PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ถึงจุดใช้มือการเมือง

ถึงจุดใช้มือการเมือง

ถ้าเป็นมวยก็ส่ออาการ “เมาหมัด” มึนไปหมด

ตามฟอร์มล่าสุดที่ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ต้องเคลียร์ข่าวที่ถูกนักวิชาการสายเสื้อแดงคนดัง แฉความสัมพันธ์กับอดีตนักข่าวสาวถึงขั้นมีลูกมีเต้า โดยปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง
ยืนยันเลยว่า ตัวเองทำหมันมา 20 ปีแล้ว

เรื่องของเรื่อง ว่ากันตามแนวโน้มสถานการณ์มันสะท้อนภาวะอ่อนไหว “พี่รอง” ตกอยู่ในตำบลกระสุนตก โดนปมร้อนเข้าปะทะไม่หยุดหย่อน มาถึงจุดที่ผวาแม้แต่ข้อมูลข่าวโคมลอยในโซเชียลมีเดียของนักวิชาการเสื้อแดง

กลายเป็นออกแรงช่วยกระพือปมฉาวให้ขยายวงซะอย่างนั้น

ภายใต้บรรยากาศกดดัน กระแสการปรับคณะรัฐมนตรี เสียงยุให้ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. โละทิ้ง “ตัวถ่วง” รอบเอว

โดยเฉพาะเพื่อนพ้องน้องพี่ที่มีปัญหา ก่อนพากันพังทั้งยวง

ล้อกับกระแสสื่อหลัก พักหลังจะเห็นชื่อวนเวียนป้วนเปี้ยนอยู่ที่คิวของ พล.อ.อนุพงษ์ กับรายของ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ พาดหัวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์รายวัน

ชี้เป้า วัดใจ “นายกฯลุงตู่” กันในที

ที่แน่ๆโจทย์ของหัวหน้า คสช.ไม่ได้แค่จะอุ้มพี่น้องเพื่อนต่อไปไหวหรือไม่ แต่มันข้ามไปถึงสูตรที่ต้องลดโควตาทหาร เปิดพื้นที่ให้ “นายกฯลุงตู่” ดึงมือบริหารอาชีพเข้ามาช่วยปั่นเนื้องานในห้วงท้ายของรัฐบาล และนั่นยังอาจหมายถึงโอกาสเปิดให้นักการเมืองอาชีพเข้ามาร่วมทีม

เข้าสู่โหมด “รัฐบาลเพื่อการปฏิรูป”

ตามสถานการณ์ล่าสุดที่นักข่าวเริ่มไล่เช็กข่าวทางลึก แกะรอยรายชื่อ “บิ๊กเนม” นักการเมืองที่มีคุณสมบัติเข้าข่ายได้รับเทียบจากรัฐบาล คสช.เชิญมาช่วยทำงาน

แบบที่ล่าสุด “ซือแป๋” นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ต้องเคลียร์คำถามสื่อมวลชนกรณีที่มีคนเห็นเดินทางไปทัวร์ประเทศจีนกับอดีตรัฐมนตรีคนดัง “มือประสาน” อย่างนายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ และนายกรพจน์ อัศวินวิจิตร ยืนยันเป็นแค่ก๊วนเที่ยวขาประจำ

ไม่เกี่ยวกับการนำมือบริหาร นักการเมืองเข้าร่วม ครม.แต่อย่างใด

ขณะเดียวกัน มันก็เป็นอะไรที่โยงเป็นเงื่อนไขต่อเนื่องกันกับการเปิดทางนักการเมืองเข้าร่วมทำงานตามรูปการณ์ที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม ในฐานะผู้จัดการขุมอำนาจ คสช. ทิ้งทุ่นเป็นประโยค “ปลายเปิด” ว่าด้วยการตั้งพรรคการเมืองทหาร

ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องตั้ง ถ้าจำเป็นก็ต้องตั้ง

แปลความตามนี้ คงหนีไม่พ้นต้องมีพรรคทหารแน่ เพียงแต่ของจริงไม่มีทางหลุดให้จับไต๋ได้ง่ายๆ ส่วนใหญ่พวกที่เคลื่อนไหวโฉ่งฉ่างให้เป็นข่าว มักจัดอยู่ในประเภทของปลอมที่แอบอ้างสร้างราคาตัวเอง
เชื่อเอาไว้ก่อนเลยว่า “ของเทียม”

เรื่องของเรื่อง มันก็ยังเป็นแค่จังหวะที่นายวีระ สมความคิด นักเคลื่อนไหวชื่อดังจุดพลุแฉดักทางการตั้งพรรคทหาร ต่อด้วยกระแสการโผล่มาของ “พรรคพลังชาติไทย” ที่มีชื่อของบิ๊กท็อปบูตเป็นแกนนำ
ตามน้ำด้วยคิวของนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ยืนยันว่า มีการลงพื้นที่ของคนในพรรคนี้จริง และลงพื้นที่ในภาคใต้มานานร่วมปีแล้ว แม้แต่ในภาคอีสานก็เช่นกัน โดยผู้สมัครส่วนใหญ่เป็นอดีตนักการเมืองท้องถิ่นเป็นหลัก และข้าราชการเกษียณ

แต่ที่แน่ๆ “บิ๊กป้อม” บอกปัดแล้วว่า ไม่รู้จักกับขุนทหารที่เป็นข่าวแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางกระแสการตั้งพรรค คสช.เริ่มก่อเชื้อชนวนขึ้นมา

มันมีจุดที่น่าสังเกตจากยุทธการเดินหน้าอัดฉีดมาตรการช่วยคนจน ตามคิวที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ได้สั่งให้กระทรวงการคลังเร่งจัดทำโครงการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย 11 ล้านคน ระยะ 2 ที่ลงทะเบียนในโครงการสวัสดิการแห่งรัฐ

จะประกาศรายละเอียดโครงการภายในเดือนธันวาคมนี้และเริ่มโครงการตั้งแต่ต้นปี 2561

รายการโปรโมชั่นซื้อใจชาวบ้านฐานใหญ่ “ตุนแต้ม” สะสมให้ “ลุงตู่” ไม่หยุด

และจุดที่จับไต๋ได้ จากอาการของนักเลือกตั้งอาชีพทั้งพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทย ที่ต่างก็ “ล็อกเป้า” ถล่มทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลอย่างหนัก

“สมคิด” ต่างหากที่ถูกเล็งเป็นกลไกหลัก ถ้าจะมีพรรค คสช.จริงๆ.

ทีมข่าวการเมือง รายงาน

ไม่มีความคิดเห็น: