PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เกิดเป็น สนธิ ลิ้มทองกุล แท้จริงแสนลำบาก !?

ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ 

"ไม่ออกมาพูดก็หาว่า ไม่ให้แสงสว่างกับมวลชน ไม่รับผิดชอบกับมวลชนที่ประกาศเชิญชวนให้ออกไปช่วยสุเทพ เทือกสุบรรณ"

"ออกมาพูดถ้ายุทธวิธีไม่ตรงกับขบวนการที่เคลื่อนไหวในเวลานี้ หรือไม่เห็นด้วยกับเบื้องหลังในบางประเด็น หรือท้วงติง ก็จะมีคนตำหนิว่า เตะตัดขา, มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ, ขี้อิจฉา, ทำลายขบวนการ ฯลฯ"

"ออกมาพูดสนับสนุนทุกยุทธวิธี ทั้งๆที่คุณสนธิ ไม่เห็นด้วย ก็เท่ากับไม่บอกความจริงกับประชาชน เสมือนส่งสัญญาณผิดๆ ให้กับประชาชน"

"ออกมาร่วมชุมนุมก็หาว่ากลัวตกขบวน ตีกิน แย่งชิงมวลชน หากินกับเงินบริจาค"

"ไม่ออกมาร่วมชุมนุม ก็หาว่ามีอัตตามากไป ขี้ขลาด รับเงินทักษิณ หรือ สนใจแต่ขายของ"

ไม่ว่าการตัดสินใจเป็นแบบใด คุณสนธิก็คงถูกด่าจากสังคมจากด้านใดด้านหนึ่งที่ไม่เข้าใจ หรือมีอคติอยู่ดี

เกิดเป็น สนธิ ล้ิมทองกุล ต้องเสียสละเงินทองจนแทบสิ้นเนื้อประดาตัว องค์กรแทบล่มสลาย เอาชีวิตเข้าเสี่ยง ทั้งเสี่ยงคุกตะราง ทั้งเสี่ยงชีวิตจนถูกรุมสังหารใจกลางพระนครมาแล้ว มันเกินพอที่ไม่ต้องพิสูจน์อะไรอีกแล้ว ในฐานะเกิดมาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง

ขนาดทุกวันนี้ต้องมีค่าใช้จ่ายถ่ายทอดสดสถานการณ์การเมือง ต้องหยุดพักกิจกรรมหารายได้ใหัองค์กรเพื่ออุทิศเวลาให้กับการชุมนุม โดยที่ไม่มีการตั้งกล่องรับบริจาคในที่ชุมนุม ไม่ได้รับเงินสนับสนุนจากคนจัดชุมนุมหรือนักการเมืองคนใด จนองค์กรแห่งนี้อาจเข้าสู่ภาวะวิกฤติอีกครั้งในเวลาอันใกล้นี้ จะมีใครสักกี่คนมองเห็นในแง่มุมนี้บ้าง?

คุณสนธิเป็นนักประวัติศาสตร์ การอยู่ในช่วงเวลาหนึ่งอันสำคัญของประวัติศาสตร์ย่อมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้แล้ว และคุณสนธิก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ในช่วงเวลาของประวัติศาสตร์ในทุกๆช่วงเสมอไป มันอยู่ที่ว่าใครเหมาะกับสถานการณ์ไหน จังหวะใด และเวลาใดมากกว่า

ดังนั้นการตัดสินใจของคุณสนธิในเวลานี้ก็ไม่ใช่เหตุผลว่าเพราะกลัวถูกด่า หรือกลัวว่าจะตกขบวน กลัวไม่มีบทบาท กลัวไม่ได้รับเงินบริจาค กลัวติดคุก ฯลฯ เพราะถ้าตัดสินใจบนเหตุผลความกลัวเหล่านั้น ก็เป็นเหตุผลในเรื่องของประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าส่วนรวม และไม่ใช่อุปนิสัยของคนที่ชื่อ สนธิ ลิ้มทองกุล

แต่สิ่งที่คุณสนธิ ต้องชั่งน้ำหนักการแสดงท่าทีของตนเองคือ จะเกิดชัยชนะต่อประเทศชาติและประชาชนได้อย่างแทัจริงหรือไม่ ต่างหาก

คนทั่วไปมักจะโพสต์ว่าอยากเห็นคุณสนธิจับมือกับคุณสุเทพ เพราะคิดว่าจะทำให้ได้รับชัยชนะ หรือการเคลื่อนไหวมวลชนจะก้าวหน้าขึ้น 

แต่ในความเป็นจริงมวลชนที่ชุมนุมอยู่ในเวลานี้กลุ่มคนที่เคยร่วมกับพันธมิตรฯก็ออกไปมากจนเกือบหมดแล้วเพราะคนเหล่านี้เป็นพลเมืองที่มีความกระตือรือล้นสูง จึงห่วงใยชาติบ้านเมืองกันทั้งสิ้น ถึงแม้มีคุณสนธิและ ASTV เข้าร่วมการชุมนุม ผู้ชุมนุมก็อาจจะเพิ่มได้ไม่มากไปกว่านี้มากนัก

แต่ลักษณะโครงสร้างและจังหวะสุกงอมในเวลานี้ทำใหัเรามีมวลชนกลุ่มใหม่ที่เป็นนักศึกษาเยาวชน และวัยรุ่นเพิ่มมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ดังนั้นเพียงแค่การที่คุณสนธิส่งสัญญาณให้ช่วยเหลือการชุมนุมของคุณสุเทพจึงถือว่าได้ช่วยเติมความต้องการในการชุมนุมครั้งนี้ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว

แต่หากมีคุณสนธิ แสดงความเห็นหรือเข้าร่วมขบวนการในช่วงเวลานี้ อาจส่งผลเสียหลายประการ เพราะต้องไม่ลืมว่าคุณสนธิเป็นอดีตผู้นำมวลชนที่มีอาชีพสื่อมวลชนที่วิจารณ์คนในอาชีพเดียวกันอย่างหนักหน่วงก็เป็นที่เขม่น หมั่นไส้อยู่แล้ว แต่บทบาทสื่อมวลชนที่วิพากษ์วิจารณ์ทุกกลุ่มอำนาจที่โกงบ้านกินเมืองเพื่อเอาชาติเป็นตัวตั้ง ย่อมทำให้คุณสนธิขาดพันธมิตรฯหุ้นส่วนในโครงสร้างอำนาจไปโดยปริยาย โดยเฉพาะกลุ่มทหารที่ร่วมยิงคุณสนธิจนฝากบาดแผลไว้บนศีรษะด้านขวาทุกวันนี้ กลุ่มทหารเหล่านี้กำลังเป็นผูัถือดุลอำนาจสำคัญ ที่คงไม่อยากเห็น สนธิ ลิ้มทองกุล อยู่ในสมการการชุมนุมครั้งนี้อย่างแน่นอน

ไม่ต้องพูดถึงคนที่ตกเวทีพันธมิตรฯไป เพราะเลือกข้างพรรคประชาธิปัตย์ เพราะลงสมัครับเลือกตั้งพรรคการเมืองใหม่ทั้งๆที่พันธมิตรฯไม่เห็นด้วย คนใฝ่ฝันอยากเป็นแกนนำมวลชนคนใหม่ นักฉวยโอกาส รวมถึงคนที่คิดดีกับบ้านเมืองแต่ห่วงจะเสียแนวร่วมก็อาจไม่ต้องการการปรากฏตัวของสนธิ ลิ้มทองกุล อีกเช่นกัน

คุณสนธิ ลิ้มทองกุล จึงเข้าใจอย่างดีว่า ไม่ว่าคุณสนธิจะส่งสัญญาณส่งมวลชนไปช่วยคุณสุเทพ 2 ครั้งในยามวิกฤติอย่างไรก็ตาม จะไม่เคยมีแม้กระทั่งคำขอบคุณจากคุณสุเทพ ทั้งในทางตรงและทางอ้อม ทั้งในทางลับหรือเปิดเผย เพราะมันเป็นเรื่องการพึ่งพาหุ้นส่วนโดยเฉพาะทหาร ที่คุณสุเทพอาจเชื่อว่าจะทำให้บรรลุเป้าหมายตามวัตถุประสงค์ของคุณสุเทพ และคุณสนธิไม่ได้ติดใจหรือคาดหวังใดๆจากคุณสุเทพในการส่งสัญญาณสนับสนุนเท่าที่ผ่านมา แต่ทำไปเพราะคิดว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ เพื่อเอาชาติเป็นตัวตั้งไว้ก่อน

และแม้คุณสนธิ จะยอมรับว่ากองทัพจะเป็นปัจจัยชี้ขาดในการเปลี่ยนแปลง แต่คุณสนธิก็ไม่เชื่อว่าการปล่อยให้อำนาจต่อรองของทหารกลุ่ม 200 นัด เป็นผู้ถือดุลอำนาจ ให้ความสำคัญและยกอำนาจต่อรองของกลุ่มทหารนี้ให้อยู่สูงกว่าอำนาจต่อรองของมวลมหาประชาชนจะเป็นหลักประกันในการได้รับชัยชนะที่แท้จริงได้ นอกจากจะกลายเป็นเครื่องมือสร้างอำนาจต่อรองให้กับทหารเหล่านี้อีกครั้งทั้งกับรัฐบาลและกับมวลมหาประชาชน โดยที่ประเทศชาติและประชาชนไม่ได้ประโยชน์อันใด 

เพราะทหารกลุ่มนี้สนใจแต่การถือดุลอำนาจอยู่ตรงกลาง อำพรางไม่ให้ใครจับได้ เพราะกลัวว่าหากเริ่มเลือกข้างแล้ว สุดท้ายอำนาจอาจไม่อยู่ในมือทหารกลุ่มนี้อีกต่อไป และจะทำให้ทหารกลุ่มนี้ตกอยู่ในฐานะต้องไปพึ่งพา "คนอื่น" ที่อาจควบคุมไม่ได้ หรืออาจทำให้มีอำนาจต่อรองไม่มากเท่านี้

ด้วยเหตุผลนี้ คุณสนธิ กลับคิดอีกด้านว่าหากการเคลื่อนไหวของคุณสุเทพมีมวลชนสนับสนุนมากมายมหาศาลเป็นประวัติการณ์ขนาดนี้แล้ว

"ต้องให้อำนาจต่อรองจากการเคลื่อนไหวของมวลมหาประชาชนเป็นตัวกำหนดท่าทีของทหาร มากกว่าการให้อำนาจต่อรองของทหารเป็นตัวกำหนดหรือจำกัดการเคลื่อนไหวของมวลมหาประชาชน"

เหมือนตัวอย่างการที่ คปท. นำมวลชน เข้าไปใน บก.ทบ.และได้รับสัญญาณให้ออกไปโดยเร็ว เพียงเพื่อไม่ต้องการให้พิสูจน์ว่ากองทัพเลือกข้างใด

เหมือนการที่ กองทัพเจรจาให้หยุดยิงแก๊สน้ำตา เปิดทาง เพื่อให้มวลชนที่เข้าไปทำเนียบรัฐบาลจนมวลชนพอใจ แล้วให้มวลชนถอยออกมาเพราะเกรงใจทหารเพื่อให้รัฐบาลพอใจ

เหมือนการที่ ผบ.ทบ. บนโต๊ะเจรจา บอกว่ายืนข้างประเทศไทย เพื่อให้คุณสุเทพไปตีความเอาเองว่าไม่ยืนข้างรัฐบาล และรัฐบาลตีความว่าไม่ได้ยืนข้างคุณสุเทพ

ด้วยความคิดที่แตกต่างกัน คุณสนธิ จึงไม่สามารถออกมาให้ความเห็นในทางสาธารณะที่อาจกระทบการชุมนุมได้ ในขณะดียวกันแม้จะจะสนับสนุนให้มวลชนออกไป แต่จะให้พูดสนับสนุนทางยุทธวิธีที่คิดไม่เหมือนกันก็ไม่ได้เช่นกัน

คุณสนธิ พูดมาโดยตลอดว่าชัยชนะประชาชนจะเกิดขึ้นได้เพราะการเสียสละของพรรคประชาธิปัตย์ที่มีมวลชนสนับสนุนถึง 12 ล้านคน วันนี้ก็พิสูจน์แล้วว่า แม้ยังไม่มีการเสียสละทั้งพรรค แต่การที่มีสัญลักษณ์บางกลุ่มจากคนในพรรคประชาธิปัตย์เสียสละ ได้สร้างปรากฏการณ์มวลมหาประชาชนอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และจะทำได้มากกว่านี้หากมีการเสียสละจากพรรคประชาธิปัตย์ที่มากกว่านี้ และชัยชนะจะเป็นไปได้มากกว่านี้อีก

คลื่นมวลมหาประชาชนได้พัดพาไป จนวันนี้ทุกกลุ่มผู้ชุมนุมได้พูดเรื่องการปฏิรูปประเทศอย่างเป็นเอกภาพ สิ่งที่คุณสุเทพได้พูดในเรื่องความล้มเหลวในโครงสร้างทางการเมือง และความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงประเทศ ฯลฯ เป้าหมายเหล่านี้จึงแทบไม่ต่างจากเป้าหมายของ สนธิ ลิ้มทองกุลเลยที่พูดมาแล้วหลายปี 

จะมีอยู่เพียงประเด็นสำคัญ เพียงประเด็นเดียวที่คุณสุเทพยังไม่เคยพูดถึงเลย คือเรื่อง "การปฏิรูปพลังงาน" 

ด้วยเหตุผลของเนื้อหาในเป้าหมายที่ปราศรัยกันในขณะนี้ที่ไม่ค่อยต่างกัน จึงไม่มีความจำเป็นที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ต้องเข้าไปร่วมอีก เพราะคุณสุเทพ ก็เสียสละในการเคลื่อนไหวครั้งนี้อย่างมาก และทำหน้าที่ในการนำได้ดีอยู่แล้ว ไม่ต่างจากสิ่งที่คุณสนธิได้เคยพูดและเสียสละมา

คุณสนธิ ได้พูดกับผมว่าภารกิจของเทียนเล่มแรกได้เสร็จสิ้นแล้ว การนับหนึ่งด้วยการจุดเทียนเล่มแรกเมื่อ 7 ปีที่แล้ว นั้นใช้ความยากลำบากอย่างยิ่ง มีต้นทุนที่ต้องจ่ายมาก ต้องขายทรัพย์สินจนแทบสิ้นเนื้อประดาตัว องค์กรแทบอยู่ไม่ได้ ชีวิตขาดอิสระภาพเพราะตกอยู่ในอันตรายอยู่ตลอดเวลาถึงชีวิต ขึ้นศาลแทบทุกอาทิตย์ และยังมีคดีในศาลฎีการอคำพิพากษาในเร็ววันนี้อีก 6 คดี แต่ก็พึงพอใจว่าสิ่งที่พูดมา 7 ปีกว่าที่ต้องเอาชีวิตและธุรกิจเข้าแลก ตามคำขวัญ "ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง" ได้ผลิดอกออกผลเป็นเทียนมากมายมหาศาล แม้ว่าผู้ถือเทียนนำในวันนี้จะไม่ใช่คุณสนธิ ล้ิมทองกุล แล้วก็ตาม

ธนู 2 ดอกเหมือนกันยิงเป้าหมายเดียวกัน เมื่อ "ยิงพร้อมกันจากคันธนูเดียวกัน"ย่อมให้ผลเท่ากับยิงธนูดอกเดียวและเสียลูกธนูอีกดอกไปโดยไม่จำเป็น แต่เราควรเก็บ "เทียนเล่มแรก" และ "ธนูดอกสุดท้าย" เอาไว้ใช้ในยามจำเป็น เพลี่ยงพล้ำ หรือเมื่อถึงเวลาที่ควรกว่านี้ยังจะมีประโยชน์กว่า โดยเฉพาะเมื่อ"ยุทธวิธี"ไม่เหมือนกัน

แม้คุณสนธิจะส่งสัญญาณให้มวลชนออกไปช่วยคุณสุเทพเพื่อประโยชน์ของชาติบ้านเมือง แต่ก็ไม่ได้อยู่ในฐานะผู้นำหรือผู้วางแผน และวางยุทธวิธี ที่จะรับผิดชอบในสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ ขอให้มวลชนที่มีเทียนแห่งปัญญาที่ได้จุดติดแล้ว ใช้ประสบการณ์ที่ผ่านมาเป็นบทเรียน ใช้สติในการเคลื่อนไหวอย่างรอบคอบ ระมัดระวังตัวไม่ตกเป็นเหยื่อในการสร้างสถานการณ์ความรุนแรงเพื่ออำนาจของใคร และไม่ปล่อยให้ใครมาฉกฉวยโอกาส โดยปราศจากการปฏิรูปประเทศไทยให้ได้อย่างแท้จริง

ไม่มีความคิดเห็น: