PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ประคองผลประโยชน์ฝ่าดงระเบิด

จับตา “ลุงตู่” ภาค 2 เผชิญเกมเขี้ยวนักการเมือง 

ฝนต้นฤดูถล่มหนักหลายพื้นที่ ล้อกันพอดีกับฉากการเมืองฝนตกขี้หมูไหล

สถานการณ์ความปั่นป่วนวุ่นวายในเกมจัดรัฐบาล

ล่าสุดถือว่าผ่าน “พิธีกรรม” สำคัญ ขั้นตอนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ทำพิธีรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี

ขึ้นแท่นนายกฯคนที่ 29 สมัย 2 โดยสมบูรณ์ตามรัฐธรรมนูญ

แต่ที่ยังไม่สมบูรณ์ และส่อไม่จบง่ายๆก็คือการฟอร์มคณะรัฐมนตรีที่ยังล่อกันฝุ่นตลบ จากเกมช่วงชิงโควตาในกลุ่มพรรคร่วมรัฐบาล การยื้อยุดฉุดกระทรวงเกรดเอระหว่างพรรคแกนนำคือพลังประชารัฐกับพรรคร่วมรัฐบาลคือพรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทย

ลามมาถึงการเปิดศึกแย่งเก้าอี้กันเองในแต่ละพรรคแต่ละป้อมค่าย

ตามฟอร์มเข้มๆแบบที่ พล.อ.ประยุทธ์ประกาศก่อนหน้านี้ว่า จะเซ็นเซอร์หน้าตารัฐมนตรีด้วยตัวเอง

ถือเป็นอำนาจสุดท้ายในการ “ทุบโต๊ะ”

แต่แค่ผ่านวันแรกของการเป็นนายกฯมีอำนาจเต็มมือในการจัด ครม. ตามข่าวหลังพิธีแต่งตั้งนายกฯ “บิ๊กตู่” มีการเปิดโต๊ะหารือกับแกนนำพรรคพลังประชารัฐ เคลียร์โควตา เกลี่ยเก้าอี้รัฐมนตรี

ปรากฏบี้กันแหลก ระหว่างทีมท็อปบูตผู้มีอำนาจนอกพรรคกับนักการเมืองผู้บริหารพรรค

ว่าด้วยปม “หัก” เหลี่ยม ผู้มีอำนาจชิงรวบรัดดีล ทำให้พรรคพลังประชารัฐเสีย “ค่าโง่” ให้พรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทย ทั้งเก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎร แถมกระทรวงเกรดเอ เก้าอี้หุ้มทองฝังเพชร ทั้ง คมนาคม เกษตรฯ พาณิชย์ สาธารณสุข การท่องเที่ยวฯ

แค่แลกกับการตีตั๋วต่อสืบทอดอำนาจ ไม่สนคนที่ลงแรงสู้รบในสนามเลือกตั้ง

ผลก็คือ พลังประชารัฐต้องมาไล่บี้กันเอง ชิงก้างปลาที่เหลืออยู่

เจอเกมป่วนรับน้องช็อตแรกเข้าไป เล่นเอา

“ลุงตู่” ออกอาการมึน ยอมรับสภาพเป็นเชิง ต้องปรับตัวเองวิธีการปฏิบัติทางการเมืองเป็นอย่างไร

ไม่ได้ตัดสินใจได้คนเดียวเหมือนเดิมแล้ว

และก็ดับฝันพวกมโนโลกสวยในทุ่งลาเวนเดอร์ “บิ๊กตู่” ออกตัวล้อฟรีเลยว่า ครม. “ลุงตู่ ภาค 2” คงไม่ใช่รัฐบาลปรับโฉมใหม่ เพราะมันมาด้วยกลไกของประชาธิปไตย มาจากคนทุกคน มาจากการเลือกตั้ง

ถ้าเราไม่ฟังเขาเลย ไม่ร่วมมือกันเลยจะไปได้ หรือไม่

ออกตัวเป็นนัย อำนาจลดลง ไม่เบ็ดเสร็จเหมือนเดิม แต่กระนั้นก็ยังมีฟอร์ม กั๊กเชิง “แต่ผมจะมีอำนาจในการตัดสินใจอีกครั้ง เมื่อผมเป็นนายกรัฐมนตรี ดังนั้นไม่ต้องกังวล”

โชว์พลังผู้นำ กระชับอำนาจ “ปราการด่านสุดท้าย”

ตามหลักการหรูๆที่วางพล็อตไว้ รัฐบาลต้องบริหารงานภายใต้นโยบายที่ดี ไม่ใช่นโยบายใครนโยบายมัน หรือใช้งบประมาณอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ในการบริหาร ราชการแผ่นดินต้องบูรณาการ เราจึงได้จัดทำแผนแม่บท 20 ปี เพื่อให้การทำงานสอดคล้องกัน

แกะรอยจากประโยคคำพูด ประเมินเงื่อนไข “นายกฯลุงตู่” ส่งสัญญาณขอคุมเกมเองทั้งหมด แบ่งโควตาไปแล้วก็ยังล้วงได้ทุกกระทรวง ไม่ปล่อยมือใครยาวสาวได้สาวเอา

ยื้ออำนาจล้วง กู้สถานการณ์เสียค่าโง่

กระทรวงเศรษฐกิจสำคัญหลุดยุทธศาสตร์ โอกาสเดินหน้าสานต่อเนื้องานเมกะโปรเจกต์และสารพัดโครงการประชารัฐที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ โดยนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ วางไว้ 4–5 ปี ส่อสะดุดหมด

ที่สำคัญคือการคุมความเสี่ยง “บาดทะยัก” ทุจริตคอร์รัปชัน

ด้วยคำพูดดูง่ายๆ แต่ในเชิงปฏิบัติจะคุมได้แค่ไหน ในสภาพที่เสือหลุดเข้าป่าไปแล้ว

ตามแนวโน้มประมวลจากโฉมหน้า โพย ครม.ที่แพลมๆกันออกมา ในอารมณ์ที่เกรียนคีย์บอร์ดในโลกโซเชียลฯแซวแรง บอกให้ประชาชนเสิร์ฟข้าวต้มรอเลย

เพราะส่อเค้า ครม. “เต้าหู้ยี้” แน่

โฟกัสไปที่พรรคภูมิใจไทยที่ฟาดชิ้นปลามันกระทรวงคมนาคม มีการวางตัวนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการพรรค น้องชายยี่ห้อ “เนวิน ชิดชอบ” นั่งแท่นรัฐมนตรีว่าการมีชื่อของนายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี โผล่มาจอง รมช.มหาดไทย แต่สักพักเปลี่ยนไปเป็น รมช.เกษตรฯ

สังเกตว่า ภูมิใจไทยไม่มีแรงกระเพื่อมภายในจากเกมแย่งโควตาเพราะอยู่กันแบบ “ใจนักเลง” แต่จะมีปัญหากับแรงเสียดทานทางสังคม ตามชื่อแคนดิเดตที่เปิดหน้ามาชนิดสามล้อฮาขี้ยาฮือ

ท้าทาย “กล้องมุมสูง” ที่สแกนละเอียดยิบ ในห้วงรัฐบาลเปลี่ยนผ่าน

ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ที่ว่ามีระเบียบแบบแผนสถาบันการเมือง ไม่ค่อยมีเรื่องแย่งชามข้าว แต่รอบนี้ไม่ใช่ จากปัญหาแตกเป็นเสี่ยง แบ่งเป็นสายวิ่งชิงหลักร่วมรัฐบาล

ด้านหนึ่งปีกนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค ก็มอบให้นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรค ไปเปิดดีลกับผู้มีอำนาจนอกพรรคพลังประชารัฐร่วมกับทีมภูมิใจไทย แต่อีกด้านปีกของนายพีระพันธ์ุ สาลีรัฐวิภาค นายถาวร เสนเนียม นายกรณ์ จาติกวณิช ก็เข้าตามตรอกออกทางประตูไปเจรจากับนายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ

นั่นก็นำมาซึ่งอาการขัดคอ ตามกระแสทีมนายเฉลิมชัยปล่อยโพยรัฐมนตรีมีแต่ชื่อทีมผู้สนับสนุนนายจุรินทร์ ทำให้นายพีระพันธุ์ นายกรณ์ และนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ลงชื่อยื่นหนังสือถึงหัวหน้าพรรค

ดักทางการเกลี่ยเก้าอี้รัฐมนตรีต้องแบ่งให้ฝั่งไม่หนุนที่ถือแต้ม ส.ส.มากกว่าด้วย

ประชาธิปัตย์ก็ฟัดกันแรงๆตามสภาพค่ายที่แตกเป็นเสี่ยง แต่ภายในทีมพลังประชารัฐเองที่วุ่นวายสุด ผลพวงจากผู้มีอำนาจนอกพรรคหักดิบ เปิดบ้านพักในค่ายทหาร เอาเก้าอี้เกรดเอไปประเคนให้พรรคตัวแปร โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทยที่หยิบชิ้นปลามันไปสบายใจเฉิบ ทำให้เกิดปมระแวง เกมลึก “3 ป.” เหยียบตีนเล่นกับ “2 น.” เล่น “ไพ่ 3 กอง”

ทีม “มันจบแล้วครับนาย” ยึดหมดทั้งกลาโหม มหาดไทย คมนาคม

ยังไม่นับพวกที่ถูกเรียกขานว่า “สตาร์ตอัพท็อปบูต” สายตรงพี่ใหญ่ บรรดา เสธ.ชื่อดังที่ตอนเลือกตั้งถือหัวจ่ายปั๊มสามทหารไปแจกจ่ายนักการเมือง ครบบ้างไม่ครบบ้าง อู้ฟู่ไปตามๆกัน

แถมเลือกตั้งเสร็จยังได้เคลมผลงานกวาด ส.ส.แลกโควตารัฐมนตรี


สรุปผู้มีบารมีนอกพรรคพลังประชารัฐกวาดโควตาทั้งสายตรงสายอ้อม ฟาดไปเกือบครึ่ง ครม.

เหลือแต่ก้าง กระทรวงเกรดบี เกรดซี ให้นักเลือกตั้งอาชีพแย่งกัน

ในสถานการณ์ของทีมที่โดนหักหลัง พลาดเป้าหมายที่หวังไว้ก็คือกลุ่มสามมิตร นำโดยนายสมศักดิ์ เทพสุทิน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ นายอนุชา นาคาศัย ต้องวืดทั้งกระทรวงคมนาคม กระทรวงเกษตรฯ ที่ตีตราจองไว้ตั้งแต่หาเสียงเลือกตั้ง

แต่ด้วยเหลี่ยมเขี้ยว บวกพลัง ส.ส.ในกำมือที่ออกแรงรบมาด้วยลำแข้งกว่า 30 ที่นั่ง สำแดงพลังจนนายสุริยะ ได้โควตา รมว.พลังงาน นายสมศักดิ์ ยอมนั่ง รมว.ยุติธรรม นายอนุชา ขึ้นแท่น รมช.คลัง

“สมศักดิ์-สุริยะ” ไม่ยอมหามท็อปบูตตีตั๋วต่ออำนาจฟรีๆ

และนั่นก็ไปกระแทก “เสี่ยตั้น” นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ เบอร์หนึ่งพลังประชารัฐ ที่จองโควตา รมว.พลังงาน ถือตั๋วทุนยักษ์ใหญ่ กระเด็นไปนั่ง รมว.ศึกษาธิการ

ทำให้เกิดอาการเต้นเป็นเจ้าเข้า “ก๊วน กปปส.” ในทีมพลังประชารัฐ ผนึกกำลังสื่อขาใหญ่ เปิดแนวรบถล่มกลุ่มสามมิตร กระพือกระแสต้าน อัดแหลก “สุริยะ–สมศักดิ์” สกัดไม่ให้ยึดแป้น รมว.พลังงาน

ลามถึงขั้นมีการปล่อยกระแสปฏิวัติ “ยึด” อำนาจภายในพลังประชารัฐ


พล.อ.ประยุทธ์ จะมานั่งเป็นหัวหน้าพรรคแทนนายอุตตม สาวนายน นายณัฏฐพล ยึดแท่นเลขาธิการพรรคแทนนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ โดยมี “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นั่งเป็นประธานกุนซือ

ยกสถานะเป็น “พรรคทหาร” เต็มร้อย

สวนกระแสที่ “บิ๊กป้อม” จะไม่ไปต่อ เพราะถูกเวนคืนเหลือเก้าอี้รอง นายกฯอย่างเดียว

ตามรูปการณ์ศึกในแฝงทีมพลังประชารัฐส่อล่อกันหนักๆ ที่น่าห่วงสุดก็คือทีม “4 กุมาร” ศิษย์รัก “สมคิด” ที่อุตส่าห์ลงแรงตั้งพรรคมาตั้งแต่ต้น แต่การันตีเก้าอี้แค่นายอุตตม ได้นั่ง รมว.คลัง กับนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.การอุดมศึกษาฯ ส่วนนายสนธิรัตน์ เป็น รมว.อุตสาหกรรม

แต่ที่หลุดเฟรมคือนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ที่ถูกวางตัวไว้ที่ รมว.ดิจิทัลฯ แบบถูกฝาถูกตัว ตามคุณสมบัติครบเครื่อง คนรุ่นใหม่ เก่ง ซื่อสัตย์ มือสะอาด สุดท้ายโดนเบียดกระเด็น

ชื่อ “ธรรมนัส พรหมเผ่า” โผล่มาประกาศจองเก้าอี้ไว้ให้ “น้องข้านั่ง”

มันเป็นอะไรที่สะท้อน ครม. “ลุงตู่” ภาค 2 ยังเน้นแจกจ่ายเก้าอี้รัฐมนตรีตามโควตา ล่อใจพรรคร่วมรัฐบาลด้วยการแบ่งเค้กก้อนโต จัดผลประโยชน์ตามอำนาจแฝงความเกรงใจพี่ๆน้องๆ

รัฐบาลเปลี่ยนผ่าน ปลอดจากการปฏิรูปการเมืองโดยสิ้นเชิง

ตามสภาพรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ ท่ามกลางความไม่พอใจ อาการแค้นฝังลึกในกลุ่มแก๊งต่างๆทั้งในรัฐบาลและภายในพรรคพลังประชารัฐ พร้อมหักลำกันได้ทุกขณะ

ในจังหวะแรงเสียดทานภายนอก ทีม “นายใหญ่” จ้องรอพลิกขั้ว

ท่ามกลางคลื่นพายุที่กำลังก่อตัวจากปรากฏการณ์ “อีช่อ–นางช่อ” ฝ่ายไล่ล่า ฝ่ายหนุน น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ โซ้ยกันนัวกับปมโพสต์ “มิบังควร”

“การเมืองใหม่” กับ “การเมืองเก่า” กำลังบี้กันในกระบวนความคิดของสังคม

อารมณ์ที่ พล.อ.ประยุทธ์ต้องประคองผลประโยชน์ทางการเมือง แลกกับการไปต่อในเกมอำนาจ นำทีม “ฝ่าดงระเบิด” ในสงครามความคิดคนไทย.

“ทีมการเมือง”

ไม่มีความคิดเห็น: