ทศพิธราชธรรม
สมเด็จพระสังฆราชถวายวิสัชนาพระธรรมเทศนา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพระราชพิธีเฉลิมพระปรมาภิไธย พระนามาภิไธย และสถาปนาพระฐานันดรศักดิ์ ให้ทรงทศพิธราชธรรม ราชสังคหวัตถุ จักรวรรดิวัตร และพละ ย่อมสำเร็จเป็นพระบารมีในอนาคต
วันนี้ (5 พ.ค.) สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ถวายศีล ถวายพร และถวายวิสัชนาพระธรรมเทศนา "ทศพิธราชธรรมจริยาทิกถา" แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพระราชพิธีเฉลิมพระปรมาภิไธย พระนามาภิไธย และสถาปนาพระฐานันดรศักดิ์พระบรมวงศ์ ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก มีใจความตอนหนึ่งว่า
สมเด็จพระบรมศาสดา เมื่อทรงบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ยังต้องทรงบำเพ็ญพระพุทธกิจโปรดเวไนยนิกรให้ดื่มด่ำพระสัจธรรมยังพระพุทธภูมิให้สำเร็จเป็นอันดี ข้อนี้มีอุปมาฉันใด พระเจ้าแผ่นดินผู้ทรงดำรงราชัยสวรรคก็มีอุปไมยฉันนั้น จึงขอรับพระราชทานเลือกสรรพระราชธรรมของโบราณกษัตริย์มาถวายวิสัชนา โดยมีทศพิธราชธรรมมาเป็นปฐม 10 ประการ ดังนี้
1. ทาน การให้ พระมหากษัตริย์พึงชุบเลี้ยงพระราชวัง ข้าทูลละอองธุลีพระบาท ข้าราชการ บรรพชิต ตลอดจนอาณาประชาราษฎร ด้วยวัตถุปัจจัยบรรดาอามิตรทั้งหลายตามฐานานุรูปของบุคคลนั้นๆ และการพระราชทานธรรมทานแจกจ่ายพระบรมราโชวาท พระราชดำริ อันถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ให้พสกนิกรทั้งหลายเจริญรอยตาม
2. ศีล การสังวรกาย วาจาให้ปราศจากโทษ พระมหากษัตริย์พึงเว้นจากความประพฤติทุจริต กล่าวในการทางปกครอง ย่อมหมายถึงรัฐธรรมนูญ บทกฎหมาย และจารีตประเพณีอันดีงาม กล่าวในทางพุทธศาสนา หมายถึงศีล อย่างน้อยคือศีล 5 ของฆราวาสทั่วไป และพระราชาจะทรงรักษาและโน้มน้าวให้พสกนิกรรักษาด้วย
3. บริจาค พระมหากษัตริย์พึงสละสิ่งไม่เป็นประโยชน์หรือเป็นประโยชน์ เพื่อสิ่งที่เป็นประโยชน์ใหญ่กว่า เพื่อบรรเทาความตระหนี่ ดังพระพุทธภาษิตที่ว่า พึงสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะอันประเสริฐ เพื่อรักษาชีวิตก็พึงสละอวัยวะ เพื่อจะรักษาธรรมะก็พึงสละทรัพย์ อวัยวะ และแม้ชีวิตได้ทั้งสิ้น
4. อาชวะ ความซื่อตรง พระมหากษัตริย์พึงประพฤติพระองค์ ซื่อตรงในการงานตามหน้าที่ของพระประมุข ปราศจากมารยา ซื่อสัตย์สุจริตต่อสัมพันธมิตร พระราชวงศ์ และข้าทูลละอองธุลีพระบาท ไม่ทรงหลอกลวงประทุษร้ายโดยอยุติธรรม
5. มัททวะ ความอ่อนโยน พระมหากษัตริย์พึงมีพระราชอัธยาศัยอ่อนโยน ละมุนละม่อม ไม่ถือพระองค์ด้วยความดื้อรั้น เมื่อมีผู้กราบบังคมทูลพระกรุณาด้วยเหตุผลของบัณฑิตก็ควรทรงสดับฟังโดยถี่ถ้วน ถ้าดีควรอนุโมทนาและปฏิบัติตาม และควรมีความอ่อนน้อมท่านผู้เจริญโดยวัยและคุณความดี
6. ตบะ การกำจัดความเกียจคร้านและความชั่ว พระมหากษัตริย์พึงมีตบะ ซึ่งตบะของพระมหากษัตริย์คือการคุ้มครองประชาชน ต้องทรงพากเพียรที่จะขจัดความเกียจคร้านเบื่อหน่ายที่จะรักษาอาณาประชาราษฎรให้อยู่เย็นเป็นสุข ต้องทรงตั้งพระราชหฤทัยบำเพ็ญพระราชกิจอย่างสม่ำเสมอและให้ดียิ่งขึ้น
7. อักโกธะ ความไม่มักโกรธ พระมหากษัตริย์พึงมีพระเมตตาสูงส่ง ไม่ทรงปรารถนาจะก่อเวรภัยแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ไม่ทรงพระพิโรธด้วยเหตุอันไม่สมควร แม้จะมีเหตุให้ทรงบรรลุแก่อำนาจแห่งความโกรธ ก็พึงข่มพระราชหฤทัยให้สงบระงับ มิให้บังเกิดพระกริยาอันไม่งดงาม ไม่น่ารัก น่าเคารพ ดุจมีพระฉายส่องพระพักตร์เป็นเครื่องกำกับพระอาการไว้เสมอ
8. อวิหิงสา การไม่เบียดเบียนผู้อื่น ตลอดจนสรรพสัตว์ให้ตกทุกข์ได้ยาก พระมหากษัตริย์พึงประกอบด้วยพระมหากรุณา ไม่ปรารถนาจะทรงเบียดเบียนผู้ใดให้ลำบาก ไม่ทรงก่อทุกข์ยากแก่มนุษย์หรือสัตว์เพียงเพื่อความสนุก ไม่ขูดรีดหรือกะเกณฑ์ราษฎรอย่างเหลือกำลัง กระทั่งเกิดความระส่ำระสาย ทรงคุ้มครองประชาชนดุจดังบิดรมารดารักษาบุตร
9. ขันติ ความอดทนต่อสิ่งที่ควรอดทนเป็นเบื้องหน้า พระมหากษัตริย์พึงมีพระราชหฤทัยกล้าหาญ อดทนต่อโลภะ โทสะ และโมหะ ย่อมต้องทรงอดทนต่อสู้กับกิเลสได้ ทรงสามารถอดทนต่อถ้อยคำที่ชั่ว ติฉินนินทา ทรงรักษาพระกายพระวาจาให้สงบเรียบร้อยได้เสมอ
10. อวิโรธะ การไม่ปฏิบัติให้ผิดจากการที่ถูกที่ตรง ดำรงอาการคงที่ พระมหากษัตริย์พึงรักษาพระราชจรรยานุวัตรตามหลักนิติศาสตร์และราชศาสตร์ ไม่ทรงประพฤติคลาดจากความยุติธรรม ทรงยกย่องผู้กระทำดีสมควรได้รับการยกย่อง ทรงปราบปราบผู้กระทำเลวสมควรถูกกำราบ ไม่ทรงตัดสินพระราชหฤทัยเชิดชูหรือข่มเหงบุคคลใดๆ ด้วยอำนาจแห่งอคติ คือ ความลำเอียง 4 ประการ เพราะความชอบ ความชัง ความกลัว และความเขลา
หากทรงดำรงพระราชธรรมได้ดังนี้ พระปีติโสมนัสมหาศาลก็จะบังเกิดแก่พระองค์ และย่อมทรงเป็นที่สรรเสริญว่า ทรงปกครองโดยธรรมะเป็นอุบาย ชนทั้งหลายก็น้อมเข้าสวามิภักดิ์ต่อพระประมุขผู้ได้ชื่อว่า ทรงปกครองโดยธรรม มิใช่โดยอำนาจ ต่างเจริญสุขสวัสดีร่วมกันได้ทุกสถาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น