ห้วงเวลานี้ทุกสายตาโฟกัสไปที่คนชื่อ “อาทิวราห์ คงมาลัย” หรือ “ตูน บอดี้สแลม” ศิลปินนักร้องดัง ที่กำลังวิ่งจากใต้สุดของประเทศ อ.เบตง จ.ยะลา สู่เหนือสุดของประเทศ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ระยะทางกว่า 2,000 กิโลเมตร ตามโครงการ “ก้าวคนละก้าว” ระดมเงินบริจาคช่วยโรงพยาบาลรัฐ 11 แห่งทั่วประเทศ
ปฏิเสธไม่ได้ว่า เขาคือผู้จุดประกายอย่างแท้จริง
กับสิ่งที่คนไทยคนหนึ่งได้แสดงให้เห็นถึง “หน้าที่พลเมือง” ที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ทุ่มเท เสียสละทั้งแรงกาย แรงใจทำเพื่อผลประโยชน์ประเทศชาติส่วนรวม
ท่ามกลางกระแสตอบรับจากประชาชนทั่วประเทศอย่างล้นหลาม
“ตูน บอดี้สแลม” ได้สร้างปรากฏการณ์กระตุ้นพลังแฝงในสังคม กระตุกอารมณ์คนทั่วประเทศให้ก้าวข้ามบริบทเดิมๆของสังคมไทยที่ชอบคิดแต่ธุระไม่ใช่
ตามภาพของผู้คนจำนวนมากที่รอรับนักร้องดังตลอด 2 ข้างทาง พร้อมกับยอดเงินบริจาคที่ทะลุหลักร้อยล้านอย่างรวดเร็ว เป็นคำตอบได้อย่างดี
“ตูน บอดี้สแลม” ได้นำสังคมก้าวข้ามบริบทเดิมๆ ไปแล้ว แต่การเมืองเรื่องของเกมอำนาจประเทศไทย
ยังหนีไม่พ้นวังวนเดิมๆ
ในจังหวะสถานการณ์ต่อเนื่องกับกระแสการปรับคณะรัฐมนตรี ภายหลังตำแหน่งว่างลงจากการลาออกของ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล อดีต รมว.แรงงาน ตามรูปการณ์ที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช.ได้แจ้งต่อที่ประชุม ครม.
มีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเพื่ออนาคต
ตามรูปการณ์ที่ “บิ๊กตู่” พยายามรวบรัดตัดความ จำกัดวงแรงกระเพื่อมของการปรับ ครม.ที่หนีไม่พ้นภาวะทางใจของคนที่ผิดหวัง ท่ามกลางกระแสข่าวจากวงใน วงนอก ช่วยกันใส่ฟืน โหมเติมเชื้อไฟ โดยเฉพาะนักการเมืองทั้งค่ายประชาธิปัตย์กับเพื่อไทยที่อาศัยโหนกระแสตามท้องเรื่อง “ปล่อยของ” ผ่านสื่อ
“เสี้ยม” ให้ทีมงานรัฐบาลแตกคอกัน
และนั่นก็โยงเป็นเหตุผลว่าด้วยการยังไม่ปลดล็อกพรรคการเมืองให้ทำกิจกรรมตามเหตุผลที่ “นายกฯลุงตู่” ได้แจกแจงผ่านเอกสาร ยืนกรานคสช. ได้ประเมินสถานการณ์ขณะนี้ยังไม่เรียบร้อย
จึงขอให้การปลดล็อกที่พูดกันรอไปอีกระยะ อย่าตื่นเต้นกังวล
งานนี้ส่อเค้ายื้อแบบไม่กำหนดเวลา ตามภาวะปัจจัยแทรกไม่อยู่ในวิสัยที่ “บิ๊กตู่” ควบคุมได้ นั่นก็กระตุกเสียงโหวกเหวกโวยวายของนักการเมืองทุกป้อมค่ายไล่บี้ไล่กดดันกันไม่ลดละ
แต่ในจังหวะที่กระแสจับจ้องไปที่การปลดล็อกกฎเหล็กพรรคการเมืองและคิวปรับ ครม. มันก็มีประเด็นแทรกคิวมาสร้างความฮือฮากว่า แทบจะกลบปมปลดล็อกและเบียดข่าวปรับ ครม.ไปเลย
เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ได้ปล่อย “6 คำถามถึงพี่น้องประชาชน”
คำถามข้อที่ 1 คือเราจำเป็นต้องมีพรรคการเมืองใหม่ๆขึ้นมาหรือไม่ในวันนี้ หรือนักการเมืองหน้าใหม่ๆ ที่มีคุณภาพ ให้ประชาชนได้พิจารณาในการเลือกตั้งครั้งต่อไป การมีพรรคเดิม นักการเมืองหน้าเดิมๆ มีรัฐบาลจะทำให้ประเทศชาติเกิดการปฏิรูปและทำงานต่อเนื่องตามยุทธศาสตร์หรือไม่ ตนไม่ได้ว่าใคร สื่ออย่าเขียนให้ทะเลาะกัน เพราะตนพูดกับประชาชนไม่ได้พูดกับนักการเมือง
คำถามข้อที่ 2 การที่ คสช.จะสนับสนุนพรรคใดหรือตนจะสนับสนุนใครเป็นสิทธิ์ของตนหรือไม่ แล้วตนต้องไปลงสมัครรับเลือกตั้งหรือไม่ ก็เปล่า เพราะลงสมัครเลือกตั้งไม่ได้ เนื่องจากตนไม่ได้ลาออก (ลาออกจากนายกฯ) ก็จบแล้ว สิทธิ์ของตนมีไม่ใช่หรือ ตนจะไปสนับสนุนใครก็ได้ หรือไม่สนับสนุนใครเลยก็ได้ ถ้าไม่มีอะไรใหม่ๆมาตนก็ไม่สนับสนุน
คำถามข้อที่ 3 สิ่งที่ คสช.และรัฐบาลนี้ดำเนินการ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ประชาชนมองเห็นอนาคตที่ดีของประเทศชาติบ้างหรือไม่ โดยคำถามย่อย
1.เห็นด้วยกับรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาที่หมักหมมมาเป็นเวลานาน ด้วยการรื้อใหม่ ทำใหม่ การวางแผนงานอย่าง เป็นขั้นเป็นตอน เป็นระยะสั้น กลาง ยาว อาทิ การแก้ไขปัญหา IUU, ICAO ฯลฯ หรือไม่
2.เห็นด้วยกับการให้มียุทธศาสตร์ชาติ และแผนปฏิรูปประเทศเพื่อให้การเมืองไทยในอนาคตมีประสิทธิภาพ มีธรรมาภิบาล เกิดความต่อเนื่องในการพัฒนาประเทศหรือไม่
3.การทำงานของทุกรัฐบาลต้องคำนึงถึงภาพรวมทั้งประเทศ คนทั้งประเทศ ทุกจังหวัด มิใช่ทำแต่ตามนโยบายพรรคที่ได้หาเสียงไว้ หรือดูแลเฉพาะพื้นที่ฐานเสียงที่สนับสนุน รวมทั้งต้องทำงานตามยุทธศาสตร์ชาติให้เกิดความต่อเนื่องใช่หรือไม่
คำถามข้อที่ 4 การเอาแนวทางจัดตั้งรัฐบาลในอดีต ที่วันนี้พูดว่าเอารัฐบาลในอดีตสมัยโน้นสมัยนี้มาเปรียบเทียบกับการจัดตั้งรัฐบาลวันนี้ มันเหมือนกันหรือไม่ สถานการณ์ภายนอกและประชาชนเหมือนกันหรือไม่ สถานการณ์วันนี้โซเชียลมีเดียพัฒนามากไปหรือไม่ มันเป็นคนละเวลาหมด ก็จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนและพัฒนาไปสู่สิ่งที่ดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งในอดีตก็ดีอยู่แล้วในบางรัฐบาล หรือบางช่วง แต่วันนี้อย่าลืมว่า คสช.และรัฐบาลนี้เข้ามาในสถานการณ์อะไร เราได้พบเห็นแต่ความขัดแย้ง ความรุนแรง การแบ่งแยกประเทศเป็นกลุ่มๆ เพื่อมาสนับสนุนทางการเมืองใช่หรือไม่
คำถามข้อที่ 5 รัฐบาลและการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยที่ผ่านมาของไทย ได้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพ มีธรรมาภิบาล และมีการพัฒนาประเทศที่มีความต่อเนื่องชัดเจนเพียงพอหรือไม่
คำถามข้อที่ 6 ข้อสังเกตเพื่อพิจารณา เหตุใด พรรคการเมือง นักการเมืองจึงออกมาเคลื่อนไหว คอยด่า คสช. รัฐบาล รัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี มีการบิดเบือนข้อเท็จจริงช่วงนี้มาก ผิดปกติเพราะอะไร
แบไต๋ แบะท่าโชว์แผนงานทางการเมืองเป็นนัย
โฟกัส 3 ข้อแรก สรุปความตามภาษาทางการเมืองได้ว่า “บิ๊กตู่” ไม่ต้องลงสมัครรับเลือกตั้งเอง แต่จะประกาศหนุนพรรคการเมืองที่น่าจะตั้งขึ้นมาใหม่ เพื่อเบียดสู้กับขาใหญ่อย่างประชาธิปัตย์กับเพื่อไทย
เป็นสัญญาณให้กองเชียร์ “นายกฯลุงตู่” ได้รับรู้
พล.อ.ประยุทธ์ปูทางสู้ในเกมเลือกตั้ง ตามยุทธศาสตร์การลากยาวอำนาจในห้วงเปลี่ยนผ่าน
และนั่นก็กระตุกอาการนั่งไม่ติดของนักการเมืองอาชีพทั้งพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทยรีบแย่งกันออกมาตอบ 6 คำถามของ “นายกฯลุงตู่” ก่อนประชาชน โดยเฉพาะคนพรรคประชาธิปัตย์ออกอาการเต้นผางมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค หัวหอกนำทีมเอง
ทั้งด่า ทั้งขู่ ทั้งดักคอ พล.อ.ประยุทธ์อย่าคิดสืบทอดอำนาจ
ประชาธิปัตย์อาละวาดใส่ “6 คำถาม” สะท้อนความหวั่นไหวในฐานะของป้อมค่ายที่ได้รับผลกระทบ มากสุด หากมีการก่อกำเนิดของพรรคการเมืองมาแบ่งแต้มไปช่วย “นายกฯลุงตู่”
งานนี้เหมือนจะรู้ตัวแล้วว่า คสช.ไม่เลือกใช้เป็นฐาน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ว่ากันตามหลักการมันก็ไม่ได้ผิดแต่อย่างใดกับยุทธศาสตร์ในการสื่อสารตรงกับประชาชน อย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ทิ้งทุ่นท้าย 6 คำถาม อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ ที่ตนถามเพราะอยากให้ทุกคนที่เป็นคนไทยได้พิจารณาตัดสินใจ
นี่ก็เหมือนกับการย้ำผลประชามติรัฐธรรมนูญให้ลึกไปอีกขั้น
มันมีร่องรอยอยู่แล้วตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่เปิดทางให้ พล.อ.ประยุทธ์ มีโอกาสสูงในการกลับมาเป็นผู้นำในช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปี ไปสู่การปฏิรูปประเทศ
เรื่องของเรื่อง ปฏิเสธไม่ได้ว่านักการเมืองเอง
ก็โวยได้ไม่เต็มปากเต็มคำ ในเมื่อพฤติกรรมในอดีตมันยังหลอนชาวบ้าน กับการแก่งแย่งอำนาจและ ผลประโยชน์กันทุกวิถีทาง สู้กันในเกมสภาไม่พอ ลากออกมาสู้กันบนถนน ปลุกม็อบปิดบ้านปิดเมือง ทำประเทศเกือบเป็นรัฐล่มสลาย
ถึงวันนี้ประชาชนยังไม่ไว้วางใจ นักการเมืองหน้าเดิมจะกลับมาลากประเทศลงเหวอีกหรือไม่
นี่คือจุดที่ทำให้ “นายกฯลุงตู่” มั่นใจ โยน 6 คำถามมาตอกย้ำประตูฝาโลง
แต่ขณะเดียวกัน ในสถานการณ์ที่รัฐบาลทหาร คสช. เองก็ไม่ได้อยู่ในจุดที่กุมสภาพความเหนือกว่า สักเท่าไหร่ ตามปรากฏการณ์เชิงกระแสที่ทีมงาน “ลุงตู่” ก็เริ่มเผชิญกับแรงเสียดทาน ผจญภาวะขาลง สังคม
ไม่ไว้วางใจกับพฤติกรรมแฝงผลประโยชน์ของคนรอบข้างผู้นำ
ชักจะไม่แตกต่างจากที่ด่านักการเมืองสักเท่าไหร่ คนเริ่มรู้สึกหนีเสือปะจระเข้
ในเหลี่ยมที่มองได้ว่า การจุดพลุ “6 คำถาม” มาปะทะกับนักการเมือง ก็คือจังหวะของการชิ่งหนีวิกฤติศรัทธา เพื่อกรุยทางเดินหน้าอำนาจต่อไป
ตามเงื่อนไขสถานการณ์มาถึงจุดท้าทาย กงล้อทางการเมืองไทยจะหมุนข้ามวัฏจักรเดิมๆพ้นหรือไม่
ทั้งหมดทั้งปวง มันก็อยู่ที่ประชาชนเองต้องสำแดงความเป็นเจ้าของประเทศ
ไม่ว่านักการเมือง หรือทหาร ถ้าเจอด่านคนไทย “กาบัตร” เลือกตั้งอย่างมีคุณภาพ
ต่อไปก็ไม่ต้องเสียเวลามาคอยตอบคำถามกัน.
“ทีมการเมือง”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น