ใกล้เข้ามาอีกไม่นานการเมืองจึงคึกคักรอหย่อนบัตร ถามว่าใครจะเป็นนายกฯคนใหม่ต้องเริ่มจากการโหวตในรัฐสภา จากนั้นต้องหาพรรคพวกมาร่วมเป็นรัฐบาลมั่นคงเพื่อไปให้รอด
ข่าว “เขย่าขวด” สุดสัปดาห์นี้ว่าไปแล้วการเมืองที่กำลังก้าวเดินไปสู่การเลือกตั้งดูท่าจะคึกคักเป็นพิเศษ
นั่นเพราะประเด็นหนึ่งคือการเลือกตั้งหายเข้ากลีบเมฆไปเสียหลายปี
ใช่ว่าบรรดานักการเมืองเท่านั้นที่จะเหี่ยวแห้งเนื่องจากไม่มีเวทีให้เล่น ประชาชนคนที่เคยได้ไปใช้สิทธิก็พลอยเฉาไปด้วย
จะเปิดเวทีอีกครั้งก็เลยคึกคักกันไปทั้งประเทศ
นักธุรกิจ นักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศก็คงจะอยู่ในบรรยากาศเดียวกัน การตัดสินใจอะไรต่างๆก็รอตรงนี้แหละ...
ใครเป็นนายกฯคนใหม่ พรรคไหนจะได้เป็นรัฐบาลค่อยมาว่ากันอีกที
วันนี้...พรรคพลังประชารัฐดูเหมือนจะมีการจับตาความเคลื่อนไหวมาก คงมาจากการที่นักการเมืองเก่า อดีต ส.ส. อดีตรัฐมนตรีเข้าไปสังกัดอย่างได้เนื้อได้น้ำ
กลายเป็นตัวเต็งขึ้นมาเทียบกับเพื่อไทย
ประชาธิปัตย์จึงถูกมองกันห่างๆ เท่านั้น
ผลการเลือกตั้งที่จะออกมาจาก จำนวน ส.ส. 500 คน ระบบเขตเลือกตั้ง 350 คน ที่เหลืออีก 150 คนมาจากปาร์ตี้ลิสต์
ครึ่งหนึ่งหรือกึ่งหนึ่งคือ 250 เสียง พรรคไหนจะมาเป็นรัฐบาลก็ต้องรวบรวมเสียงให้ได้เกินกว่า 251 คนขึ้นไปจึงจะมั่นคงในเสถียรภาพและบริหารประเทศได้
การเมืองด้วยกฎกติกาที่เปลี่ยนไปมีการใช้สิทธิพรรคการเมืองทุกพรรคสามารถเสนอบัญชีรายชื่อบุคคลที่จะเป็นตัวแทนของพรรคเพื่อชิงตำแหน่งนายกฯพรรคละ 3 คน
เท่ากับว่าประชาชนได้รับรู้ล่วงหน้าว่าบุคคลที่จะมีโอกาสเป็นนายกฯในฐานะตัวแทนพรรคและยังสามารถกาบัตรเลือกนายกฯได้ด้วยในใบเดียวกัน
ว่ากันว่า เกมการชิงเก้าอี้นายกฯหลังเลือกตั้งน่าจะเป็นตัวขับเคลื่อนทางการเมืองอย่างมีนัยสำคัญ
ที่ว่าอย่างนี้ อยากยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดขึ้น อย่างพรรคพลังประชารัฐที่จะเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ
250 ส.ว.คือเสียงที่อยู่ในกำมือของ คสช.ที่แต่งตั้งเองกับมือ
อยู่ที่ว่าในจำนวนนี้จะได้เสียงเต็มๆหรือไม่?
เท่ากับว่าพรรคกองหนุนมี 250 เสียงแล้ว หากได้เสียง ส.ส.อีกอย่างน้อยต่ำสุด 126 เสียง บวกกันแล้วก็จะได้ 376 เสียง ก็เกินครึ่งจากจำนวนสมาชิกรัฐสภา 750 คน
ได้เสียงเท่านี้ก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ทันที
แต่แม้จะได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาให้เป็นนายกฯ ทว่ายังจะต้องจัดตั้งรัฐบาลซึ่งต้องเน้นว่าต้องได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งจึงจะบริหารประเทศไทย
มิฉะนั้นไปไม่รอดตั้งแต่เริ่มต้น!
นี่เป็นปัจจัยที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์มีโอกาสสูง...และอยู่ในฐานะได้เปรียบ
แต่หลังจากนั้น ในขั้นตอนตั้งรัฐบาลจึงอยู่ที่ความสามารถว่าจะดึงพรรคการเมืองอื่นๆมาร่วมรัฐบาล
ตรงนี้ต้องฝีมือระดับ “หลงจู๊” เท่านั้น
เว้นแต่จะได้เสียงมากอย่างที่คุยว่าจะได้เท่านั้นเท่านี้ก็ง่ายๆหน่อย หรือพรรคการเมืองที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้าก็ง่ายขึ้นหน่อย
ตลาดนักการเมืองในห้วงนั้นจะเป็นอย่างไรน่าจะเห็นภาพได้
ว่าไปแล้ว น่าจะเรียกได้ว่าเป็นตลาด “ก๊อก 2” ที่หาทุนเข้ากระเป๋าได้อีกลอตหนึ่ง เพราะถ้าได้เป็นนายกฯ
แต่ไม่มีฝ่ามือช่วยดันก้นก็ไร้ประโยชน์!!!
“ลิขิต จงสกุล”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น