PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2561

คิวสะดุดต่อตั๋วอำนาจ

คิวสะดุดต่อตั๋วอำนาจ


ต้องโร่เคลียร์ชนักตั้งแต่ต้นปี
ตามซีนที่เรื่องหมาๆประเดิมให้สะดุ้งรับปีจอ
หลังจากนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช.ให้ตรวจสอบเอาผิด “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย และ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี
กรณีการให้และรับของขวัญที่มีมูลค่าเกิน 3,000 บาท เข้าข่ายหมิ่นเหม่ขัดมาตรา 103 พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต
ปมสืบเนื่องจากการที่ “บิ๊กตู่” ซื้อลูกสุนัขพันธุ์บางแก้วราคาตัวละ 6,000 บาท พร้อมเอ่ยปากจะมอบให้แก่ พล.อ.อนุพงษ์ และ พล.อ.ฉัตรชัย ระหว่างการลงพื้นที่ ครม.สัญจรที่ จ.พิษณุโลก
“บิ๊กตู่” เจอนักร้องขาประจำกระตุกหนวดเสือ พุ่งเป้าดิสเครดิตทีมงานอำนาจพิเศษต่อเนื่อง
ต้องรีบปัดเผือกร้อนพัลวัน ปฏิเสธยังไม่มีการมอบลูกสุนัขให้ใคร หากใครอยากได้ต้องจ่ายเงินซื้อ ขณะที่ “บิ๊กป๊อก” ออกตัวไม่ขอรับลูกหมาจากนายกรัฐมนตรี เพราะที่บ้านเลี้ยงสุนัขอยู่แล้ว เช่นเดียวกับ พล.อ.ฉัตรชัย ก็ระบุยังไม่ได้รับลูกสุนัขจากนายกฯมาเลี้ยง
น้องเล็ก พี่รอง และเพื่อนรัก รีบดีดตัวออกจากเรื่องหมาๆ ยืนกรานรู้ระเบียบข้อกฎหมาย ป.ป.ช.เป็นอย่างดี ห้ามให้หรือรับทรัพย์สินที่มีมูลค่าเกิน 3,000 บาท
แต่เรื่องของเรื่องงานนี้ “ศรีสุวรรณ” คงทำได้แค่อาศัยเหลี่ยมการเมืองตอดเล็ก ตอดน้อย ฉวยจังหวะตีกิน เป็นแค่สีสันคั่นเวลารับบรรยากาศปีใหม่เท่านั้น
ไม่น่าจะขยายความบานปลายออกไปเหมือนกรณีนาฬิกาหรูของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ที่ต้องใจจดใจจ่อลุ้นระทึกการตรวจสอบอยู่ขณะนี้
แต่ที่ต้องลุ้นกันหนักหลังจากนี้คือ โปรแกรมตีตั๋วคั่วเก้าอี้นายกฯคนนอก หวนคืนอำนาจ ภายหลังการเลือกตั้งปลายปี 2561
ในภาวะคะแนนนิยมของรัฐบาลชักร่อยหรอลงเรื่อยๆ ต้นทุนที่เคยมีเป็นกอบเป็นกำในช่วงเข้ามาบริหารประเทศระยะแรกๆถดถอยไปตามกาลเวลา
กองเชียร์ที่เคยผูกมิตร ตีตัวออกห่าง หันไปอยู่ฝั่งตรงข้ามมากขึ้น
เค้าลางอย่างที่เห็นๆกันอยู่ แนวร่วม อาทิ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กลุ่ม กปปส. กลุ่มเอ็นจีโอ กลุ่มเกษตรกรชาวสวนยาง ชาวประมง ที่เคยเห็นดีเห็นงามร่วมโค่นรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์”
เริ่มเปลี่ยนท่าทีไม่ญาติดีกับรัฐบาล คสช.เหมือนเก่า
ตรงกับสัญญาณที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เอ่ยปากเตือนกันตรงๆ “บิ๊กตู่” แทบไม่มีกองหนุนเหลืออยู่แล้ว
สะท้อนสถานภาพรัฐบาลท็อปบูตอยู่ในช่วงขาลงของจริง
ส่วนหนึ่งนอกจากการแก้ปัญหาเศรษฐกิจประเทศที่ไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่น ต้องลุ้นกันช็อตต่อช็อต
อีกส่วนยังต้องเสียอาการทรงตัวจากพฤติกรรมพวกพ้องน้องพี่ที่ฉุดความศรัทธา ทำลายความคาดหวังชาวบ้านลงไปเรื่อยๆ
ในสถานการณ์ที่หมดตัวเลือก โบ้ยความผิดไปให้รัฐบาลเดิมหรือนักการเมืองหน้าเก่าเหมือนในอดีต เพราะกุมอำนาจเบ็ดเสร็จบริหารประเทศย่างเข้าสู่ปีที่ 4 ไม่เหลือข้ออ้างใดๆจะปฏิเสธความรับผิดชอบได้อีก
ตามภาวการณ์ที่ผู้นำ คสช.ต้องคิดหนัก ทบทวนหาเหตุผลที่ทำให้ต้นทุนหน้าตักหดหาย
ยิ่งการออกมาป่าวประกาศสถานะเป็น “นักการเมือง” เต็มตัว แบไต๋เบิกทางพร้อมลงสนามการเมือง เผยให้เห็นร่องรอยการลุ้นตั้งพรรคทหาร หรือใช้นอมินีเป็นนั่งร้าน ย่อมมีน้ำหนักชัดเจนขึ้นตามลำดับ
เลี่ยงไม่พ้นถูกรับน้องล่อเป้าจากคู่แข่งการเมืองมากขึ้นทุกขณะ
กว่าจะฝ่าแรงเสียดทานไปถึงสังเวียนเลือกตั้งปลายปี มีแนวโน้มต้องเจ็บตัวสะบักสะบอมหนักขึ้นเรื่อยๆ
หากไม่รีบกลบจุดอ่อน ปล่อยให้ปัญหาปากท้องยืดเยื้อ และปล่อยให้แผลคนใกล้ตัวเรื้อรังไปเรื่อยๆ ย่อมกระทบภาพพจน์และศรัทธาประชาชนให้สั่นคลอนไปกันใหญ่
โอกาสคัมแบ็กต่อตั๋วอำนาจอาจลำบากมากขึ้น!!!

ทีมข่าวการเมือง

ไม่มีความคิดเห็น: