“โอกาส” และ “กับดัก”
สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.)
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
ขณะนี้ องค์กรหรือหน่วยงานภาครัฐที่จะมีบทบาทสำคัญในการปฏิรูปประเทศ ได้ก่อเกิดขึ้นมาเกือบจะครบทั้ง 5 องค์กรแล้ว ประกอบด้วย คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) คณะรัฐมนตรี(ครม.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) สภาปฎิรูปแห่งชาติ(สปช.) และคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ (กมธ.ยกร่างรธน.)
การปฏิรูปประเทศในด้านต่างๆ จะเกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริงหรือไม่เพียงใด ขึ้นอยู่กับการทำงานสอดประสาน รับ-ส่งกันของทั้ง 5 องค์กรข้างต้น
สภาปฎิรูปแห่งชาติ (สปช.) จะมีบทบาทอย่างไรต่อกระบวนการปฏิรูปประเทศไทย?
จะมี “โอกาส” และ “กับดัก” อะไรบ้าง ที่ต้องใส่ใจและระมัดระวัง?
1) บทบาทของสปช.กับกลไกการทำงานปฏิรูปประเทศไทย
แผนภาพข้างต้น แสดงให้เห็นบทบาทของ สปช.ในการขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศไทย ว่าจะต้องทำงานเกี่ยวข้อง ร่วมมือ หรือสัมพันธ์กับองค์กรสำคัญอีก 4 องค์กรอย่างไร
หน้าที่หลักของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) คือ ศึกษา วิเคราะห์ และจัดทําแนวทางและข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปด้านต่างๆ แล้วนำเสนอต่อ สนช. ครม. คสช. ตลอดจน กมธ.ยกร่าง รธน.
อธิบายตามแผนภาพ พูดง่ายๆ ว่า สปช.ทำหน้าที่เสมือนองค์กรที่เสนอแนะการปฏิรูปไปยังองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เขารับลูกไปดำเนินการ เนื่องจาก สปช.มิได้มีอำนาจในตัวเอง
เรียกว่า มีหน้าที่เสนอแนะ แต่ไม่มีอำนาจสั่งการโดยตรง ยกตัวอย่าง
หากข้อเสนอการปฏิรูปใด จำเป็นต้องสั่งการข้าราชการ ต้องใช้กลไกระบบราชการในการปฏิบัติ ก็จะต้องเสนอเรื่องไปที่ ครม. เพื่อให้ ครม.พิจารณาสั่งการข้าราชการต่อไป
หากข้อเสนอการปฏิรูปใด จำเป็นต้องแก้ไขกฎหมายหรือออกกฎหมายใหม่ หรือออก พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ก็จะต้องเสนอร่างกฎหมายไปยัง สนช. เพื่อให้พิจารณาผ่านกฎหมายออกมาใช้บังคับต่อไป
หากข้อเสนอการปฏิรูปใด จำเป็นต้องบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก็จะต้องเสนอประเด็นนั้นๆ ไปยังคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญต่อไป
หรือหากข้อเสนอการปฏิรูปใดมีความเกี่ยวข้องกับปัญหาที่มีความซับซ้อนด้านความมั่นคง พบข้อจำกัด มีอุปสรรค หรือจำเป็นต้องใช้อำนาจ คสช.ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ก็จะต้องนำเสนอให้ คสช.พิจารณาดำเนินการต่อไป
นอกจากนี้ สปช.ก็ยังมีบทบาทในการร่างรัฐธรรมนูญ โดยจะต้องส่งตัวแทนจำนวน 20 คน เข้าไปเป็นกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และสุดท้าย สนช.ยังมีหน้าที่พิจารณาและให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญที่คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญจัดทําขึ้นด้วย
พิจารณาจากแผนภาพจะเห็นได้ว่า การขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศไทยนั้น จะเดินหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็ต่อเมื่อองค์กรสำคัญทั้ง 5 ทำงานสอดประสาน สอดรับกัน เดินหน้าผลักดันการปฏิรูปอย่างจริงจัง
หากสภาปฏิรูปแห่งชาติเข้าเกียร์เดินหน้า แต่องค์กรอื่นๆ เข้าเกียร์ว่าง หรือเข้าเกียร์ถอยหลัง การปฏิรูปประเทศก็อาจจะประสบปัญหา ขลุกขลัก กุกกัก ยากจะประสบความสำเร็จจนเห็นผลเป็นรปธรรม หรือถ้า สปช.กลับไม่มีหัวคิดที่จะปฏิรูป ไม่กล้านำเสนอแนวทางที่จะเป็นการปฏิรูปในระดับโครงสร้างแก่องค์กรอื่นเสียเอง ก็จะเป็นการทำลายโอกาสสำคัญของประเทศชาติอย่างน่าเสียดาย
สิ่งสำคัญ คือ การปฏิรูปครั้งนี้จะต้องสร้างการเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้าง สปช.จำเป็นจะต้องดำเนินการเพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการปฏิรูปประเทศ เพื่อประโยชน์ของประชาชน ร่วมสนับสนุน ร่วมผลักดัน เกิดการยอมรับ มีความรู้สึกเป็นเจ้าของในข้อเสนอของการปฏิรูปทั้งหลายนั้น อันจะเป็นพลังและความชอบธรรมให้การผลักดันแนวทางการปฏิรูปในด้านต่างๆ ต่อไปด้วยในอนาคต
2) โจทย์ใหญ่ ความท้าทายของการปฏิรูป?
เมื่อพิจารณาจากสภาพปัญหาจริงในบ้านเรา จะพบว่า ประเทศไทยมีปัญหาที่ดำรงอยู่อย่างฝังลึก กัดกินผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนร้ายแรง บางปัญหามีความซับซ้อน เกี่ยวพันหลายมิติ ทั้งในเชิงกฎหมาย วัฒนธรรม ค่านิยม เศรษฐกิจ ฯลฯ เป็นความท้าทายเร่งด่วนสำหรับการปฏิรูปประเทศ ยกตัวอย่าง
(1) แก้ปัญหาเผด็จการทุนนิยมผูกขาดในการเมือง : ปัญหานี้ เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยไม่มีความเป็นประชาธิปไตนอย่างแท้จริง เลวร้ายกว่ารัฐประหาร เพราะนายทุนสามานย์ใช้อำนาจทุนรวบอำนาจเบ็ดเสร็จไว้กับตนเอง ผลที่ตามมา คือ แม้จะมีการเลือกตั้ง แต่ส.ส.ก็ไม่ฟังความต้องการที่แท้จริงของประชาชน กลับมีพฤติกรรมเสมือนลูกจ้างนายทุนพรรค อาทิ แก้กฎหมายล้างผิดให้นายทุนพรรค ออกกฎหมายเอื้อประโยชน์แก่นายทุนการเมือง แต่ลอยแพปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ไม่รับฟังความต้องการของประชาชน เป็นต้น
จะต้องปฏิรูปโครงสร้างการเมืองการปกครองอย่างไร จึงจะทำให้นายทุนพรรคการเมืองเข้าสู่การเมืองได้ยากขึ้น ระบบเลือกตั้งใหม่จะเป็นอย่างไร? ระบบพรรคการเมือง ระบบตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ช่องทางการมีส่วนรวมของประชาชน จะเป็นอย่างไร? และจะขจัดผู้บริหารที่ขาดความชอบธรรมให้ออกจากตำแหน่งได้อย่างไร? เป็นต้น
(2) ปฏิรูปสื่อสารมวลชนเพื่อการเรียนรู้ของสังคม : สื่อมวลชนมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในสังคมสมัยใหม่ เสมือนเป็นสถาบันการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิตของประชาชน หากสื่อไม่สร้างสรรค์ ไม่มุ่งให้ข้อมูลความรู้ที่ถูกต้องแก่คนในสังคม ไม่สนับสนุนการปฏิรูปบ้านเมือง แต่กลับมอมเมาผู้คนด้วยข่าวสารที่ไร้สาระ ปลูกฝังค่านิยมผิดๆ โดยอ้างแค่ว่าคนชอบดู และก็ใช้สื่อเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจ การปฏิรูปก็ยากจะเกิดขึ้นได้
(3) กรณีการกระจายอำนาจ : จะปฏิรูปโครงสร้างอำนาจการเมืองการปกครอง เพื่อ “ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน” ได้อย่างไร?
(4) การแก้ปัญหาระบบอุปถัมภ์ในสังคมไทย : จะทำอย่างไร มิให้ระบบอุปถัมภ์ถูกนำมาใช้บ่อนทำลายประสิทธิภาพการบริหารราชการแผ่นดิน การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ฯลฯ
3) “กับดัก” ที่ สปช.ต้องระมัดระวัง?
แม้ประตูแห่ง “โอกาส” จะเปิดขึ้น แต่ก็มี “กับดัก” ที่ สปช.ในฐานะที่เป็นองค์กรเกิดใหม่จะต้องระมัดระวัง
(1) ภารกิจของ สปช. แตกต่างจาก ส.ส. ส.ว. หรือแม้แต่ สสร.ในอดีต ทั้งยังแตกต่างจาก สนช.ในปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้ จะต้องพิจารณาว่า สปช.จะกำหนดวิธีการทำงานของตนเองอย่างไร?
รูปแบบ วิธีการ และขั้นตอนการทำงาน แบบไหนจึงจะมีประสิทธิภาพสูงสุด?
จะมีคณะกรรมาธิการฯ 11 ด้าน หรือมากกว่านั้น เพื่อให้ครอบคลุม?
สมาชิก สปช. 250 คน จะทำงานอย่างไร? จะมีผู้ช่วย มีทีมงาน หรือจะกำหนดให้มีการทำงานร่วมกันอย่างไร จึงจะเกิดเอกภาพและมีประสิทธิภาพในหมู่ สปช.
ผู้ที่เสนอตัว แต่ไม่ได้รับเลือกให้เป็นสปช.จำนวนกว่า 7,000 คน จะเปิดพื้นที่ หรือสร้างช่องทาง เพื่อให้ผู้ที่ต้องการมีส่วนร่วมกับการปฏิรูปประเทศเหล่านี้ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิรูปประเทศอย่างไร?
ต้องไม่ลืมว่า ระยะเวลาการทำงานของ สปช.มีจำกัด เพราะข้อเสนอการปฏิรูปทั้งหลายจะต้องนำเสนอไปยังองค์กรที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น คสช. ครม. สนช. กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ก่อนที่องค์กรเหล่านั้นจะหมดอายุการทำงานในระยะเวลาประมาณ 1 ปี เท่านั้น
หาก สปช.เสนอแนะไปแล้ว องค์กรที่เกี่ยวข้องไม่ดำเนินการตามข้อเสนอ จะทำอย่างไร?
(2) หาก สปช.จะประกอบด้วยคนที่มีแนวคิดแตกต่างกัน อุดมการณ์แตกต่างกัน ความคิด ความเชื่อ ปูมหลังแตกต่างกัน สภาปฏิรูปก็จะกลายเป็นสภาโต้คารม หรือสภาปรองดอง
“กับดัก” ที่ต้องระมัดระวัง คือ ความคิดเห็นที่แตกต่างกันนั้น สุดท้ายก็คงจะต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง จะทำอย่างไร มิให้ถูกนำไปขยายผล ยั่วยุ หรือยุให้รำตำให้รั่ว กระทั่งนำไปโจมตีว่า สปช.เป็นเพียงสภาสร้างภาพ เป็นเวทีสมานฉันท์ สร้างภาพการมีส่วนร่วมทางการเมือง
ทางออกที่จำเป็น คือ สปช.จะต้องทำให้เกิดการมีส่วนร่วมของประชาชนมากที่สุด และทุกฝ่ายจะต้องทำให้ข้อเสนอของสปช.นั้นเกิดผลในทางปฏิบัติจริง เกิดผลรูปธรรมแท้จริง โดยกำหนดทิศทางของการปฏิรูปในภาพรวม ให้ทุกด้านปฏิรูปไปในทิศทางเดียวกัน เช่น “ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน”
(3) สปช.จะต้องเผชิญกับดักเรื่องเวลา เพราะต้องทำงานภายใน 1 ปี
แต่งานปฏิรูปในเชิงโครงสร้างเกือบทุกด้าน มีหลายมิติที่จะต้องเปลี่ยนแปลง ทั้งกฎหมาย ข้อกำหนดของทางราชการ รวมไปถึงวัฒนธรรม ค่านิยมของประชาชน ซึ่งอาจต้องใช้เวลามากกว่า 1 ปีอย่างแน่นอน
กว่าจะแก้กฎหมายเสร็จ กว่าจะร่างกฎหมายใหม่ หรือกว่าจะบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และที่สำคัญ คือ กว่าจะสร้างค่านิยมใหม่ เปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม เปลี่ยนรูปแบบการปฏิบัติของคนในสังคม ซึ่งมักจะเคยชินกับการปฏิบัติแบบเดิมๆ ที่เป็นปัญหา จะต้องใช้เวลามากกว่า 1 ปีอย่างแน่นอน สภาปฎิรูปอาจต้องวางแผนว่าการปฏิรูปจะเดินต่ออย่างไรหากมีรัฐธรรมนูญใหม่และการเลือกตั้งเกิดขึ้นใหม่แล้ว
สุดท้าย หากข้อเสนอของ สปช.ไม่สามารถทำให้เกิดผลในทางปฏิบัติได้ภายในเงื่อนเวลาดังกล่าว ตลอดจนไม่สามารถสร้างความเห็นชอบร่วมกันกับฝ่ายต่างๆได้ ผลงานของ สปช.ก็อาจจะเป็นเพียง “ข้อเสนอทางวิชาการ”
4) น่าคิดว่า นอกจาก สปช. จะเผชิญกับ “กับดัก” ของการปฏิรูปในครั้งนี้แล้ว คสช.ก็ต้องเผชิญกับปัญหาดังกล่าวด้วยเช่นกัน
เห็นได้จาก สื่อมวลชนบางส่วนเริ่มตั้งคำถามกับหัวหน้าคสช. ในฐานะผู้นำรัฐบาล ในทำนองว่า “จะเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปอีกไหม?”
อาจหมายความว่า จะมีการยืดเวลาของการทำงานปฏิรูป ยืดเวลาของการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ออกไปอีกไหม? อันจะมีผลให้รัฐบาลชุดนี้และคสช.ต้องอยู่ในอำนาจต่อไปอีกระยะหนึ่งเพื่อปฏิรูปบ้านเมือง หรือไม่?
หรืออาจจะหมายความว่า จะมีการตั้งพรรคการเมืองเพื่อทำงานการเมืองต่อไปหลังจากนี้ หรือไม่?
ในทุกโอกาสของประเทศ ก็มี “กับดัก” ทางการเมือง อยู่เช่นกัน!
......0......
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น