PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2561

แก้เกมกติกา อย่าซ้ำวิกฤติ : โหมโรงเลือกตั้ง “ปั่นกระแส” สะท้อนธาตุแท้เก่า

ผ่านสัปดาห์แรกเดือนตุลาคม ห้วงเวลาของการเริ่มต้นปีงบประมาณ
สถานการณ์ที่ขุนทหาร บิ๊กตำรวจ ผู้นำหน่วยงานราชการพลเรือน ผู้บริหารหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งใหม่ เริ่มเข้าปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นทางการ
พร้อมๆกับบรรยากาศของการ “โหมโรงเลือกตั้ง
การเริ่มต้นนับหนึ่ง จังหวะสตาร์ตออกตัวทางการเมือง ภายใต้เงื่อนไขสถานการณ์ที่ คสช.คลายล็อกให้พรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมเพื่อเตรียมความพร้อม
ประแป้งแต่งตัวก่อนลงสนามเลือกตั้ง
ตามรูปการณ์ที่พรรคการเมืองทุกป้อมค่ายต่างเดินหน้าจัดการประชุมใหญ่ เพื่อเปลี่ยนแปลงข้อบังคับพรรค เลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ยกเครื่องทีมงานที่ถูกดองเค็มมาหลายปี
เน้นที่ตำแหน่งหัวหน้าพรรค เลขาธิการ ทีมผู้บริหารพรรค
โชว์โฉมแม่ทัพนายกองที่จะนำทีมสู้ศึกเลือกตั้งครั้งสำคัญ ท่ามกลางสถานการณ์เปลี่ยนผ่านประเทศ
แน่นอน ไฮไลต์ร้อนแรงอยู่ที่คิวของค่าย “พลังประชารัฐ” ตามสถานะพรรค “ตัวแปร” ใหม่ในสมการการเมืองไทย ที่ได้ฤกษ์จัด “แกรนด์โอเพนนิง” เปิดตัวอย่างเป็นทางการ
ซึ่งก็เป็นไปตามโผตามคาด ตรงกับกระแสข่าวที่ออกมาก่อนหน้า
เปิดโฉมผู้บริหารพรรคตัวจริงเสียงจริง นายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม ขึ้นแท่นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รับตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รั้งตำแหน่งเลขาธิการพรรค และนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รมต.ประจำสำนักนายกฯ รับหน้าที่โฆษกพรรค
“4 กุมาร” ทีมงาน “จอมยุทธ์กวง” นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ
“มาตามนัด” เพื่อเดินหน้าสานภารกิจเป็นฐานการเมืองต้นทุน สนับสนุน “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตีตั๋วต่อนายกรัฐมนตรีหลังเลือกตั้ง
และก็มาตามนัดเหมือนกัน ทันทีที่ 4 รัฐมนตรีทีม
พลังประชารัฐเปิดหน้าเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ตามอาการคนของพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ ขาใหญ่เจ้าถิ่นแท็กทีมกันรุมตีปี๊บ โห่ฮา ปั่นกระแสไล่ 4 รัฐมนตรีทีมพลังประชารัฐลาออกจากตำแหน่ง ไล่บี้โชว์สปิริตไม่เอาเปรียบพรรคการเมืองอื่น
“รับน้องใหม่” ไล่ตามด่ากัน 3 วัน 3 คืน
แบบที่ไม่สน ไม่ฟัง นายอุตตมและรัฐมนตรีทีมพลังประชารัฐจะออกตัวยืนยัน ไม่ใช้อำนาจ ไม่ใช้เวลาราชการหาเสียง พร้อมลาออกเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม
ตามคิวรอประกาศพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งในเดือนธันวาคม
อารมณ์เขี้ยวของนักการเมืองต้องเตะตัดขาคู่แข่งตามฟอร์ม
และก็โดยอัตโนมัติ กระแสกดดันให้รัฐมนตรีทีม
พลังประชารัฐไขก๊อก ไหลต่อเนื่องกระแสปรับ ครม.เข้าเหลี่ยมคนวงในรัฐบาลท็อปบูตที่รอจังหวะจ้องเขย่า
ทหารตกขบวนหวังเบียดแทรกเป็นรัฐมนตรีส่งท้ายก่อนกลับบ้าน
สถานการณ์ผสมโรงป่วนน้องใหม่ทีมพลังประชารัฐ
เจออัดวัคซีนไข้ทรพิษการเมือง หนาวๆร้อนๆ
แต่นั่นก็สะท้อนว่า ทีมหนุน “ลุงตู่” ได้สร้างอิมแพคการเมืองแรงๆจนเจ้าถิ่นนั่งไม่ติด
โดยเฉพาะสถานการณ์ของพรรคเพื่อไทยในฐานะ
แชมป์เก่าที่แสดงอาการกระหาย ตามอารมณ์เซียนเลือกตั้งอาชีพที่กำลังได้กลับสู่เกมถนัด
นัดประชุม 2-3 รอบ ตั้งแท่นรอเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่วันที่ 28 ตุลาคม
ในอารมณ์ที่ปั่นกระแสการตลาดยั่วกองเชียร์ตามแห่ ตามลุ้น แคนดิเดตจ่าฝูงคนใหม่ “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เจ้าแม่เมืองกรุงพรรคเพื่อไทย ก็กลับมาแรง พร้อมๆกับชื่อของนายปานปรีย์ พหิทธานุกร “หลานเขยน้าชาติ” สายราชครู โผล่มาประกบเป็นคู่แข่งแซงเข้าป้าย
แต่สุดท้ายมันก็อยู่ที่ “นายใหญ่-นายหญิง” เคาะโต๊ะ
และไม่ว่าหวยออกที่ใคร มันก็แค่หัวหน้าพนักงานบริษัทชินฯจำกัด
อีกทั้งรอบนี้ หัวหน้าพรรคกับ “นอมินีภาค 3” ไม่จำเป็นต้องคนเดียวกัน ตามเงื่อนไขผู้ท้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจะอยู่ใน “บัญชีนายกฯพรรค” นั่นต่างหาก “ไพ่สำคัญ”
นั่นไม่น่าสนใจเท่ากับการผุดยี่ห้อ “เพื่อธรรม” เป็นสาขารองพรรคเพื่อไทย
ในมุมที่อ่านทางได้ ด้านหนึ่งก็แก้ปมขบเหลี่ยม “เจ๊แดง” นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ เจ้าแม่เมืองเหนือ ที่ไม่มีทางควักเนื้อให้ “เจ้าแม่เมืองกรุง” เสวยสุขหยิบชิ้นปลามัน
อีกด้านหนึ่งก็แก้เกมกติการัฐธรรมนูญที่บล็อก “ทักษิณ” กลับมายึดประเทศไทยตามเกณฑ์เลือกตั้งระบบจัดสรรปันส่วนผสม ถ้าพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งแบบหิมะถล่ม กวาด ส.ส.
เขตเต็มอัตรา ก็จะไม่ได้โควตา ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ จึงต้องเปิดค่ายเพื่อธรรมมากวาดแต้มบัญชีรายชื่อ รองรับผู้สมัครล้นทีม
รวมทั้งเป็นป้อมค่ายสำรองฉุกเฉิน หากเกิดอุบัติเหตุพรรคเพื่อไทยโดนยุบ จากปมแกนนำกระทำการขัดกฎหมายความมั่นคง ส่อเค้าโดนล้างน้ำสาม
ทั้งหมดทั้งปวงแกะรอยตามยุทธศาสตร์ ตามอาการที่จับทางได้
“นายใหญ่” รบทุกรูปแบบ “ทักษิณ” บุกทุกทาง เพื่อทวงแค้นกลับมาครองอำนาจประเทศไทย
เงื่อนไขสถานการณ์ใกล้เคียงกับ “เดอะมาร์ค” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ยังหวังลุ้นรีเทิร์นกลับมาแก้มือในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ทำให้สถานะ “ตัวแปร” กลายเป็นตัวปัญหา
ท่ามกลางสถานการณ์ “เลือดไหลไม่หยุด” อดีต ส.ส.ย้ายหนี ทั้งภาคตะวันออก ภาคกลาง ไม่เว้นปักษ์ใต้ เพราะมองไม่เห็นอนาคต แม้แต่กลุ่มทุนยังไม่กล้าแทงหวย
กระตุ้นดีกรี “ศึกสายเลือด” ประชาธิปัตย์ ภาคใหม่ ระอุเดือด
อารมณ์เปิดหน้าหักดิบแบบที่ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก “มือปราบจำนำข้าว” เดินสายขึ้นเหนือล่องใต้ ดึงแนวร่วมท้าชิงเก้าอี้หัวหน้าพรรคกับ “อภิสิทธิ์” โดยมีนายถาวร เสนเนียม อดีต ส.ส.สงขลา นายวิทยา แก้วภราดัย อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช ทีม กปปส.เป็นพี่เลี้ยงสั่งลุย
ฉากหน้าดูสวยงาม ตามหลักการประชาธิปไตย ประชาธิปัตย์เป็นค่ายแรกที่นำร่องระบบไพรมารีโหวต เปิดให้สมาชิกพรรคมีส่วนร่วมในการโหวตเลือกหัวหน้าพรรคโดยตรง
แต่ฉากหลัง สไตล์ประชาธิปัตย์ฟัดกัน ใครแพ้ชนะ หนีไม่พ้นพรรคแตก
ที่คึกคักกว่าใครดูเหมือนจะเป็นค่ายภูมิใจไทย โดยการนำของ “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค และอยู่ในกำกับของผู้มีบารมีนอกพรรคอย่าง “เสี่ยเน” นายเนวิน ชิดชอบ
ภายใต้ยุทธศาสตร์ “คั่วไพ่” สองหน้า
หน้าหนึ่งก็ดีลกับทีมพี่น้องบูรพาพยัคฆ์ ที่ “เนวิน” ต่อสายมาตั้งแต่คิวหัก “ทักษิณ” ด้วยประโยค “มันจบแล้วครับนาย” แฝงกายตีคู่พรรคพลังประชารัฐ ภูมิใจไทยจ้องเบียดซีนเป็นพรรคอันดับหนึ่งในขั้วท็อปบูต
หรืออีกสูตรก็พร้อมพลิกขั้วไปจับมือกับ “นายใหญ่” ที่ “เสี่ยหนู” บินไปมาหาสู่ตลอดเวลา
โดยทั้งสองสมการ “เสี่ยหนู” แอบลุ้น “นายกฯตาอยู่” ได้ใกล้เคียงความจริงสุด
นั่นทำให้ทุ่มเดิมพันไม่อั้น ไดโวซิโน–ไทย กลายเป็นเครื่องดูดพลังแรงสุด ลุยกวาดดะอดีต ส.ส.เกรดเอ ชิงมาหมดทั้งคนประชาธิปัตย์ เพื่อไทย ชาติไทยพัฒนา ฯลฯ
ดูดเพลินจนต้องเคลียร์ภาพแหล่งรวม “พรรคสีเทา”
ย้อนกลับไปตอนกลุ่มสามมิตรเดินสายทาบทามอดีต ส.ส. โดนรุมโห่ ตีปี๊บประจานเกมดูด ตกเขียว ส.ส. แต่พอมาถึงตอนนี้ กระแสดูดเงียบหายไปไม่มีการโวยวาย
เช่นเดียวกับการเรียกร้อง 4 รัฐมนตรีพลังประชารัฐลาออกเพื่อแสดงสปิริต แต่ย้อนกลับไปไม่ว่าจะเป็นยุค “ทักษิณ–อภิสิทธิ์–ยิ่งลักษณ์” ล้วนแต่ลากยาวจนรัฐบาลรักษาการ
มันก็สไตล์เดิมๆฟอร์มเก่งนักการเมือง เอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่น
โดยการสัมผัสบรรยากาศโหมโรงเลือกตั้ง จับจังหวะความเคลื่อนไหวพรรคเพื่อไทย ค่ายประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย รวมถึงการเปิดตัวน้องใหม่พรรคพลังประชารัฐ
มันก็ยังอยู่ในกระบวนท่าเดิมๆลีลาซ้ำๆ
ธาตุแท้โผล่ นักการเมืองพันธุ์เก่ายังแฝงอยู่ในทุกอณู
ไม่นับคนหน้าเก่าๆ อย่าง “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ์ อดีตนายกฯที่โผล่ออกมาเล่นบท “ทหารเฒ่าไม่มีวันตาย” ป่วนเกมกดดันให้ “นายกฯลุงตู่” ถอยจากอำนาจ เปิดทางรัฐบาลแห่งชาติ
พูดเป็นเชิงเขย่าขวัญคนไทย ระเบิดตูมตาม ไฟความขัดแย้งจะลุกฮือกลับมา
มันก็มุกโบราณ เข้าข่ายตัวป่วนการเมือง
อะไรไม่เท่ากับว่า สังคมปัจจุบันอยู่ใต้อิทธิพลโซเชียลมีเดีย ข่าวลือ ข่าวปลอม กระจายว่อนไปทั่ว
ชาวบ้านร้านตลาดไม่มีพื้นฐานความรู้รัฐธรรมนูญ
ส่วนใหญ่เชื่อลมปากมากกว่ายึดตัวบทกฎหมาย
มันก็ยิ่งเพิ่มดีกรีความปั่นป่วนวุ่นวาย คสช.คลายล็อกก็ส่อวุ่นทันที
นี่แหละที่ทำให้ชาวบ้านเกิดอาการเบื่อ ไม่อยากยุ่งการเมือง
ซึ่งมันเป็นเรื่องไม่ดีเลย ในสถานการณ์ที่กำลังฝากความหวังไว้กับประชาชนในการรวมพลังเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์เปลี่ยนผ่านประเทศ
หวังพลังบริสุทธิ์คนไทยเป็นแรงฉุดให้ประเทศพ้นวงจรอุบาทว์.
“ทีมการเมือง”

ไม่มีความคิดเห็น: