PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

วสิษฐ เดชกุญชร : แดนสนธยา

วันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 20:00:26 น.

กรมตำรวจในอดีตเคยเป็นแดนสนธยาอย่างไร เมื่อเปลี่ยนชื่อมาเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ในปัจจุบัน ก็ยังเป็นแดนสนธยาอยู่อย่างนั้น การปฏิบัติหน้าที่ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมของตำรวจซึ่งคนทั่วไปมองเห็น มักถูกวิพากษ์วิจารณ์และตำหนิอยู่เสมอ แต่การบริหารราชการภายใน สตช.เป็นเรื่องที่คนนอกไม่ค่อยรู้ และรู้แล้วก็ไม่สนใจ แม้ทั้งสองเรื่องจะเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเรื่องการบรรจุแต่งตั้งและโยกย้ายตำรวจ ซึ่งกระทบถึงประสิทธิภาพและความสามารถของตำรวจในการปฏิบัติหน้าที่โดยตรง

เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายนที่ผ่านไปนี้ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ลงนามในคำสั่งให้ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และ พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) โดยขาดจากตำแหน่งเดิมเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมอบหมายจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง โดยให้ไปรายงานตัวที่ ศปก.ตร.ภายในวันที่ 12 พฤศจิกายน เวลา 10.00 น. และให้ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2557 เป็นต้นไป

ถึงแม้ พล.ต.อ.สมยศจะให้เหตุผลว่า การย้าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์และ พล.ต.ต.โกวิทย์จะได้กระทำเพราะจำเป็นที่จะต้องให้นายตำรวจทั้งสองคนไปรับผิดชอบ "งานสำคัญ" ที่ ศปก.ตร. เพราะเห็นความรู้ความสามารถของผู้ที่ถูกย้าย แต่ก็คงไม่มีใครเชื่อ เพราะลักษณะของการย้ายนั้นเป็นแบบฟ้าผ่า คือนอกจากจะไม่มีปี่มีขลุ่ยแล้ว ยังมีคำสั่งให้ผู้ถูกย้ายไปรายงานตัวภายในกำหนดเวลาอันสั้น ซึ่งการย้ายแบบนี้เคยกระทำแต่กับผู้ที่กระทำผิดหรือบกพร่องและต้องให้พ้นหน้าที่เดิมไปโดยเร็วเท่านั้น

และยิ่งเมื่อปรากฏว่าต่อมาอีกเพียง 2 วัน พล.ต.อ.สมยศก็มีคำสั่งย้าย พล.ต.ต.ชัยทัต บุญขำ ผู้บังคับการกองปราบปราม และ พ.ต.อ.อัครวุฒิ์ หลิมรัตน์ รองผู้บังคับการกองปราบปราม ให้ไปปฏิบัติราชการที่ ศปก.ตร.โดยขาดจากตำแหน่งเดิม และให้ไปรายงานตัวภายในวันเดียวกัน ทั้งยังแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งแทนด้วยแล้ว ก็ยิ่งเห็นชัดว่าการย้าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ไม่ใช่เรื่องปกติแน่นอน เพราะกองปราบปรามเป็นหน่วยขึ้นตรงต่อกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง

พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์นั้นเติบโตมาในกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เริ่มตั้งแต่เป็นผู้กำกับการ รองผู้บังคับการ และผู้บังคับการกองปราบปราม และรองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง จนกระทั่งได้เป็นผู้บัญชาการเมื่อเดือนตุลาคม 2553 

นอกจากจะมีฝีมือเป็นที่ยอมรับกันในด้านการสืบสวนและปราบปรามแล้ว พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ยังเป็นนักวิชาการทางอาชญาวิทยาและนิติศาสตร์ที่สามารถนำวิชาการไปประยุกต์กับงานตำรวจ โดยได้ผลมาแล้วในหลายท้องที่ในประเทศ โดยเฉพาะการใช้ตำรวจทำงานกับชุมชนหรือ community policing ที่เคยใช้ได้ผลในสหรัฐอเมริกา นอกจากนั้น พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ยังเป็นอาจารย์พิเศษ บรรยายให้แก่นักศึกษาระดับปริญญาเอกในมหาวิทยาลัยมหิดลและมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตด้วย

ผมรู้จัก พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์หลังจากที่ท่านได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการ ท่านมาหาผมเพื่อขอความรู้และคำแนะนำในการปฏิบัติหน้าที่ ในโอกาสนั้นท่านยังมอบตำราวิชาการบริหารราชการตำรวจที่ท่านเขียนเองให้แก่ผมด้วย

การย้าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์และผู้ที่เคยอยู่ใต้บังคับบัญชาของท่านแบบปัจจุบันทันด่วนโดยไม่ปรากฏสาเหตุที่ชัดเจน เป็นสัญญาณว่ากำลังจะมีการล้างบางในกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางโดยไม่คำนึงถึงหลักเกณฑ์ ซึ่งดูเหมือนจะกลายเป็นปกติวิสัยในสำนักงานตำรวจแห่งชาติไปเสียแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น: