PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2557

dเหยี่ยว-พิราบ-น้ำ-ไฟ ทบ.บู๊ "บิ๊กตู่" ผบ.ทบ.ขาลุย จับตา "แม่ทัพแก้มบุ๋ม" และฝันของ "ตาแก่ป๊อก"

ทีมเสรีชน:
เหยี่ยว-พิราบ-น้ำ-ไฟ ทบ.บู๊ "บิ๊กตู่" ผบ.ทบ.ขาลุย จับตา "แม่ทัพแก้มบุ๋ม" และฝันของ "ตาแก่ป๊อก"

สังคม ไทยอ่อนไหวและหวาดระแวงต่อข่าวลือการปฏิวัติรัฐประหารอย่างยิ่ง ท่ามกลางระเบิดที่ดังตูมตามรายวันต่อเนื่องลูบคมอำนาจกองทัพ และส่งสัญญาณท้าทายอำนาจของ ผบ.ทบ. คนใหม่

แค่มีกำลังทหารพร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์ 16 กองพัน วิ่งเข้าวิ่งออกกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) อดีต บก.ศอฉ. ย่านบางเขน ตั้งแต่วันซ้อมใหญ่ จนถึงวันสวนสนามเทิดเกียรติอำลา บิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เมื่อ 29 กันยายน ผู้คนก็แตกตื่น คิดว่าทหารจะปฏิวัติ

ด้วยเพราะมีทหารทุกเหล่า ทั้งทหารราบ ทหารม้า ทหารปืนใหญ่ โดยเฉพาะทหารหมวกแดงรบพิเศษ ที่ถึงขั้นวิ่งสวนสนามเทิดเกียรติสูงสุดให้ พล.อ.อนุพงษ์ กว่า 2 พันคน มารวมตัวกัน พร้อมด้วยระดับแม่ทัพนายกอง

แถมวันรุ่งขึ้น 30 กันยายน ก็มีพิธีสวนสนามใหญ่พิธีส่งมอบหน้าที่และอำนาจการบังคับบัญชาในตำแหน่ง ผบ.ทบ. จาก พล.อ.อนุพงษ์ ให้ บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ บก.ทบ. อีก ตามมาด้วยการตบเท้ายินดีกับ ผบ.ทบ. คนใหม่ในวันถัดมาอีก

ความเคลื่อนไหวของทหารในช่วงเปลี่ยนหัว เปลี่ยนนายใหม่เช่นนี้ จึงทำให้การเมืองร้อนฉ่าไปพร้อมๆ กันด้วย อีกทั้ง ผบ.ทบ. คนใหม่นี้คือ พล.อ.ประยุทธ์ จึงเสมือนเป็นระฆังยกหนึ่งได้ดังขึ้นแล้ว

นอกจากความแข็งกร้าว ห้าวหาญ เด็ดขาด ถึงลูกถึงคน แล้วการเป็นนายทหารที่เกลียดสีแดง จึงทำให้มีคำกล่าวขวัญถึง พล.อ.ประยุทธ์ ทหารสายเหยี่ยวผู้ใจร้อนคนนี้ กับแนวคิดเรื่องปฏิวัติ วันละสิบหนได้กระมัง

ด้วยเพราะความเชื่อฝังหัวประการหนึ่งของ ผบ.ทบ. คนใหม่ คือ กองทัพเท่านั้นที่จะเป็นองค์กรที่ดูแลชาติบ้านเมืองให้พ้นวิกฤติได้ และวิกฤติการเมืองคือปัญหาหรือภัยคุกคามความมั่นคงอย่างหนึ่ง พล.อ.ประยุทธ์จึงไม่เคยปฏิเสธเรื่องการปฏิวัติแม้จะมีปัญหาตามมาก็ตาม

ที่สำคัญ พลอยทำให้ทหารทั้งกองทัพ พลอยมีบุคลิกและแนวคิดแบบเดียวกับ "ทบ.1" ไปด้วย โดยเฉพาะการเรียกพวกคนเสื้อแดงว่า "มัน" และพร้อมลุย จึงทำให้เส้นบางๆ ที่คั่นระหว่างทหารกับการเมือง พร้อมที่จะถูกทำลายให้ขาดผึง

ที่สำคัญ แผงอำนาจ เตรียมทหาร 12 เพื่อนร่วมรุ่นของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ล้วนแต่เป็นสายเหยี่ยว ทั้งนักรบอีสาน อย่าง บิ๊กเยิ้ม พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 ที่คุมฐานเสียงใหญ่ของพรรคเพื่อไทย และพื้นที่สีแดงแจ๋ นั้น ก็ถึงลูกถึงคน เป็นขาลุย ไม่แพ้ พล.ท.วีร์วลิต จรสัมฤทธิ์ เพื่อน ตท.10 ของ พล.อ.อนุพงษ์ ที่ไม่เอาพลเอก ยอมเกษียณแค่พลโท คาตำแหน่งแม่ทัพ ที่ทำให้เสื้อแดงอีสานหัวหด

ส่วน บิ๊กหยอย พล.ท.วรรณทิพย์ ว่องไว แม่ทัพภาคที่ 3 นั้น แม้จะเป็นทหารม้า ที่มักจะมีบุคลิกรวดเร็ว รุนแรง เด็ดขาด แต่ก็มีความสุขุมรอบคอบ และใจเย็นอยู่บ้าง แต่หากสถานการณ์ในภาคเหนือยังรุนแรง มีระเบิดเปรี้ยงปร้างขึ้นมาบ่อยๆ พล.ท.วรรณทิพย์ ก็จำต้องเลือกแสดงบทแข็งกร้าว เพื่อสยบปัญหา ตามบัญชาของท่าน ผบ.ทบ. ประธานรุ่น ตท.12

ขณะที่ พล.ท.โปฎก บุนนาค ผบ.หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (ผบ.นสศ.) แผงอำนาจ ตท.12 อีกคน นั้น เป็นหมวกแดงโหดเงียบ และมักมีเรื่องซุบซิบกับ พล.อ.อนุพงษ์ และ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ตลอดที่เจอหน้า และได้รับคำขอบคุณแบบไม่หยุดปาก เพราะการปฏิบัติการพิเศษต่างๆ ในช่วงเสื้อแดง ที่วันนี้ภารกิจของทหารรบพิเศษ ก็ยังไม่จบสิ้น

ถึงขั้นที่ พล.อ.อนุพงษ์ เอ่ยปากว่า "ขอบคุณ นายทหารชั้นประทวน โดยเฉพาะ นายสิบ เพราะไม่มีอะไรที่นายสิบของ ทบ. เรา ที่สั่งแล้วทำไม่ได้ นายสิบเราทำได้ทุกอย่าง"

ส่วน บิ๊กยอด พล.ท.ยอดยุทธ บุญญาธิการ ผบ.หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ (ผบ.นปอ.) ที่แม้จะดูเงียบๆ นิ่งๆ แต่บทเอาจริง ก็น่าเกรงขามไม่น้อย

ที่สำคัญที่สุด เพื่อนคู่คิด เป็น เสธ.ทบ. คู่ใจ พล.อ.ประยุทธ์ อย่าง บิ๊กหนุ่ย พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ นั้น ได้ชื่อว่าเป็น สายเหยี่ยว เพราะได้ประจักษ์กันมาแล้วจากผลงานการสลายม็อบเสื้อแดง แถมเป็นเพื่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ ไว้วางใจให้รับผิดชอบงานสำคัญๆ และปรึกษาหารือตลอด

อย่าลืมว่า พล.อ.ดาว์พงษ์ ก็เป็นนายทหารประเภท ใจถึง พึ่งได้ เช่นเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์ ที่พร้อมไปไหนไปกัน เอาไหนเอากันแน่ ดังนั้น จึงไม่ต้องสงสัยว่า กองทัพในยุคนี้ จะเป็นยุคขาลุย ยอมหักไม่ยอมงอ เลยทีเดียว แถมมีลูกคู่อย่าง พล.ท.อักษรา เกิดผล ผช.เสธ.ทบ.ฝ่ายยุทธการ (ตท.14) ที่ก็เป็นทหารสายเหยี่ยว มือปราบเสื้อแดง อีกคน

ส่วนเพื่อน ตท.12 ในฝ่ายอำนวยการ ก็เป็นขาลุยมาก่อน ทั้ง บิ๊กอ้อ พล.ท.วิลาส อรุณศรี ผช.เสธ.ทบ.ฝ่ายข่าว อดีตรองแม่ทัพน้อย 1 ที่มีส่วนสำคัญในการนำทหารจัดการเสื้อแดง บิ๊กอ๊อด พล.ท.อำพน ชูปทุม ผช.เสธ.ทบ.ฝ่ายกำลังพล ก็มาจาก ผบ.ปตอ. หน่วยคุมกำลัง ที่มีบทบาทในช่วงศึกเสื้อแดงที่ผ่านมา

ขณะที่ บิ๊กเต่า พล.ท.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ผช.เสธ.ทบ.ฝ่ายกิจการพลเรือน ที่แม้ทำงานมวลชนแต่ก็ออกแนวบู๊ เพราะเล่นงานมวลชนเชิงรุกมาตลอด โดยเฉพาะการปฏิบัติการจิตวิทยา (ปจว.) แบบที่คนเสื้อแดง และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นึกไม่ถึงและรับมือไม่ไหวมาแล้วเลยทีเดียว

จึงอาจกล่าวได้ว่า นายทหารที่ พล.อ.ประยุทธ์ เลือกมาคุมกำลังและงานสำคัญนั้น ล้วนเป็นสายเหยี่ยว สายบู๊ ที่พร้อมเต็มที่ เมื่อมีคำสั่ง และดูจะเป็นการเตรียมคนให้เหมาะสมกับสถานการณ์วิกฤติทางการเมือง ที่รออยู่เบื้องหน้า แบบที่ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ต้องกังวลว่า สั่งให้ทำ 100 แต่กลับทำแค่ 80 หรือ 90 เปอร์เซ็นต์ เพราะทุกคนมีบทเรียนจากกรณีของ บิ๊กอ๊อด พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ ที่ต้องหลุดเก้าอี้ ทัพภาค 1 หลุดห้าเสือ ทบ. ไปนั่งตบยุงเป็น พลเอก ที่ปรึกษาพิเศษ ทบ. เท่านั้น

คงจะมีแต่ นายทหารเสือราชินี อย่าง บิ๊กโด่ง พล.ต.อุดมเดช สีตบุตร แม่ทัพภาคที่ 1 คนใหม่ รุ่นน้อง ตท.14 ซึ่งคุมขุมกำลังปฏิวัติเท่านั้น ที่ดูจะเป็นนายทหารสายพิราบ แนวบุ๋น เยือกเย็นเยี่ยงสายน้ำ ที่อาจทำให้กองทัพได้ปรับสมดุลบ้าง

แต่ภายใต้ใบหน้าหวานๆ ภายใต้ลักยิ้มแก้มบุ๋ม ท่าทีที่อ่อนน้อมนี้ ก็มีความเด็ดขาดหลบซ่อนอยู่ แบบที่จะไม่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ทหารเสือฯ รุ่นพี่หัวแถว ไม่ผิดหวัง

จึงไม่แปลกที่เจ้าตัวจะรู้ตัวดีว่า อะไรรอเขาอยู่บนเก้าอี้แม่ทัพภาคที่ 1 จนรอยยิ้มที่เคยเห็นบ่อยๆ อาจต้องจางหาย เมื่อรับตำแหน่งตั้งแต่ 5 ตุลาคม เรื่อยไป เพราะต้องคุมพื้นที่สำคัญภาคกลาง 26 จังหวัด รวมทั้งศูนย์กลางอำนาจอย่างกรุงเทพฯ

ที่สำคัญ พล.ท.อุดมเดช จะเป็นที่จับตามอง เพราะเวลานี้ถือว่าเขาอยู่ในเส้นทางเหล็ก ที่ก้าวต่อไปคือ ห้าเสือ ทบ. และด้วยอายุราชการถึงปี 2558 ทำให้เขาอาจเป็นทายาททหารเสือฯ ที่จะรับไม้ต่อจาก พล.อ.ประยุทธ์ ที่เกษียณ 2557



สําหรับ พล.ท.อุดมเดช นั้น ถือว่าเป็นทหารเสือราชินีเลือดแท้ เพราะเขาเติบโตมาจากกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ (ร.21 รอ.) มาตลอดจนเป็น ผบ.ร.21 รอ. ไม่ได้มีสายเลือดบูรพาพยัคฆ์แต่อย่างใด เพราะเขาไม่ได้โตมาในกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.) แต่ก็แค่ ร.21 รอ. เป็นหน่วยลูกของ พล.ร.2 รอ. เท่านั้น แต่เขามาเติบโตในกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.) แม้จะเป็นแค่ รอง ผบ.พล.1 รอ. แต่ก็เป็นทั้ง ผบ.มทบ.11 และ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 9 (ผบ.พล.ร.9) มาก่อน

แต่นี่อาจเป็นหมากที่จงใจของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่วางนายทหารที่เป็นทั้งเหยี่ยวและพิราบ ได้ทั้งแนวบู๊และบุ๋น อย่าง พล.ท.อุดมเดช มาเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ที่ต้องเล่นหลายบทบาท ทั้งงานมวลชน ที่ต้องอาศัยรอยยิ้มหวานแก้มบุ๋ม กรุยทาง แต่ก็ต้องเด็ดขาดในงานด้านยุทธการ

พร้อมกันนั้น หากมองไปใน ทบ. แล้ว จะเห็นว่า มีการจัดวางนายทหารสายพิราบ มาทำงานด้านฝ่ายอำนวยการ ฝ่ายเสนาธิการ เพื่อปรับสมดุลกองทัพ เพราะในระดับห้าเสือ ก็ออกแนวบุ๋นทั้ง บิ๊กต้อย พล.อ.ธีระวัฒน์ บุญยประดับ รอง ผบ.ทบ. (ตท.10) ส่วน พล.อ.พิเชษฐ์ วิสัยจร ผช.ผบ.ทบ. (ตท.11) แม้จะมาจากแม่ทัพภาคที่ 4 สู้ไฟใต้มา แต่ก็รู้กันดีว่า เขาเป็นนายทหารสายพิราบ นักพัฒนา

คงมีแต่ บิ๊กเล็ก พล.อ.ยุทธศิลป์ โดยชื่นงาม ผช.ผบ.ทบ. ที่พร้อมเล่นบทบู๊ในฐานะที่เป็นหน่วยคุมกำลัง เป็น ผบ.นปอ. มาก่อน แต่งานนี้ถูกวางตัวให้คุมสายส่งกำลังบำรุง

ระดับ รอง เสธ.ทบ. ทั้ง 3 คน ทั้ง บิ๊กบี้ พล.ท.ศิริชัย ดิษฐกุล บิ๊กอ๋อย พล.ท.จิรเดช โมกขะสมิต สองเพื่อนซี้แห่ง ตท.13 ก็ได้ชื่อว่าเป็นนายทหารอาชีพสายพิราบ รวมทั้ง พล.ท.อรุณ สมตน (ตท.14) ก็โตมาในสายกำลังพลมาตลอด ไม่ใช่แนวบู๊

แต่ดูสัดส่วนแล้ว นายทหารสายบู๊ จะมีมากกว่าสายบุ๋น จึงยากที่เมื่อเกิดวิกฤติขึ้น น้ำจะหาญดับไฟได้ ในเมื่อหัวแถว ทบ.1 ก็เป็นดั่งพระเพลิง

ขณะที่นายทหารสายเหยี่ยวอีกคน แต่จำต้องเล่นบทพิราบ ทำตัวเป็นน้ำคอยดับไฟ มาตลอด 3 ปี แต่มาจบตรงที่การเผยตัวตน ในยุทธการเสื้อแดง อย่าง พล.อ.อนุพงษ์ ก็เปิดหมวกอำลา ทบ. ไปแล้ว แต่อาจเป็นแค่ชั่วคราว เพราะเขาถูกจับตามองว่า ไม่อาจหนีไปจากกองทัพและการเมืองได้

"ผมดีใจจะตาย จะได้เกษียณ อย่ามาคิดว่าผมไม่อยากเกษียณ ผมทำงานหนักมาทั้งชีวิต มีแต่อยากจะเกษียณจะได้พักผ่อน" พล.อ.อนุพงษ์ ตัดพ้อ

ด้วยเพราะเขาวางแผนที่จะโยนทุกอย่างใส่บ่าของ พล.อ.ประยุทธ์ และละทิ้งความวุ่นวายทั้งหมดไว้เบื้องหลัง แล้วจูงมือ คุณอุ๊ กุลยา ภริยา ลูกๆ และเพื่อนสนิทที่รู้กันดีว่าเป็น "กระเป๋า" ส่วนตัว ไปเที่ยวเมืองนอก แบบม้วนยาว ทั้งยุโรป และอเมริกา

แต่ที่จะพิสูจน์ใจพี่ป๊อกกับน้องตู่ และเคยพิสูจน์ใจ ผบ.ทบ. ที่มาเป็นต่อกันมาหลายคนแล้ว ก็คือ จะมีเงินคงเหลือในบัญชีส่งมอบเหลือเป็นขวัญถุงให้ ผบ.ทบ. คนใหม่ หรือไม่เพียงใด เพราะก่อนเกษียณไม่กี่วัน ก็มีการเคลียร์บัญชีธนาคารครั้งใหญ่

แต่ พล.อ.ประยุทธ์ คงไม่วอรี่ เพราะมองไปข้างหน้าอีก 4 ปีบนเก้าอี้ ผบ.ทบ. ก็เหลือคณานับแล้ว แต่อยากให้พี่ชายพักผ่อนอย่างมีความสุข

วันเกิดปีนี้ 10 ตุลาคม พล.อ.อนุพงษ์ จึงฉลองเบิร์ธเดย์ที่ต่างแดน แบบหัวเบาตัวเบาจากภาระต่างๆ ที่สลัดทิ้งให้ ผบ.ทบ. คนใหม่ไปแล้ว

จึงไม่แปลกที่ก่อนหน้านี้ ในงานอำลากองทัพภาคต่างๆ โรงเรียนนายร้อย จปร. ศูนย์การทหารราบ และ ทบ. พล.อ.อนุพงษ์ จึงกดเก็บความรู้สึก ไม่ให้ปรากฏออกมาทางแววตา ไม่ให้มีแม้น้ำตาคลอเบ้า คงมีแต่อารมณ์โกรธขึ้ง เมื่อถูกนักข่าวจ้องมองและถ่ายเจาะสีหน้าและแววตา

"จะมาถามทำไมว่า เกษียณแล้วรู้สึกยังไง จะให้เสียใจไม่อยากเกษียณหรือ ถามอย่างนี้ไม่แฟร์ จะมาคิดว่าผมไม่อยากเกษียณหรือไง" บิ๊กป๊อก ปรี๊ดส่งท้าย

"คนเราทำงานมาจนเกษียณ ขอให้เกษียณด้วยความภูมิใจว่า เราได้ทำอะไรเพื่อชาติบ้านเมืองไว้บ้าง" บิ๊กป๊อก ย้ำเหตุผลที่ทำให้ตนเองเกษียณราชการอย่างเปี่ยมสุขและเปี่ยมเกียรติ เพราะเขาเชื่อมั่นว่า วีรกรรมปราบแดง ครั้งล่าสุด เป็นที่ยอมรับและทำให้เขาได้รับแต่เสียงชื่นชมและขอบคุณ

ว่ากันว่า ส่งมอบเก้าอี้ ผบ.ทบ. 30 กันยายน รุ่งขึ้นเกษียณปุ๊บ 1 ตุลาคม พล.อ.อนุพงษ์ ก็ออกท่องโลกทันที แต่จะเป็นเหมือนแค่การลาพักร้อนยาวๆ ไปชาร์จแบตเตอรี่เท่านั้น เพื่อที่จะกลับมากรำศึกต่อ เพราะจากที่เคยบอกว่า จะไม่เล่นการเมือง และไม่รับตำแหน่งทางการเมือง พล.อ.อนุพงษ์ กลับใช้คำว่า "จะพยายามอยู่ห่างการเมือง ให้มากที่สุด" แบบว่า พอๆ กับอยู่ห่างนักข่าวให้มากที่สุดด้วย

แต่สายข่าวใกล้ชิด ยืนยันว่า พล.อ.อนุพงษ์ จะไม่เล่นการเมือง และไม่รับตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ต่อให้มี 2 พรรคใหญ่ทาบทาม ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ โดย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค ด้วยเก้าอี้ รมว.กลาโหม ล่อใจ และพรรคภูมิใจไทย พรรคสีน้ำเงินของ นายเนวิน ชิดชอบ ด้วยเก้าอี้ รมว.มหาดไทย ล่อใจก็ตาม

ยังคงแน่วแน่ที่จะรอคอยตำแหน่งสำคัญในการรับใช้ใต้เบื้องยุคลบาทต่อไป พร้อมๆ กับการทำงาน "ปิดทองหลังพระ" อยู่เบื้องหลัง บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม และ พล.อ.ประยุทธ์ ต่อไป

ความฝันของ พล.อ.อนุพงษ์ ที่อยากจะเป็นตาแก่อยู่บ้านกับลูกเมีย เล่นกีตาร์ ตีกลอง ไปพลาง และพากันไปพักผ่อนในที่ๆ อยากไปนั้น คงทำได้แค่ช่วงแรกๆ ของการเกษียณเท่านั้น เพราะกลับมาก็คงหนีไม่พ้นการเมือง เพราะบ้านพักก็ยังอยู่ใน ร.1 รอ. ในดงอำนาจ ในรั้วเดียวกับ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์

พล.อ.อนุพงษ์ คงลืมไปว่า การเมืองเป็นเรื่องใกล้ตัว ที่สำคัญตัวเองนั่นแหละที่เป็นคนผูกปมปัญหาวิกฤติที่เกิดขึ้นอยู่นี้ไว้ ตั้งแต่นำปฏิวัติ 19 กันยายน ครั้นจะทิ้งไปเฉยๆ ก็คงไม่ได้ เพราะถ้าขั้วอำนาจเก่าสีแดงกลับมา ต่อให้เกษียณไปแล้ว บิ๊กป๊อก และทหารเสือฯ รวมทั้งบูรพาพยัคฆ์ อาจเดือดร้อนหนัก โดยเฉพาะเรื่องที่ซุกอยู่ใต้พรมแดง ก็จะถูกเขี่ยออกมา

เห็นที ตาป๊อก คงไม่อาจอยู่บ้านเลี้ยงหลาน กลายเป็นตาแก่ เพราะเขายังมีไฟในตัว และไฟในใจที่ต้องสะสาง และอาจจะกลายเป็น ตาแก่ ที่น่ากลัวแห่งการเมืองไทยอีกคน..

ไม่มีความคิดเห็น: