครั้งสุดท้ายคงจะปกคลุมไปทั่วประเทศ เหตุการณ์ด้านต่างๆน่าจะเข้าสู่โหมดของห้วงเวลาพิเศษ

โดยเฉพาะเรื่องการเมืองก็น่าจะลดโทนลงโดยอัตโนมัติ

ในจังหวะสำคัญที่ผู้นำรัฐบาลอย่าง “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช.นำคณะนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ และทีมรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับงานด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง ไปพบหารือประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” แห่งสหรัฐอเมริกา ที่ทำเนียบขาว วอชิงตัน ดี.ซี.
มีทั้งคิวหารือแบบ “โฟร์อาย” พูดคุยกันแบบตัวต่อตัวระหว่าง “ลุงตู่” กับ “ทรัมป์”

และการประชุมร่วมคณะใหญ่ของทั้งสองประเทศ เพื่อถกความร่วมมือทั้งด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง ในฐานะไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในภูมิภาคทะเลจีนใต้ที่สหรัฐฯให้ความสำคัญเป็นพิเศษ

ตามภาพเชิงยุทธศาสตร์ ยังไงก็เป็นแต้มบวกรัฐบาล คสช.

เพราะเครดิตของผู้นำรัฐบาลไทยได้รับการประทับจากพี่เบิ้ม ยกระดับออกมานอกบัญชี “ผู้นำเผด็จการทหาร” ที่อเมริกาไม่สุงสิงด้วย

ด้านหนึ่งก็โชคช่วย ผลจากวิกฤติคาบสมุทรเกาหลีและอิทธิพลของจีนแผ่นดินใหญ่ ทำให้ฝรั่งตะวันตกต้องเริ่มทำความเข้าใจกับบริบทประชาธิปไตยแบบไทยๆมากขึ้น

ซึ่งนั่นก็ทำให้แรงเสียดทานจากนานาชาติเบาบางลงตามเงื่อนไข

แต่มันจะแปร่งๆก็ตรงเหตุการณ์ภายในที่สัญญาณไม่ปกติ ตามคิวล่าสุดที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม เป็นคนเปิดปมเองเลยว่า ข้อมูลการข่าวมีกลุ่มคนจ้องก่อเหตุป่วนสถานการณ์ในห้วงพระราชพิธีสำคัญทั้งในและนอกประเทศ

ยังมีคนที่ต่อต้านและไม่หวังดีต่อสถาบัน มีการกำหนดชัดเจน ใครที่คิดไม่ดีก็ขอให้หยุด

พูดเป็นนัยให้โยงข้อมูลเชื่อมกับความเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะปมของขบวนการก่อการร้ายใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ พวกหมิ่นสถาบัน หรือกรณีของอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่กำลังเดินหมากขอลี้ภัยการเมือง

ตามท้องเรื่องรัฐบาล คสช.ต้องตั้งรับแรงกระแทกจากฝ่ายตรงข้ามที่ไม่หวังดี

ซึ่งยังไม่ชัดว่ามาจากทิศทางไหน

แต่ที่เห็นๆโดยปรากฏการณ์ที่แรงกระเพื่อมถูกกระพือจากฝ่ายคุมอำนาจรัฐซะเอง

ไม่ว่าจะเป็นปมร้อน “เก็บภาษีน้ำ” ตามการตีฆ้องป่าวประกาศของนายวรศาสน์ อภัยพงษ์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรฯ เปิดโพยร่างพ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำฯ ที่กำลังผลักดันอยู่ระหว่างการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ใกล้มีผลบังคับใช้ในไม่ช้า

ตามเงื่อนไข ชาวนา ชาวสวน ชาวไร่ จัดอยู่ในประเภทใช้นํ้าด้านการเกษตร เลี้ยงสัตว์เพื่อการพาณิชย์ มีสิทธิ์โดนเก็บค่าน้ำไม่เกิน 50 สตางค์ต่อ ลบ.ม.

โดยหลักการการจัดสรรการบริหารจัดการน้ำให้เพียงพอ

แต่มันก็ง่ายต่อการปลุกกระแสต่อต้านรัฐบาลแบบที่เห็นอาการกระโดดใส่ ลูกเข้าเหลี่ยมเขี้ยวยี่ห้อประชาธิปัตย์ รีบส่งมวยรุ่นใหญ่อย่างนายกรณ์ จาติกวณิช ประธานกรรมการนโยบายพรรคและคณะทำงานด้านน้ำ เปิดแถลง “ตีกิน”

ค้านการเก็บภาษีน้ำ รัฐบาลต้องไม่ซ้ำเติมทุกข์ให้ประชาชน

สถานการณ์อึมครึมคลุมเครือว่าด้วยมาตรการของรัฐยังต่อเนื่อง จากปมร้อนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศในราชกิจจานุเบกษากำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ 5 แห่ง คือ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีนัยต่อความเสี่ยงของประเทศ

กระตุกต่อมผวาลามกระทบปมหวั่นไหวทางด้านเศรษฐกิจ

ยังไม่นับหัวเชื้อชนวนล่อแหลมต่อเนื่องจากปมป่วนชักเข้าชักออก ตำแหน่งของ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ก่อนนำมาซึ่งกฎเข้มพระสงฆ์ที่มีการแจ้งวัดทั่วประเทศให้ปฏิบัติตามธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ห้ามจำหน่ายพระบูชา วัตถุมงคล เทวรูปต่างๆภายในบริเวณโบสถ์ ห้ามปลุกเสกพระเครื่อง ปลดป้ายงานพุทธาภิเษกหรือปลุกเสก ตลอดไปจนถึงห้ามเล่นเฟซบุ๊ก

“ปลุกพระ” ให้ต่อต้านมาตรการเข้ม กระตุกอารมณ์คว่ำบาตรรัฐบาล

แน่นอนโดยปมโยงจากเงินทอนวัด ตัดตอนผลประโยชน์มหาศาลในวงการพุทธพาณิชย์

แต่อย่างที่รู้ๆกัน เรื่องของพระ ปมศาสนาเป็นเรื่องอ่อนไหว

พลาดไป รัฐบาลเสี่ยงเจอแรงต้านแบบที่ประเมินไม่ได้.


ทีมข่าวการเมือง

ไม่มีความคิดเห็น: