PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ความเชื่อมั่น บนความเสี่ยง : ปรากฏการณ์ “ทรัมป์-ประยุทธ์” หัวเชื้อเครดิตไทย

ความเชื่อมั่น บนความเสี่ยง : ปรากฏการณ์ “ทรัมป์-ประยุทธ์” หัวเชื้อเครดิตไทย

ชุ่มฉ่ำตลอดทั้งสัปดาห์ ฤดูปลายฝนต้นหนาว

บรรยากาศฝนสั่งฟ้าในห้วงเวลาเข้าสู่เดือนตุลาคม ตามกำหนดพระราชพิธีสำคัญของปวงชนชาวไทย

โดยสำนักพระราชวังได้เปิดให้ประชาชนทั่วไป เข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพ ถึงเวลา 24.00 น. ของวันที่ 5 ตุลาคม 2560 เป็นวันสุดท้าย

ตามภาพแห่งความจงรักภักดีของพสกนิกรจากทั่วทุกสารทิศ ต่อแถวยาวเหยียดจากพระบรมมหาราชวังไปถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย รอกันข้ามวันข้ามคืน

เพื่อเข้ากราบ “พ่อ” ของแผ่นดิน เสด็จสู่สวรรคาลัย

บรรยากาศแห่งความอาลัยปกคลุมไปทั่วทุกอาณาเขตประเทศไทย ในโหมดที่สถานีโทรทัศน์ทุกช่องปรับโทนสีกึ่งขาวดำ สื่อต่างๆ ห้างร้าน สถานบริการพร้อมใจกันงดรายการบันเทิงเริงรมย์

และนั่นก็รวมถึงฝ่ายการเมืองที่ต้องลดดีกรีความร้อนแรงลงตามกาลเทศะ

โดยเฉพาะภารกิจสำคัญของรัฐบาล คสช.ต้องยกระดับหน่วยงานความมั่นคง ในการดูแลความสงบเรียบร้อยในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ “ในหลวงรัชกาลที่ 9”

ห้วงเวลาประวัติศาสตร์ของชาติไทยต้องสงบนิ่งที่สุด

ยิ่งมีจุดอ่อนไหว ตามสถานการณ์ที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ในฐานะเบอร์หนึ่งด้านความมั่นคง เปิดเผยข้อมูลเองเลยว่า มีข่าวความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนที่จ้องป่วนในช่วงพระราชพิธีสำคัญ โดยเป็นขบวนการที่โจมตีสถาบันมาอย่างต่อเนื่อง

เป็นเรื่องของพวกหน้าเดิมๆทั้งในและนอกประเทศ

ตามรูปการณ์ ทหาร ตำรวจ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงประชาชนทั่วไปก็ต้องร่วมด้วยช่วยกันเป็นหูเป็นตาในการเฝ้าสังเกตขบวนการป่วนเมือง

สกัดแก๊งหมิ่นเบื้องสูง ไม่ให้ทำเรื่องเลวระยำ

และต้องร่วมกันเป็นเจ้าภาพที่ดีในการต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง เหล่าประมุข ผู้นำประเทศต่างๆที่จะเดินทางมาร่วมพระราชพิธีสำคัญขององค์กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของปวงชนชาวไทยและชาวโลก

ตามสถานการณ์ยากที่พลังแฝงความชั่วร้ายจะเอาชนะพลังบริสุทธิ์ของลูกๆชาวไทย

หลอมรวม “พลังแผ่นดิน” ถวายองค์ “ภูมิพล”

ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง ก็นับเป็นการประสบผลสำเร็จอย่างงดงาม

กับปรากฏการณ์ที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ยกคณะใหญ่บินไปเยือนสหรัฐอเมริกา ตามคำเชิญของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ

สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่เป็นผู้นำจากการรัฐประหารที่ได้รับเกียรติให้เข้าไปนั่งในทำเนียบขาว วอชิงตัน ดี.ซี. อย่างสง่างาม

ตามระดับการต้อนรับที่ใช้คำว่า “อย่างดียิ่ง” จากผู้นำสหรัฐฯ

“บิ๊กตู่” ได้พบทั้งเบอร์หนึ่งคือประธานาธิบดี “ทรัมป์” เบอร์สอง รองประธานาธิบดี “ไมค์ เพนซ์” เบอร์สาม “พอล ไรอัน” ประธานสภาผู้แทนราษฎร และเบอร์สี่ ผู้อาวุโสสูงสุดวุฒิสภาอเมริกัน

นอกจากการหารือแบบโฟร์อาย คุยกันเปิดอกแบบสองต่อสอง ประธานาธิบดี “ทรัมป์” ยังขนวงใหญ่ ทั้งกลาโหม กระทรวงต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ มานั่งประชุมร่วมกับคณะของผู้นำรัฐบาลไทย ตั้งแต่เที่ยงครึ่งถึงบ่ายสาม

โดยไม่มีการเอ่ยถามถึงปมการเมืองในประเทศไทย

บ่งบอกถึงการให้น้ำหนักกับผู้นำรัฐบาลทหาร คสช.มากขนาดไหน

หรือแม้แต่ช็อตเล็กๆที่แปลความหมายแล้วยิ่งใหญ่ไม่ธรรมดา กับการที่ “อิวานกา ทรัมป์” ลูกสาวประ-ธานาธิบดีสหรัฐฯ ลงจากห้องมาร่วมถ่ายรูปกับผู้นำไทยและภริยา

เรียกว่า กระชับความสัมพันธ์ในทุกระดับทุกมิติ

ตอกย้ำสถานะของแขกวีไอพี ที่ผู้นำประเทศเล็กๆ อย่างไทยไม่น้อยหน้าชาติมหาอำนาจระนาบเดียวกัน
ซึ่งนั่นก็ไม่แปลกที่ “บิ๊กตู่” จะประกาศให้ได้ยินกันทั่วโลกว่า เจอเพื่อนแท้เพิ่มอีกคน ชมเปาะ
ประธานาธิบดี “ทรัมป์” มีอะไรตรงกัน

โดยเฉพาะความเป็นคนพูดตรงแต่จริงใจ

และย้ำด้วยว่า การเยือนสหรัฐอเมริการอบนี้ไม่ได้มาในนามของตนเองคนเดียว แต่ขนมาทั้งประเทศไทย อยู่สหรัฐฯก็ได้กลิ่นเมืองไทย อยู่ประเทศไทยก็ได้กลิ่นสหรัฐฯ ด้วยความผูกพันกันมานาน

และทั้งหมดทั้งปวง ว่ากันตามยุทธศาสตร์การเมือง โลก จากฉากการพบปะระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์กับประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์”

ทำให้ไทยมาอยู่ในจุดที่อยู่ตรงกลาง

ประคองเกมถ่วงดุลได้แล้วทั้งสหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น และรัสเซีย

ผู้นำรัฐบาลทหารอย่าง “บิ๊กตู่” เคลียร์แรงกดดันจากต่างประเทศลงไปได้ระดับหนึ่ง

เหนืออื่นใด ยังมีอีกช็อตสำคัญที่ถือเป็นไฮไลต์ของรายการนี้ กับการที่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ยืนยันระหว่างการหารือแบบโฟร์อายกับประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ว่าประเทศไทยจะยึดหลักประชาธิปไตยสากล เดินหน้าตามโรดแม็ปในการปฏิรูปประเทศ

โดยในปี 2561 จะมีการประกาศกำหนดเลือกตั้งอย่างชัดเจน

ไม่มีการเลื่อนใดๆทั้งสิ้น

ทั้งนี้ “บิ๊กตู่” ระบุด้วยว่า ประธานาธิบดี “ทรัมป์” ไม่ได้ถาม แต่เป็นเจ้าตัว พล.อ.ประยุทธ์เองที่แสดงความเชื่อมั่นออกไป ถือเป็นการแสดงความจริงใจตอบกลับการต้อนรับอย่างดียิ่งของผู้นำสหรัฐฯ

ชัดเจนว่า เป็นความตั้งใจส่งสัญญาณ

เบื้องต้น โดยจุดมุ่งหมายของผู้นำรัฐบาล คสช. น่าจะต้องการกระตุกความมั่นใจของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศให้กล้านำเงินมาลงทุนในเมืองไทย ในจังหวะเร่งเครื่องดันเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว

ตามระดับความชัดเจนในการเลือกตั้งที่ผู้นำรัฐบาลทหารไทยได้ย้ำสัญญาประชาคมในเวทีใหญ่ ต่อหน้าผู้นำเบอร์หนึ่งของโลกประชาธิปไตย

เลือกตั้งตามโรดแม็ป ยังไงก็เบี้ยวยาก

เอาเป็นว่า ปรากฏการณ์จากการเยือนสหรัฐฯของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่นำมาซึ่งความชัดเจนเกี่ยวกับกำหนดเลือกตั้ง สร้างความมั่นใจให้นักลงทุน พร้อมๆกับสถานะประเทศเล็กๆแต่เสียงดังในการถ่วงดุลการเมืองโลก ยกระดับความร่วมมือกับพี่เบิ้มทั้งเรื่องเศรษฐกิจ ความมั่นคง

ภาพรวมยังไงก็เป็นบวกกับประเทศไทย

เป็นเครดิตที่พุ่งพรวดขึ้นมาในรอบ 3 ปีของรัฐบาลคสช.

แต่นั่นก็แปรผกผันกัน ในขณะที่สถานการณ์แรงกดดันภายนอกประเทศลดโทนลง ตรงกันข้าม แรงเสียดทานจาก

การเมืองภายในประเทศกลับเพิ่มดีกรีสวนทางทันควัน

จับอาการของนักการเมืองทุกพรรคที่รีบออกมา “ตีขลุม” ล็อกคอ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องปล่อยเลือกตั้งในปี 2561 ตามที่ประกาศไว้กับ “โดนัลด์ ทรัมป์” ห้ามเบี้ยว

ลูกเขี้ยวของนักเลือกตั้งอาชีพตีปี๊บบีบทันควัน

พล.อ.ประยุทธ์ ต้องย้ำอีกรอบกับคนไทยที่สหรัฐฯ ที่บอกจะประกาศเลือกตั้งในปี 2561 นั้น แค่การประกาศ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเลือกตั้งกันในปีนั้นเลย เพราะต้องขึ้นอยู่กับกฎหมายลูกประกอบรัฐธรรมนูญจะเสร็จช่วงไหน จากนั้นต้องนับไปอีก 150 วันตามขั้นตอนกระบวนการ

นั่นก็เป็นไปได้ว่ามีการเลือกตั้งปลายปี 2561 หรือเลื่อนไปในปี 2562

เรื่องของเรื่อง ตอนนี้รัฐบาล คสช.ยังต้องใช้เวลาตั้งหลักอีกพักใหญ่

ไล่ตั้งแต่การเคลียร์ “จุดอ่อน” ที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ก็ยอมรับว่า แม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะเติบโตตามเป้าหมาย แต่การกระจายยังไปไม่ถึงมือคนยากคนจนในระดับฐานราก
แบบที่รัฐบาลต้องเร่งอัดฉีดทั้งบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพิ่มเงินรายเดือนคนชรา แก้ปัญหาปากท้อง

ในจังหวะที่ภาษีร้อนๆ ไล่ตั้งแต่ภาษีบาป เหล้า บุหรี่ การขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) เป็น 9 เปอร์เซ็นต์ และเก็บภาษีน้ำชาวนา โผล่ขึ้นมาหลอนประชาชน

พาลให้คนด่ารัฐบาล ถังแตก หาเงินไม่เป็น

และที่เป็นปัญหาใหญ่เลยก็คือ ประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนนโยบายไปสู่การปฏิบัติ งานไม่เดิน เนื้องานไม่ออก แถมปมทุจริตนัวเนียอยู่ในหมู่คนใกล้ตัว เป็นน้ำหนักถ่วงผู้นำรัฐบาล

ตามสถานการณ์ยังเหลื่อมกันอยู่ ระหว่างความเชื่อมั่นในเชิงจิตวิทยาที่พรุ่งปรี๊ด แต่ความเชื่อมั่นแท้จริงที่มาจากภาคปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาลยังก้ำกึ่ง

มันจึงยังเป็นแค่ความเชื่อมั่นบนความเสี่ยง.

“ทีมการเมือง”

ไม่มีความคิดเห็น: