PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ตำรวจแถลงมติคณะกรรมการชุด "ถอดยศทักษิณ" เข้าข่ายความผิด เผยยังมีคดีอาญาเหลืออีก 5 คดี เตรียมเสนอ ผบ.ตร. พิจารณา ยันทำตามกระบวนการทุกขั้นตอนไม่มีเรื่องส่วนตัว 

          วันที่ 29 พฤษภาคม 2558 พล.ต.อ. ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล ที่ปรึกษา สบ. 10 ซึ่งได้รับมอบหมายจาก พล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้เป็นหัวหน้าชุดคณะกรรมการตรวจสอบพิจารณาระเบียบการถอดยศ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งประกอบด้วย ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ/ สำนักงานกำลังพล/สำนักงานฝ่ายกฎหมาย และคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ เป็นผู้ร่วมตรวจสอบ เปิดเผยถึงกรณีมีประชาชนร้องเรียนมายังสำนักงานตรวจการแผ่นดินกรณีการให้สัมภาษณ์ของ พ.ต.ท. ทักษิณ ผ่านสำนักงานต่างประเทศ โดยระบุว่า...

          จากการตรวจสอบของคณะทำงานนั้นพบว่ากรณี พ.ต.ท. ทักษิณ นั้นเข้าข่ายความผิดระเบียบการถอดยศ 2547 ข้อ 1 (6) ซึ่งเป็นผู้ต้องหาคดีอาญาแล้วหลบหนีไป สำหรับผู้ที่มิได้อยู่ในราชการหรือหน่วยงานภาครัฐ และถือว่าเป็นกรณีใหม่ ซึ่งสืบเนื่องมาจากกรณีการทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดา เมื่อปี 2551 ซึ่งหลังจากนี้ทางคณะกรรมการจะส่งเรื่องให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติพิจารณา ก่อนส่งสำนวนให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง และหากมีความเห็นชอบให้ถอดยศ พ.ต.ท. ทักษิณ ก็จะมีการประกาศพระราชกฤษฎีกาอีกครั้งหนึ่ง

          ทั้งนี้ พ.ต.ท. ทักษิณ นั้น มีความผิดตามหมายจับคดีอาญาทั้งสิ้น 7 คดี ปัจจุบันสิ้นสุดคดีความแล้ว 2 คดี เหลือคดีอาญาทั้งสิ้นอีก 5 คดี ประกอบด้วย

          1. คดีทุจริตปล่อยกู้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) ให้กับรัฐบาลพม่าวงเงิน 4,000 ล้านบาท  เป็นการออกหมายจับ พ.ต.ท. ทักษิณ เมื่อ 16 ก.ย. 2551 เนื่องจาก

พ.ต.ท. ทักษิณ หลบหนีคดี เพื่อติดตามตัว พ.ต.ท. ทักษิณ มาฟังการพิจารณาของศาลนัดแรก

          2. คดีทุจริตโครงการออกสลากพิเศษเลขท้าย 2 และ 3 ตัว (หวยบนดิน ) เป็นการออกหมายจับเมื่อวันที่  26 ก.ย. 51 เพื่อติดตามตัว พ.ต.ท. ทักษิณ มาพิจารณาคดีนัดแรก

          3. คดีทุจริตแปลงสัมปทานมือถือ - ดาวเทียม เป็นภาษีสรรพสามิต เป็นการออกหมายจับเมื่อวันที่  15 ต.ค. 51 เพื่อติดตามตัวมาพิจารณาคดีนัดแรก

          4. คดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษกมูลค่า 772 ล้านบาทเศษ ตามคำพิพากษาที่ให้จำคุก พ.ต.ท. ทักษิณ เป็นเวลา 2 ปี โดยออกหมายจับเมื่อวันที่ 21 ต.ค.  2551

          5. คดีก่อการร้าย ออกหมายจับ เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2553  ซึ่งคดีนี้ศาลกำลังจะสืบพยานโจทก์

          ประกอบกับกรณีที่ก่อนหน้านี้ทางกระทรวงการต่างประเทศได้ยกเลิกหนังสือเดินทางของ พ.ต.ท. ทักษิณ เนื่องจากคำให้สัมภาษณ์ที่ประเทศเกาหลีใต้มีเนื้อหาบางส่วนที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงปลอดภัยหรือชื่อเสียงและเกียรติภูมิของประเทศไทย และประกอบกับกรณีดังกล่าวอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนเพื่อดำเนินคดีอาญากับ พ.ต.ท. ทักษิณ ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, 326 และ 328 และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (3) (5)

          พล.ต.อ. ชัยยะ  กล่าวยืนยันว่า การตรวจสอบเรื่องนี้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำทุกอย่างตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบการถอดยศข้าราชการตำรวจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
โดยไม่มีการกลั่นแกล้งแต่อย่างใด

-------------------
"เกียรติ" ย้ำ ควรถอนพาสปอร์ตทักษิณนานแล้ว แนะ "บัวแก้ว" แจง ความผิด ให้โลกรู้ ว่าเป็นเพราะเป็นผู้ร้ายหนีคดี ที่ศาลพิพากษาแล้ว ไม่ใช่คดีการเมือง อย่าให้เขาต้องเดาเอาเอง  

วันที่ 27 พ.ค. 58 นายเกียรติ สิทธีอมร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี กระทรวงการต่างประเทศ เพิกถอนหนังสือเดินทาง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่า รัฐบาลชุดนี้ควรที่จะดำเนินการตั้งนานแล้ว และคงไม่เกี่ยวกับ เนื้อหาบางส่วนในคำให้สัมภาษณ์ตามที่เป็นข่าว แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้หนีคดีเข้าข่ายองค์ประกอบที่ไม่สมควรถือพาสปอร์ตของไทยอีกต่อไป รวมทั้งเรื่องที่สมควรมีการถอดยศด้วย เพราะ เป็นผลมาจากพฤติกรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณเองในฐานะผู้มีคดีติดตัว ดังนั้น ทั้งสองเรื่องนี้ ถือเป็นเรื่องเดียวกัน ที่สมควรต้องดำเนินการ

นายเกียรติ กล่าวต่อว่า กระทรวงการต่างประเทศ ควรชี้แจงให้ทุกประเทศทราบ ถึงการกระทำความผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ผิดอะไร และการดำเนินการในครั้งนี้ เป็นเพราะอะไร เนื่องจากยังมีการเคลื่อนไหวทางการเมือง ในลักษณะที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ และคดีนี้ไม่ใช่คดีการเมือง แต่เป็นคดีทุจริตคอร์รัปชัน ตนจึงเป็นกังวลว่า เหตุผลที่กระทรวงการต่างประเทศ ระบุ ผ่านเว็บไซต์ว่าถ้อยคำให้สัมภาษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ มีเนื้อหาบางส่วน ที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงนั้น คงไม่ใช่ แต่เพราะเป็นผู้ร้ายหนีคดี ซึ่งศาลพิพากษาตัดสินแล้ว การยกเลิกพาสปอร์ต ทั้งที่หน่วยงานของไทย ต้องดำเนินการผ่านตำรวจสากล ให้นำตัวกลับมารับโทษ และดำเนินคดีในประเทศไทย ต้องบอกความจริงกับเขา อย่าให้ต่างประเทศเดากันเอง หรือดูในเว็บไซต์เอง หรือปล่อยให้ พ.ต.ท.ทักษิณ นำประเด็นนี้ไปเคลื่อนไหวอีกในต่างประเทศ
-----------------
โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ระบุรับสำนวนคดีกล่าวหา 'อดีตนายกฯ ทักษิณ' ผิด ม.112 เตรียมเสนออัยการสูงสุดพิจารณา เพื่อตั้งทีมสอบ

นายวันชัย รุจนวงศ์ อธิบดีอัยการสำนักงานต่างประเทศ และโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงกรณีพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ส่งสำนวนดำเนินคดี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตามความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่า เบื้องต้นสำนักงานอัยการสูงสุด ได้รับสำนวนคดีดังกล่าวจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นความผิดที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร ตามขั้นตอนแล้วจึงต้องเสนอเรื่องให้ นายตระกูล วินิจนัยภาค อัยการสูงสุด เป็นผู้พิจารณา แต่เนื่องจากเพิ่งจะ

ได้รับสำนวนมาจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงยังไม่ได้เสนออัยการสูงสุด ซึ่งหากเสนอสำนวนแล้วอัยการสูงสุดจะเป็นผู้สั่งตั้งพนักงานสอบสวนที่เป็นผู้รับผิดชอบสำนวนคดีนี้เพื่อพิจารณาต่อไป

ปธ.สอบกรณีถอดยศ'ทักษิณ'เข้าเงื่อนไข

พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล ที่ปรึกษา (สบ 10) ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยในคดีทุจริตจัดซื้อที่ดิน ถ.รัชดาภิเษก ซึ่งถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุก 2 ปี ซึ่งอยู่ระหว่างหลบหนีคดี กล่าวว่า ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับการถอดยศตำรวจ โดยมีตนเองเป็นประธาน โดยให้มีอำนาจหน้าที่พิจารณาเรื่องดังกล่าวให้เป็นไปตามระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการถอดยศตำรวจ

พ.ศ.2547 เรื่องการถอดยศนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร พร้อมระบุเหตุแห่งการถอดยศมีด้วยกัน 7 ข้อ แต่ในกรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ คณะกรรมการจะพิจารณาในประเด็นที่เป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาแล้วหลบหนีไปต่างประเทศ เนื่องจากมีเอกสารยืนยันเป็นที่ประจักษ์จากหน่วยงานราชการหลายหน่วยงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้ต้องหาหลบหนีคดีอาญา จึงเข้าข่ายเหตุอย่างหนึ่งอย่างใดในการถอดยศ ตามระเบียบ ตร.ว่าด้วยการถอดยศ จึงเตรียมนำเสนอ ผบ.ตร. พิจารณาได้ภายใน 1-2 วันนี้ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างทบทวนในรายละเอียด รวมทั้งการรวบรวมเอกสารต่างๆ ที่จะนำมาประกอบในการพิจารณาให้ครบถ้วนสมบูรณ์กว่านี้

ทั้งนี้ พล.ต.อ.ชัยยะ กล่าวว่า ในการพิจาณาทางคณะกรรมการ ได้นำหนังสือตอบกลับเหตุควรให้ถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ของคณะกรรมการกฤษฎีกามาพิจารณาด้วย เพราะการพิจารณาครั้งนี้ค่อนข้างละเอียด ต้องดูทุกมิติ เนื่องจากถูกท้วงติงมาจากสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ว่า การพิจารณาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ผ่านมา ยังมีบางประเด็นที่ตกหล่น ไม่ครบถ้วน
////////////
หมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร    อดีตนายกรัฐมนตรี ในรอบ4ปี! 
                 การออกหมายจับ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร  อดีตนายกรัฐมนตรี ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
                 ในคดีที่อัยการยื่นฟ้อง พ.ต.ท. ทักษิณ เป็นจำเลยที่1 กับพวกรวม 27 คน กรณีธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้บริษัท กฤษฎามหานคร ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามมาตรา 157  และความผิดตาม  พรบ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 ความผิดตาม พรบ.หลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 เนื่องจากไม่มารายงานตัวต่อศาลในนัดสอบคำให้การนัดแรก ในวันนี้ ( 11 ต.ค. )  นับเป็นคดีที่ 6 แล้ว
         
                  โดยก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.ทักษิณ  ถูกออกหมายจับมาแล้วถึง 5 คดี

                  คดีแรก คดีทุจริตปล่อยกู้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงค์) ให้กับรัฐบาลพม่าวงเงิน 4,000 ล้านบาท  เป็นการออกหมายจับ พ.ต.ท. ทักษิณ เมื่อ 16 ก.ย. 2551เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ หลบหนีคดี เพื่อติดตามตัว พ.ต.ท.ทักษิณ มาฟังการพิจารณาของศาลนัดแรก
                 คดีที่สอง คดีทุจริตโครงการออกสลากพิเศษเลขท้าย 2 และ 3 ตัว (หวยบนดิน ) เป็นการออกหมายจับเมื่อวันที่  26 ก.ย. 51 เพื่อติดตามตัว พ.ต.ท.ทักษิณ มาพิจารณาคดีนัดแรก
                คดีที่สาม  คดีทุจริตแปลงสัมปทานมือถือ - ดาวเทียม เป็นภาษีสรรพสามิต เป็นการออกหมายจับเมื่อวันที่  15 ต.ค. 51 เพื่อติดตามตัวมาพิจารณาคดีนัดแรก
                คดีที่สี่   คดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษกมูลค่า 772 ล้านบาทเศษ ตามคำพิพากษาที่ให้จำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเวลา 2 ปี โดยออกหมายจับเมื่อวันที่ 21 ต.ค. พ.ศ. 2551
               คดีที่ห้า  คดีก่อการร้าย  ออกหมายจับ เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2553  ซึ่งคดีนี้ศาลกำลังจะสืบพยานโจทก์
               ทั้งนี้ การออกหมายจับ 4 คดีแรก เป็นการออกหมายจับของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่วนคดีที่ 5 เป็นการออกหมายจับของศาลอาญา
//////////////////////////
คดีที่ศาลตัดสินแล้ว 5 คดี

1.คดีทุจริตจัดซื้อที่ดินรัชดาภิเษก มีจำเลยคือ พ.ต.ท.ทักษิณ และ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร โดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้พิพากษาให้จำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเวลา 2 ปี ฐานกระทำผิดกฎหมายของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มาตรา 100 โดยออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณไว้ และได้ให้ยกฟ้องคุณหญิงพจมาน

2.คดีเลี่ยงภาษีการซื้อขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือชินคอร์ป มูลค่า 738 ล้านบาท มีจำเลยคือ คุณหญิงพจมาน นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ และนางกาญจนาภา หงส์เหิน เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน ศาลอาญาได้พิพากษาให้จำคุกคุณหญิงพจมาน และนายบรรณพจน์ คนละ 3 ปี ส่วนนางกาญจนาภา จำคุก 2 ปี แต่ภายหลังศาลอุทธรณ์ได้กลับคำตัดสินของศาลอาญา สั่งยกฟ้อง คุณหญิงพจมานและนางกาญจนาภา ส่วนนายบรรณพจน์ให้รอลงอาญาเป็นเวลา 1 ปี ก่อนที่อัยการสูงสุดจะตัดสินใจ "ไม่ฎีกา"

3.คดีทุจริตจัดซื้อต้นกล้ายางพารา 90 ล้านต้น มีจำเลยคือ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี นายเนวิน ชิดชอบ อดีต รมว.เกษตรและสหกรณ์ กับพวก รวม 44 คน ต่อมาศาลฎีกาได้อ่านคำพิพากษา ให้ยกฟ้องจำเลยทั้ง 44 คน เนื่องจากพบว่าไม่ได้กระทำความผิด

4.คดีทุจริตโครงการออกสลากเลขท้ายพิเศษ 2 ตัว 3 ตัว หรือหวยบนดิน คตส.ยื่นฟ้อง ครม.ทักษิณ ชินวัตร ทั้งคณะ และผู้บริหารสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ร่วมกันเป็นจำเลย ซึ่งศาลฎีกาตัดสินให้จำคุกนายวราเทพ รัตนากร อดีต รมช.คลัง 2 ปี นายสมใจนึก เองตระกูล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง และประธานคณะบอร์ดกองสลาก 2 ปี นายชัยวัฒน์ พสกภักดี อดีต ผอ.กองสลาก 2 ปี แต่เนื่องจากจำเลยทั้ง 3 ไม่เคยทำผิดมาก่อน ให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้เดินทางมารับฟังคำพิพากษา จึงมีการออกหมายจับ

5.คดีร่ำรวยผิดปกติ ให้ทรัพย์สิน 76,621 ล้านบาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณตกเป็นของแผ่นดิน ซึ่งศาลฎีกามีคำสั่งให้ยึดเฉพาะเงินค่าขายหุ้นส่วนที่เพิ่มขึ้นหลัง พ.ต.ท.ทักษิณ ดำรงตำแหน่งนายกฯ และ

เงินปันผล จำนวน 46,373 ล้านบาท ให้ตกเป็นของแผ่นดิน

คดีที่ค้างอยู่ในชั้นศาล

1. คดีทุจริตโครงการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตัว หรือคดีหวยบนดิน ซึ่งคดีนี้ คตส. ได้ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คณะรัฐมนตรี "รัฐบาลทักษิณ" และผู้บริหารสำนักงานสลาก

กินแบ่งรัฐบาล รวม 47 คนเป็นจำเลยและคดีนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้สั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความชั่วคราวเนื่องจากหนีคดี และได้ตัดสินให้จำคุกนายวรา

เทพ รัตนากร อดีต รมช.คลัง นายสมใจนึก เองตระกูล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง และนายชัยวัฒน์ พสกภักดี อดีตผ.อ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล คนละ 2 ปี และให้รอการลงโทษจำคุกจำเลย

ทั้งสามไว้คนละ 2 ปี

2. คดีธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์)ปล่อยเงินกู้ให้กับรัฐบาลพม่า
คดีนี้ คตส. เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการดูแลกิจการเข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเอง

หรือผู้อื่น และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 และมาตรา 157
กรณีที่มีการอนุมัติเงินกู้ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยให้แก่รัฐบาลพม่าจำนวน 4,000 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการจัดซื้ออุปกรณ์กิจการโทรคมนาคมจากบริษัทในเครือ

ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัว ซึ่งคดีนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้จำหน่ายคดีชั่วคราวไว้ก่อนเนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ หลบหนีคดี

3.คดีทุจริตออกกฎหมายแก้ไขค่าสัมปทานโทรศัพท์มือถือ - ดาวเทียม เป็นภาษีสรรพสามิต เอื้อประโยชน์ธุรกิจบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ทำให้รัฐเสียหาย 6.6 หมื่นล้านบาท
คดีนี้อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่รับสัมปทาน

หรือเข้าเป็นคู่สัญญาในลักษณะดังกล่าว , เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใดเข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่น เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการ

ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91,152,157 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและ

ปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 4 ,100 ,122 ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้สั่งจำหน่ายคดีไว้ชั่วคราวเนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ หลบหนีคดี

คดีอยู่ระหว่างการพิจารณของคณะทำงานร่วมระหว่างอัยการกับ ปปช.

1. คดีทุจริตซีทีเอ็กซ์ 9000 ซึ่งคดีนี้เกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างปรับเปลี่ยนสายพานลำเลียงกระเป๋าสัมภาระผู้โดยสารและเครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิด (ซีทีเอ็กซ์ 9000)ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
โดยคดีนี้ คตส. ได้ชี้มูลความผิด พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร กับพวก ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157

2. คดีธนาคารกรุงไทย อนุมัติเงินกู้ให้กับบริษัทในเครือกฤษดามหานคร ซึ่งเป็นการอนุมัติสินเชื่อให้กับบริษัทที่เป็นหนี้ ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ โดยคดีนี้ คตส. ได้ชี้มูลความผิด พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร

กับพวก นอกจากนี้ยังมีการดำเนินคดีกับนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายในข้อหารับของโจร ด้วย

3.คดีทุจริตโครงการระบบจ่ายไฟฟ้าและเครือข่ายท่อร้อยสายท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งมีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีต รมว.คมนาคมกับพวกเป็นจำเลย

คณะกก.มติเอกฉันท์ เสนอถอดยศ 'ทักษิณ'ส่งผบ.ตร.พิจารณาแล้ว

พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล ที่ปรึกษา สบ.10 คณะกรรมการพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยืนยันมติเอกฉันท์ เสนอ ถอดยศ อดีตนายกฯ คาด เสนอ ผบ.ตร.พิจารณาวันนี้
วันที่ 29 พ.ค. 58 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล ที่ปรึกษา สบ.10 ชี้แจงว่า การดำเนินการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ไม่มีการกลั่นแกล้ง โดยเป็นการพิจารณาในรูปแบบของคณะกรรมการพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับถอดยศ ตามที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ส่งเรื่องให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณาเพิ่มเติมในประเด็นที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้ต้องหาในคดีทุจริตจัดซื้อที่ดิน ถนนรัชดาภิเษก แล้วหลบหนีไป ตามหมายจับของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทั้งสิ้น 5 หมาย ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามข้อ 1 (6) แห่งระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ.2547 ที่ระบุว่า การเสนอถอดยศตำรวจทั้งแก่ผู้ที่อยู่ในราชการและพ้นจากราชการไปแล้ว ให้กระทำได้ต่อเมื่อ เป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาแล้วหลบหนีไป ซึ่งเมื่อคณะกรรมการนำมาพิจารณา และหารือกับคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว พบว่า เข้าข่ายองค์ประกอบในการถอดยศ จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ ให้ถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ และภายในวันนี้ จะเสนอให้ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พิจารณามีความเห็นต่อไป


พล.ต.อ.ชัยยะ กล่าวด้วยว่า การพิจารณาถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ในครั้งนี้ เป็นประเด็นใหม่ ที่นำมาพิจารณา แม้จะสืบเนื่องมาจากคดีทุจริตจัดซื้อที่ดิน ถนนรัชดาภิเษก แต่ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการชุดก่อน พิจารณาในประเด็นอื่น ที่ระบุไว้ในระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการถอดยศฯ ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เผยแพร่คลิปวิดีโอ ที่กระทบต่อความมั่นคงนั้น ไม่ได้หยิบมาร่วมพิจารณาด้วย

ถอนพาสปอร์ต “ทักษิณ” สัญญาณแตกหักคนคดทรยศแผ่นดิน!

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
29 พฤษภาคม 2558

ผ่าประเด็นร้อน 
       
       เรียกเสียงซี้ดซ้าดกันยกใหญ่สำหรับคำสั่งเพิกถอนพาสปอร์ตทุกเล่มที่ ทักษิณ ชินวัตร มีอยู่ แม้ว่าจะล่าช้าไปนิด แต่ก็ถือว่าได้ทำแล้ว และที่น่าชื่นใจไปกว่านั้น ก็คือ ยังมีการดำเนินคดีอีกหลายข้อหาตามมาอีกด้วย และหนึ่งในนั้น ก็คือ คดีที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตามมาตรา 112 นั่นคือ “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ”
       
       จะว่าไปแล้ว หากย้อนอดีตจะเห็นว่า ทักษิณ ชินวัตร มีพฤติกรรมที่ส่อไปในทางหมิ่นสถาบันเบื้องสูงมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งโดยพฤติกรรมที่ออกมาเป็นคำพูดที่ “จาบจ้วง” อย่างชัดเจนหลายครั้ง มีหลักฐานปรากฏให้เห็น แต่ที่ผ่านมาไม่มีใครกล้าดำเนินการ ไม่มีใครกล้าดำเนินคดี ยิ่งในยุคที่มีรัฐบาล “หุ่นเชิด” ของเขา ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล สมัคร สุนทรเวช รัฐบาล สมชาย วงศ์สวัสดิ์ เรื่อยมาจนถึงรัฐบาลน้องสาวของตัวเอง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยิ่งไม่ต้องพูดถึง “ขบวนการล้มเจ้า” ทั้งในที่ลับและที่แจ้งต่างเหิมเกริมมีการเคลื่อนไหวกันอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย เรียกว่าเป็นยุคที่เปรียบเทียบกันว่า “กระเบื้องเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยถอยจมฯ” จริงๆ
       
       เหตุผลที่กระทรวงการต่างประเทศ ระบุถึงสาเหตุที่ยกเลิกหนังสือเดินทางของ ทักษิณ ชินวัตร มาจากคำพูดระหว่างที่เดินทางไปบรรยาย และให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศ และมีการอัดคลิปเผยแพร่ทางโซเชียลฯ มีเนื้อหาทำลายความมั่นคง และทำลายเกียรติภูมิของชาติ และที่สำคัญ ก็คือ ในคำพูดดังกล่าวมีเจตนา “ทำลายสถาบันเบื้องสูง” จนสร้างความเจ็บปวดให้กับคนไทยมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคราวนี้ ทักษิณ ชินวัตร มีเจตนาทำลายไปพร้อมๆ กับกระบวนการยุติธรรม ทำลายรัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไปพร้อมกัน เพียงเพราะรัฐบาลน้องสาวของเขา คือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถูกรัฐประหาร จากสาเหตุที่ถูกประชาชนขับไล่ เนื่องจากทนไม่ไหวกับการบริหารที่ฉ้อฉล สร้างความเสียหายให้กับบ้านเมืองจนเกินเยียวยา
       
        แน่นอนว่า การเพิกถอนหนังสือเดินทาง ทักษิณ ชินวัตร ในครั้งนี้แบบที่ไม่มีสัญญาณบ่งบอกล่วงหน้า จนเชื่อว่าเจ้าตัวก็คงไม่คาดคิดมาก่อนว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะกล้าจะลงมือแบบนี้ ขณะเดียวกัน หากพิจารณาจากความเคลื่อนไหวที่เป็นอยู่ก็น่าเป็นกังวลเหมือนกันว่าจะต้องมีการตอบโต้จากบรรดาเครือข่ายของเขาตามมา 
       
       สิ่งที่สังเกตเห็นก็คือ ในเวลานี้เริ่มมีการเคลื่อนไหวสร้างกระแสเรื่อง “รัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการ” พยายามปลุกกระแสในประเด็น “นายกฯ คนนอก” ที่พยายามบิดเบือนเชื่อมโยงให้เห็นภาพว่าเป็นเจตนาให้ บรรดาคณะบุคคลในคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สืบทอดอำนาจ โดยเฉพาะเป้าหมายสำคัญคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่นแหละ
       
       ดังที่บรรดาแกนนำคนเสื้อแดง และสมาชิกพรรคเพื่อไทย กำลังมีการเคลื่อนไหวกันอย่างเข้มข้น เช่น วรชัย เหมะ รวมทั้ง ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ระบุก่อนหน้านี้ ว่า รัฐธรรมนูญฉบับที่กำลังยกร่างกันอยู่ไม่มีหลักประกันเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชน และพุ่งเป้าโจมตีมาที่ประเด็นนายกฯคนนอกที่กล่าวหาว่าในข้อเสนอแก้ไขที่ส่งมอบไปให้กับคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญของรัฐบาล มีนับร้อยประเด็นแต่กลับไม่มีการพูดถึงเรื่องประเด็นเรื่องนายกฯคนนอกแต่อย่างใด
       
       อย่างไรก็ดี ความเคลื่อนไหวจากฝ่ายเครือข่ายของ ระบอบทักษิณ ที่กำลังออกมามากขึ้นเรื่อยๆ ก็เป็นเรื่องที่คาดหมายได้อยู่แล้ว เพราะพวกเขาเสียผลประโยชน์ สูญเสียอำนาจ แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับประชาชนส่วนใหญ่จะได้มองเห็นพฤติกรรมที่ฉ้อฉลของคนพวกนี้หรือไม่ ความล้มเหลวความเสียหายจากรัฐบาล ยิ่งลักษณ ชินวัตร โดยเฉพาะความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวที่มีการประเมินเบื้องต้นประมาณไม่ต่ำกว่า 7 แสนล้านบาท จนต้องชดใช้หนี้กันจนชั่วลูกชั่วหลาน
       
       ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งในฝั่งรัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สามารถจับสัญญาณได้ชัดว่านับจากนี้จะมีการดำเนินการทางกฎหมายกับ ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายอย่างจริงจังมากกว่าที่เคยปรากฏ ดังที่เกิดกรณีเพิกถอนหนังสือเดินทางในครั้งนี้ โดยเฉพาะให้จับตาการถอดยศ และริบเครื่องราชฯ ตามมาในอนาคตอันใกล้นี้ เพราะนี่คือภาวะการสุดกลั้นกับพวกคนคดทรยศชาติพวกนี้
       
        มีแต่ต้องขุดรากถอนโคนเท่านั้น ถึงจะทำให้เป้าหมายในการปฏิรูปบ้านเมืองสำเร็จ หรือเข้าใกล้เป้าหมายให้มากที่สุด!! 

มีมติแล้ว!! ถอดยศทักษิณ จากเหตุหนีหมายจับคดีที่ดินรัชดา ส่งผบ.ตร.พิจารณาวันนี้


 เมื่อวันที่ 29 พ.ค. พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล ที่ปรึกษา สัญญาบัตร 10 แถลงกรณีการพิจารณาถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ว่า ยืนยันว่า การดำเนินการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ไม่มีการกลั่นแกล้ง โดยเป็นการพิจารณาในรูปแบบของคณะกรรมการพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับถอดยศ ตามที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ส่งเรื่องให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณาเพิ่มเติมในประเด็นที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้ต้องหาในคดีทุจริตจัดซื้อที่ดิน ถนนรัชดาภิเษก แล้วหลบหนีหมายจับของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทั้งสิ้น 5 หมาย 

 ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามข้อ 1 (6) แห่งระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ.2547 ที่ระบุว่า การเสนอถอดยศตำรวจทั้งแก่ผู้ที่อยู่ในราชการและพ้นจากราชการไปแล้ว ให้กระทำได้ต่อเมื่อ เป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาแล้วหลบหนีไป ซึ่งเมื่อคณะกรรมการนำมาพิจารณา และหารือกับคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว พบว่า เข้าข่ายองค์ประกอบในการถอดยศ จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ ให้ถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ และภายในวันนี้ จะเสนอให้ พลตำรวจเอกสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. พิจารณามีความเห็นต่อไป
พล.ต.อ.ชัยยะ กล่าวด้วยว่า การพิจารณาถอดยศพ.ต.ท.ทักษิณในครั้งนี้ เป็นประเด็นใหม่ ที่นำมาพิจารณา แม้จะสืบเนื่องมาจากคดีทุจริตจัดซื้อที่ดิน ถนนรัชดาภิเษก แต่ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการชุดก่อน พิจารณาในประเด็นอื่น ที่ระบุไว้ในระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการถอดยศฯ ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เผยแพร่คลิปวีดีโอ ที่กระทบต่อความมั่นคง นั้น ไม่ได้หยิบมาร่วมพิจารณาด้วย

มีมติแล้ว!! ถอดยศทักษิณ จากเหตุหนีหมายจับคดีที่ดินรัชดา ส่งผบ.ตร.พิจารณาวันนี้

มีมติแล้ว!! ถอดยศทักษิณ จากเหตุหนีหมายจับคดีที่ดินรัชดา ส่งผบ.ตร.พิจารณาวันนี้
Font Size     

วันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 13:17 น.
จำนวนคนอ่านล่าสุด 8358 คน
 เมื่อวันที่ 29 พ.ค. พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล ที่ปรึกษา สัญญาบัตร 10 แถลงกรณีการพิจารณาถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ว่า ยืนยันว่า การดำเนินการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ไม่มีการกลั่นแกล้ง โดยเป็นการพิจารณาในรูปแบบของคณะกรรมการพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับถอดยศ ตามที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ส่งเรื่องให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณาเพิ่มเติมในประเด็นที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้ต้องหาในคดีทุจริตจัดซื้อที่ดิน ถนนรัชดาภิเษก แล้วหลบหนีหมายจับของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทั้งสิ้น 5 หมาย 

 ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามข้อ 1 (6) แห่งระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ.2547 ที่ระบุว่า การเสนอถอดยศตำรวจทั้งแก่ผู้ที่อยู่ในราชการและพ้นจากราชการไปแล้ว ให้กระทำได้ต่อเมื่อ เป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาแล้วหลบหนีไป ซึ่งเมื่อคณะกรรมการนำมาพิจารณา และหารือกับคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว พบว่า เข้าข่ายองค์ประกอบในการถอดยศ จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ ให้ถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ และภายในวันนี้ จะเสนอให้ พลตำรวจเอกสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. พิจารณามีความเห็นต่อไป
พล.ต.อ.ชัยยะ กล่าวด้วยว่า การพิจารณาถอดยศพ.ต.ท.ทักษิณในครั้งนี้ เป็นประเด็นใหม่ ที่นำมาพิจารณา แม้จะสืบเนื่องมาจากคดีทุจริตจัดซื้อที่ดิน ถนนรัชดาภิเษก แต่ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการชุดก่อน พิจารณาในประเด็นอื่น ที่ระบุไว้ในระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการถอดยศฯ ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เผยแพร่คลิปวีดีโอ ที่กระทบต่อความมั่นคง นั้น ไม่ได้หยิบมาร่วมพิจารณาด้วย

จีนเตือนสหรัฐเลิกยุ่งทะเลจีนใต้หากไม่อยากให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3

จีนเตือนสหรัฐเลิกยุ่งทะเลจีนใต้หากไม่อยากให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3
จีนเตือนสหรัฐเลิกยุ่งทะเลจีนใต้หากไม่อยากให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3
Last updated: 29 May 2015 | 08:50
จีนส่งสัญญานเตือนสหรัฐเลิกยุ่งทะเลจีนใต้ไม่งั้นสงครามโลกครั้งที่ 3 ไม่อาจหลีกเลี่ยง พร้อมเปิดเกมรุกทางทหาร เผยไทยถูกสหรัฐเกี้ยวขอใช้อู่ตะเภาหรือภูเก็ตเป็นฐานบินอ้างช่วยค้นหาโรฮีนจา
เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2558 เว็บไซต์ www.valuewalk.com รายงานว่าจีนได้เตือนสหรัฐให้เลิกยุ่งในกิจการทะเลจีนใต้ ไม่เช่นนั้นสงครามโลกดครั้งที่ 3 เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ยกเว้นเสียแต่ว่าสหรัญจะต้องเลิกแทรกแซงกิจการในภูมิภาคนี้
รายงานข่าวเปิดเผยว่าเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาหนังสือปกขาวของกองทัพปลดแอกประชาชนจีน( the People's Liberation Army =PLA)ได้กล่าวถึงสถานการณ์ในทะเลจีนใต้ปัจจุบันรวมทั้งได้แสดงออกถึงความมั่นใจไม่เพียงแต่จีนจะป้องกันตัวเองได้เท่านั้น แต่ยังสามารถเปิดเกมรุกทางการทหาร (build offensive capabilities)ได้อีกด้วย
เมื่อเร็วๆนี้จีนได้ก่อสร้างเกาะเทียมขึ้นมาในหมู่เกาะสแปรทลี  การก่อสร้างดังกล่าวมีทั้งสนามบิน,ท่าเรือและตึกต่างๆที่สามารถนำเครื่องบินขึ้นลงและเป็นท่าจอดเรือรบได้ด้วย
หมู่เกาะสแปรทลีในทะเลจีนใต้เป็นจุดหนึ่งที่หลายประเทศระบุว่าอยู่ในน่านน้ำของตนประกอบด้วยฟิลิปปินส์,มาเลเซีย,ไต้หวัน,และเวียดนาม  ประเทศเหล่านี้ออกมาประท้วงการที่จีนสร้างเกาะเทียมขึ้นมา 
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเครื่องบินของสหรัฐถูกกองทัพปลดแอกประชาชนจีนเตือนในการบินเข้าไปเหนือหมู่เกาะที่ยังเป็นข้อพิพาทกันอยู่  ขณะที่นายแอชตัน คาร์เตอร์ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐกล่าวว่าเขาไม่ยอมรับเกาะเทียมที่สร้างขึ้นโดยจีนถือเป็นเขตทะเลที่ถูกควบคุมโดยจีน
นายคาร์เตอร์กล่าวว่าวอชิงตันจะต้องเข้ามาปกป้องเสรีภาพในการเดินเรือในทะเลจีนใต้ซึ่งเป็นไปตามข้อตกลงของการประชุมนานาชาติ   
หนังสือพิมพ์ปกขาวของกองทัพจีนเปิดเผยว่า PLA พร้อมที่จะใช้กำลังปกป้องอธิปไตยเหนือดินแดนของจีนไม่ว่าจะเป็นทางเรือหรือทางอากาศ
ภาพถ่ายทางอากาศที่เครื่องบินสอดแนมของสหรัฐสามารถจับความเคลื่อนไหวในเกาะที่จีนสร้างขึ้นมาใหม่ในหมู่เกาะสแปรทลี ในทะเลจีนใต้เป็นทั้งฐานทัพอากาศและอู่จอดเรือรบตลอดจนตึกต่างๆที่ถูกสร้างขึ้นมา
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ในขณะที่หนังสือพิมพ์  Global Times ภาคภาษาอังกฤษอันเป็นกระบอกเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์จีนระบุว่าจีนไม่ต้องการสงคราม แต่หากสหรัฐจะต้องมาแทรกแซงไม่ให้จีนดำเนินการใดๆ ดังนั้นสงครามโลกครั้งที่ 3 ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้  
Global Times ยังแนะนำว่าจีนจะต้องไม่หยุดก่อสร้างเกาะเทียมขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นกรณีใดๆ และหากมีการเข้ามาแทรกแซงโดยประเทศภายนอกอาจจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ซึ่งจีนต้องยอมรับข้อนี้
นายรอเบิร์ต ดูจาร์ริก ผู้อำนวยการสถาบันการศึกษาเอเชียร่วมสมัยแห่งมหาวิทยาลัยเทปเปิ้ล กล่าวว่าจีนตัดสินใจผิดพลาดในสถานการณ์เป็นจริง ซึ่งยอมรับว่าสงครามอาจไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เพราะแต่ละประเทศก้มีเส้นยาแดงของตนเอง
ทั้งนี้หากแต่ละประเทศไม่ยอมถอย  เหตุการณ์เล็กๆนี้ก็อาจนำไปสู่สงครามเต็มรูปแบบได้
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม นายนรชิต สิงหเสนี ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่สหรัฐฯจะขอใช้ฐานทัพบริเวณอู่ตะเภาเพื่อเป็นที่สำรวจผู้อพยพโรฮีนจาว่า สหรัฐฯได้ส่งเรื่องคำขอนี้มาจริง และขอส่งเครื่องบินลาดตระเวนมาร่วมปฏิบัติการกับไทย ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้ประสานให้สหรัฐฯส่งรายละเอียดต่างๆมาให้เพิ่มเติม พร้อมให้ระบุว่าจะมาในวันใด ขณะนี้ยังไม่ได้วันที่แน่นอนและยังไม่ทราบรายละเอียดเชิงลึก
ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันว่า ถ้ามาไทยจริงต้องอยู่ภายใต้การปฎิบัติตามการบังคับบัญชาของไทย พร้อมระบุด้วยว่า ทราบมาว่าสหรัฐฯ จะขอใช้พื้นที่สนามบินภูเก็ตเพิ่มด้วย ซึ่งต้องรอดูรายละเอียดที่แน่นอนอีกครั้ง
ส่วนการปฎิบัติการของไทยในการช่วยเหลือโรฮีนจา กระทรวงการต่างประเทศได้ทำตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี ที่เน้นให้ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเป็นหลัก โดยหากพบเรือโรฮีนจากลางทะเลก็จะต้องเข้าไปให้การช่วยเหลือ และถ้าจำเป็นต้องนำขึ้นฝั่งก็คงต้องอนุญาตให้เข้ามาได้ชั่วคราว

ทั้งนี้ จะมีแพทย์สนามที่เดินทางไปกับเรือรบหลวงหลายลำ เช่น เรือรบหลวงอ่างทอง ที่ออกไปช่วยปฐมพยาบาลอยู่แล้ว รวมทั้งไทยยังได้ส่งเครื่องบินทหารอากาศออกไปลาดตระเวนตรวจเรือโรฮีนจาและได้จัดตั้งศูนย์บัญชาการกลางทะเลเพื่อช่วยเหลือชาวโรฮีนจาแล้วด้วย

ไทยอนุญาตให้สหรัฐฯ บินลาดตระเวนช่วยผู้อพยพในทะเลอันดามัน

ไทยอนุญาตให้สหรัฐฯ บินลาดตระเวนช่วยผู้อพยพในทะเลอันดามัน

เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการจาก 17 ประเทศ ที่เข้าร่วมประชุมว่าด้วยการโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติในมหาสมุทรอินเดีย กำลังร่วมหารือเพื่อหาทางคลี่คลายปัญหาผู้อพยพ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวโรฮิงญาที่มาจากเมียนมาร์และบังกลาเทศ พล.อ. ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศบอกว่าเวทีนี้ไม่ใช่ “ปาหี่” ไม่ใช่เวทีพูดแสดงความคิดเห็น แต่เป็นเวทีให้ประเทศต่าง ๆ แสดงเจตจำนงว่าจะสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อร่วมคลี่คลายปัญหา และการย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกตินี้เป็นเรื่องที่ต้องแบกภาระร่วมกัน การประชุมจะเน้นเรื่องการเร่งช่วยชีวิตผู้ที่อยู่ในทะเล ซึ่งขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่ามีอยู่เท่าไร และแต่ละฝ่ายประเมินตัวเลขต่างกันระหว่าง 3,000-9,000 คน นอกจากนั้นจะร่วมหาแนวทางแก้ไขปัญหาระยะยาวโดยเน้นเรื่องการปราบปรามการค้ามนุษย์ และการเข้าไปแก้ไขปัญหาในประเทศต้นทาง รัฐมนตรีต่างประเทศไทยยังบอกด้วยว่าประเทศไทยไม่ได้ขอร้องที่ประชุมว่าห้ามใช้คำว่า “โรฮิงญา” ทั้งนี้เป็นเรื่องที่แต่ละประเทศใช้วิจารณาญานเอง และรัฐบาลไทยเปิดกว้าง ผู้ร่วมประชุมจะสามารถใช้คำว่าอะไรก็ได้

พล.อ. ธนะศักดิ์ บอกว่าไทยไม่สามารถจัดตั้งที่พักพิงชั่วคราวแบบเดียวกับมาเลเซียและอินโดนีเซียได้ เพราะว่าไทยยังคงแบกภาระรับผู้ลี้ภัยและผู้ไร้ถิ่นฐานอีกราว 130,000 คน ตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1970 อย่างไรก็ตามไทยยืนยันให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและรัฐบาลได้อนุญาตให้สหรัฐฯ ร่วมบินลาดตระเวน สามารถเริ่มปฏิบัติการได้ตั้งแต่วันนี้ โดยจะเป็นการประสานงานกับทางกองทัพไทย ยังไม่ชัดเจนว่าจะใช้ที่ไหนเป็นฐาน แต่ต้องเป็นไปตามกฎหมายไทย อย่างไรก็ตามขณะนี้สหรัฐฯ มีฐานบินอยู่ที่เมืองซุบัง ในมาเลเซียแล้ว

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศยังบอกด้วยว่าได้มีการจัดตั้งศูนย์ประสานงานระหว่างไทยกับองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่น (ไอโอเอ็ม) โดยไอโอเอ็มได้จัดสรรงบช่วยเหลือ 2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 67 ล้านบาท ศูนย์ดังกล่าวนี้จะประสานงานและทำงานร่วมกับสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาติเพื่อดูว่าประเทศไหนจะสามารถรับผู้อพยพได้จำนวนมากน้อยแค่ไหน


ทาไล ลามะ จี้"อองซาน ซูจี"ออกมาช่วยแก้วิกฤตโรฮิงญา ในฐานะ"รับโนเบลสันติภาพ"จากโลก

อย่านิ่งเฉย !
ทาไล ลามะ จี้"อองซาน ซูจี"ออกมาช่วยแก้วิกฤตโรฮิงญา ในฐานะ"รับโนเบลสันติภาพ"จากโลก
"สเตรท ไทมส์"รายงานว่า องค์ทาไล ลามะ ผู้นำด้านจิตวิญญาณแห่งทิเบต ได้เรียกร้องให้นางอองซาน ซูจี ผู้นำฝ่ายค้านเมียนมา ต้องออกมาร่วมแก้ไขวิกฤตสถานการณ์ผู้อพยพชาวโรฮิงญา ในฐานะที่โลกได้มอบรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพให้แก่เธอ

โดยผู้นำทางจิตวิญญาณของทิเบตกล่าวว่า ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเมียนมา นี่เป็นเรื่องน่าเศร้ามาก ข้าพเจ้าหวังว่านางอองซาน ซูจี ในฐานะผู้คว้ารางวัลโนเบลสันติภาพ เธอจะสามารถทำอะไรได้สักอย่าง ซึ่งที่ผ่านมา ข้าพเจ้าเคยพบเธอ 2 ครั้ง และเราเคยพูดกันถึงปัญหานี้ เธอบอกข้าพเจ้าว่า เจออุปสรรคบางอย่าง ซึ่งมันซับซ้อนมาก ๆ เกินกว่าปัญหาระดับธรรมดา ๆ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าก็คิดว่า เธอจะสามารถทำการแก้ปัญหาบางอย่างต่อวิกฤตชาวโรฮิงญาได้
นอกจากนี้ องค์ทาไล ลามะ ซึ่งถือว่าเป็นผู้อพยพชื่อดังที่สุดของโลก กล่าวด้วยว่า สถานการณ์ขณะนี้ถือว่ายังไม่มีการเรียกร้องให้ทุกฝ่าย ช่วยเหลือชาวโรฮิงญาอย่างเพียงพอ และมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับแนวทางแก้ปัญหาชาวโรฮิงญา โดยที่สุดแล้ว เท่ากับว่า เรากำลังขาดความใส่ใจต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของคนอื่น

ทั้งนี้ รายงานระบุว่า มาเลเซียได้กลายเป็นแหล่งอพยพหลักของชาวโรฮิงญา โดยส่วนใหญ่เดินทางมาจากไทย ทางเรือ ก่อนขึ้นเหนือไปยังมาเลเซีย แต่ไทยได้เริ่มการกวาดล้างกระบวนการลักลอบนำชาวโรฮิงญาข้ามพรมแดน หลังพบหลุมศพขนาดใหญ่ที่เชื่อว่าเป็นสถานที่ฝังร่างชาวโรฮิงญาที่ตกเป็นเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์


ค้นบ้าน ‘ไชยา สะสมทรัพย์‘ สอบโยงคดีนครปฐม

ค้นบ้าน ‘ไชยา สะสมทรัพย์‘ สอบโยงคดีนครปฐม
ตำรวจคอมมานโดบุกค้นบ้าน "ไชยา สะสมทรัพย์" อดีตรัฐมนตรีพาณิชย์ ยึดปืนกระสุน เสื้อเกาะ เร่งสอบโยงคดีอาชญากรรมในพื้นที่นครปฐม
พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รองผู้บังคับการปราบปราม รักษาราชการแทนผู้บังคับการปราบปราม นำกำลังตำรวจกองปราบพร้อมหน่วยคอมมานโดกว่า 20 นาย บุกค้นบ้านพัก นายไชยา สะสมทรัพย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และพื้นที่อื่นๆ รวม 13 จุด ใน จ.นครปฐม ตั้งแต่ช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา
จากการตรวจค้นเบื้องต้น เจ้าหน้าที่พบอาวุธปืน และกระสุนปืนจำนวนมาก วิทยุสื่อสาร และเสื้อเกราะของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1 ตัว ได้นำไปตรวจสอบแล้วว่ามีไว้ในครอบครองโดยถูกกฎหมายหรือไม่ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังได้เชิญ นายไชยา มาพูดคุย แต่ยังไม่มีการควบคุมตัวหรือแจ้งข้อกล่าวหาแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม สำหรับการตรวจค้นในครั้งนี้ สืบเนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาเกิดคดีอาชญากรรมในพื้นที่ จ.นครปฐม หลายคดี มีการย้ายนายตำรวจไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ศปก.ตร. และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มอบหมายให้กองบังคับการปราบปราม เข้ามาช่วยเร่งรัดคดีดังกล่าว
ส่วนการค้นบ้าน นายไชยา ครั้งนี้ เนื่องจากตำรวจมีข้อมูลว่ามีบุคคลใกล้ตัวของ นายไชยา มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีที่เกิดขึ้น ประกอบกับ นายไชยา เป็นผู้กว้างขวางในพื้นที่และเคยถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับอาวุธปืนรวมกว่า 20 คดี


ป.ป.ช.ฟันดาบ 2 “สมศักดิ์ ”รวยผิดปกติหาที่มาบ้าน 16 ล้าน 'ไม่ได้'

ป.ป.ช. เชือดซ้ำ “สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล” อดีต รมว.ศึกษาธิการ รวยผิดปกติ ปมสร้างบ้านจ.อ่างทอง 16 ล้าน หาที่มาไม่ได้ ส่งเรื่องให้ อสส.ฟ้องศาลฎีกาฯ ยึดเป็นของแผ่นดิน หลังเคยถูกชี้มูลจงใจซุุกทรัพย์สิน
PIC somsakprit 29 5 58 1
นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงกรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน เพื่อดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง เรื่องกล่าวหานายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รมว.ศึกษาธิการ (รัฐบาลนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี) ว่าร่ำรวยผิดปกติ และให้คณะอนุกรรมการไต่สวนดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องและความมีอยู่จริงของทรัพย์สินและหนี้สินของนายสมศักดิ์ ที่ได้ยื่นแสดงไว้ในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน และหนี้สินในตำแหน่งต่าง ๆ ทุกกรณี 
ต่อมา คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติในการประชุมครั้งที่ 259-6/2554 เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2554 ว่านายสมศักดิ์ จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ ในกรณีไม่แสดงเงินฝากของตนและหรือของคู่สมรสที่ฝากไว้ในบัญชีเงินฝากต่าง ๆ และไม่แสดงบ้านพักอาศัยเลขที่ 5/5 ตำบลไผ่จำศีล อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงได้เสนอเรื่องให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัย ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีคำพิพากษาว่านายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ ตามคดีหมายเลขดำที อม. 4/2554 คดีหมายเลขแดงที่ อม. 3/2555 โดยยังเหลือการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีกล่าวหานายสมศักดิ์ ว่าร่ำรวยผิดปกติที่อยู่ระหว่างการพิจารณา นั้น 
ล่าสุด คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณารายงานผลการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีกล่าวหา นายสมศักดิ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ว่าร่ำรวยผิดปกติแล้วเห็นว่า นายสมศักดิ์ ได้เริ่มปลูกสร้างบ้านเลขที่ 5/5 ตำบลไผ่จำศีล อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541 ในช่วงที่นายสมศักดิ์ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และมีการก่อสร้างต่อเนื่องในขณะที่นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ โดยมาปลูกสร้างแล้วเสร็จ เมื่อปี พ.ศ. 2554 ใช้เงินในการปลูกสร้างประมาณ 16 ล้านบาทเศษ 
นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ได้ชี้แจง แก้ข้อกล่าวหาและคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล นำมาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาแล้วเห็นว่า คำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของนายสมศักดิ์ รับฟังไม่ได้ จึงมีมติด้วยคะแนนเสียงข้างมากว่า นายสมศักดิ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ ได้แก่ บ้านพักอาศัยเลขที่ 5/5 ตำบลไผ่จำศีล อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง มูลค่าประมาณ 16 ล้านบาท ซึ่งตั้งอยู่บนโฉนดที่ดินเลขที่ 14360 ตำบลไผ่จำศีล อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง เนื้อที่ 3 ไร่ 24.1 ตารางวา ให้ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพื่อขอศาลสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดินต่อไป ทั้งนี้ ตามมาตรา 80 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับกรณีนี้ ภายหลัง ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดนายสมศักดิ์ ฐานปกปิดทรัพย์สินแล้ว ต่อมาได้ตรวจสอบพบว่า บ้านเลขที่ 5/5 มูลค่า 16 ล้านบาทดังกล่าว ไม่สามารถหากที่มาของทรัพย์สินได้ จึงมีมติชี้มูลร่ำรวยผิดปกติในที่สุด   ก่อนหน้านี้ ป.ป.ช.เคยชี้มูลนายสมศักดิ์ จงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สินจำนวน 30 ล้านบาทมาก่อนแล้ว และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่ทางการเมืองได้มีคำพิพากษาว่านายสมศักดิ์จงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สิน 
นายวรวิทย์ สุขบุญ รองเลขาธิการ ป.ป.ช. เปิดเผยสำนักข่าวอิศราว่า ภายหลังคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลนายสมศักดิ์ กรณีร่ำรวยผิดปกติไปแล้ว จะส่งเรื่องให้ อสส. ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาฯ เพื่อขอศาลสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน ซึ่งคดีนี้เป็นเรื่องทางแพ่ง จึงไม่มีโทษจำคุก
ทั้งนี้ นายสมศักดิ์ เตรียมที่จะแถลงข่าวถึงกรณีนี้ในวันที่ 1 มิ.ย. 2558 ที่พรรคชาติไทยพัฒนา

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ศาลพิพากษาคุก2ปีสนธิ-จำลองรวม6พันธมิตร บุกทำเนียบ′51 ไม่รอลงอาญา-จ่อประกัน

ศาลพิพากษาคุก2ปีสนธิ-จำลองรวม6พันธมิตร บุกทำเนียบ′51 ไม่รอลงอาญา-จ่อประกัน
Cr:มติชน
ศาลอาญาพิพากษาจำคุก 2 ปี สนธิ ลิ้มทองกุล - จำลอง ศรีเมือง กับพวกแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ รวม 6 คน คดีบุกทำเนียบรัฐบาล เมื่อปี 2551
28 พ.ค.-พลตรีจำลอง ศรีเมือง นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายพิภพ ธงไชย นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นายสมศักดิ์ โกศัยสุขและนายสุริยะใส กตะศิลา 6 แกนนำ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เดินทางมายังศาลอาญา เพื่อฟังคำพิพากษา คดีที่อัยการยื่นฟ้องทั้ง 6 คน เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันบุกรุกโดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปและร่วมกันทำให้ให้เสียทรัพย์ กรณีร่วมกันบุกรุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล เมื่อปี 2551
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าโจทก์มีตำรวจ เจ้าหน้าที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่ประจำทำเนียบรัฐบาล เบิกความยืนยันว่าจำเลยทั้ง 6 เป็นแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตร ชักชวนให้ผู้ชุมนุม กดดันให้นายสมัคร สุนทรเวช รัฐบาลในขณะนั้นลาออกจากตำแหน่ง โดยมีการวางแผน ดาวกระจาย ให้ผู้ชุมนุมบุกรุกไปยังสถานที่ราชการต่างๆ รวมถึงทำเนียบรัฐบาล ซึ่งผู้ชุมนุมได้ปีนรั้ว ตัดโซ่คล้องประตู ผลักดันแผงเหล็ก บุกเข้าไปตั้งเวทีปราศรัย และชุมนุม ด้านหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ก่อนออกจากทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2551
ซึ่งพยานโจทก์เบิกความอีกว่าการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร ส่งผลให้ทรัพย์สินภายในทำเนียบรัฐบาล อาทิ สนามหญ้าระบบสปริงเกอร์ ระบบกล้องวงจรปิด และทรัพย์สินอื่นๆ ได้รับความเสียหาย ซึ่งพยานโจทก์ เป็นเจ้าพนักงาน เชื่อว่าไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน เชื่อว่าเบิกความตามความจริง
และแม้จำเลยทั้ง 6 จะต่อสู้ ว่าไม่มีส่วนรู้เห็นการบุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาลของกลุ่มผู้ชุมนุม และได้เข้าไปห้ามปรามไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมก่อความเสียหายภายในทำเนียบรัฐบาล ศาลเห็นว่า เป็นเพียงคำกล่าวอ้างลอยๆ ไม่มีเหตุรับฟัง ส่วนที่จำเลยต่อสู้ว่าเป็นการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ ศาลเห็นว่า การบุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล เป็นการกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่น ไม่ใช่การชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญ
แม้จำเลยจะมีเจตนาปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ แต่ก็มีความผิดตามฟ้อง พิพากษา จำคุกจำเลยทั้ง 6 คนละ 3 ปี แต่การนำสืบเป็นประโยชน์ ต่อการพิจารณาคดี ลดโทษ 1 ใน 3 เหลือจำคุกจำเลยทั้ง 6 คนละ 2 ปี
ภายหลังนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความเปิดเผยว่า จะใช้หลักทรัพย์ เป็นกรมธรรม์ประกันอิสรภาพ วงเงินคนละ 2 แสนบาท เพื่อขอปล่อยชั่วคราว และเตรียมยื่นอุทธรณ์ต่อสู้คดี
สำหรับคดีกลุ่มพันธมิตรฯ บุกทำเนียบรัฐบาล ปี 2551 พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง, นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายสมศักดิ์ โกศัยสุข และนายสุริยะใส กตะศิลา แกนนำพันธมิตร ในความผิดฐานร่วมกันบุกรุกโดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปและร่วมกันทำให้ให้เสียทรัพย์กรณีร่วมกันบุกรุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล เมื่อปี 2551 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 , 91 , 358 , 362 และ 365 คดีนี้จำเลยให้การปฏิเสธ


นายกฯ ชี้ “แม้ว” สู้คดีก็ไม่เละแบบนี้ ย้อน “ปู” ฝืนทำไปแล้วช่วยไม่ได้ ให้ถาม ปชช.เอาไง

นายกฯ ชี้ “แม้ว” สู้คดีก็ไม่เละแบบนี้ ย้อน “ปู” ฝืนทำไปแล้วช่วยไม่ได้ ให้ถาม ปชช.เอาไง

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
28 พฤษภาคม 2558 17:04 น. (แก้ไขล่าสุด 28 พฤษภาคม 2558 17:38 น.)
นายกฯ ชี้ “แม้ว” สู้คดีก็ไม่เละแบบนี้ ย้อน “ปู” ฝืนทำไปแล้วช่วยไม่ได้ ให้ถาม ปชช.เอาไง
        “บิ๊กตู่” แจงคู่ขัดแย้งไม่ยอมมาเจรจากัน ตอนนี้รวมหัวเล่นรัฐ ย้ำว่าตามกฎหมายไม่รังแกใคร รับโทษถึงล้างผิด ปล่อย “ทักษิณ” ป่วนไป รับประชาชน-กองทัพ แจ้งความผิด ม.112 เผยถอดยศมีหน่วยงานดูแล ขู่ไม่ลดระดับเดียวโดนจนได้ รับทำเองเลยได้แต่ยังไม่ถึงเวลา เมินคุยด้วย ย้ำผิดกฎหมาย ถ้ามาสู้ก็ไม่เละแบบนี้ ชี้ “ปู” ฝืนทำไปแล้วช่วยไม่ได้ ไล่ถาม ปชช.เลิกหนุนนักการเมืองไม่ดีหรือไม่ชี้ รบ.อนาคตทำตามตน ชาติเป็นมหาอำนาจ
      
       วันนี้ (28 พ.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงการแก้ปัญหาความขัดแย้งของคนในชาติ โดยให้แกนนำคู่ขัดแย้งที่เป็นต้นเหตุมาเจรจาว่า เขาไม่มา เรื่องนี้ทำไปแล้ว ทางศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปเรียกมาคุยกันแล้ว
      
       ผู้สื่อข่าวถามว่า ทำไมนายกฯ ไม่ทำเอง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ทำไมต้องเป็นผม ถ้าเขามาบอกว่าให้ผมยกโทษทั้งหมด ผมจะให้เขาได้ไหม ซึ่งเขาจะเอาแบบนั้น ทางหน้าสื่อเขาก็แสดงออกมาอย่างนั้น ยกโทษปรองดอง ซึ่งผมเห็นว่ากฎหมายว่าอย่างไรก็ต้องว่าตามนั้น รับโทษกันหรือยัง ถ้ารับโทษมีเหตุอันควรปราณีหรือไม่ ถ้าจะปรองดองมีพิเศษหรือเปล่า ต้องคุยอย่างนั้น ถ้ามาคุยแล้วบอกให้ยกโทษทั้งหมด แล้วคนที่ตายเจ็บไปเท่าไหร่จะทำอย่างไร ไม่นึกถึงเขาบ้างหรือ เขาลำบากเดือดร้อน หรือเอาเงินฟาดหัวไปแล้วเลิก มันก็ไม่ได้ คนทำความผิดต้องถูกลงโทษก่อน โดยเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม วันนี้ คสช.ไม่ได้รังแกใคร ถ้าใครผิดก็ว่าไปตามผิด คดีก่อนวันที่ 22 พ.ค. 57 อะไรที่ยังไม่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ก็นำเข้าสู่คดีให้หมด จะเป็นพวกไหนก็เอาเข้าหมด แต่มีบางพวกที่ไม่ยอมเข้า เพราะอะไร ถ้าถูกก็ต้องเข้ามา แสดงว่าเขาไม่ถูกใช่หรือไม่ ถึงไม่กล้ามา และกลายเป็นว่ารัฐรังแก แต่กฎหมายก็คือกฎหมาย”
      
       เมื่อถามว่าในทางกฎหมายเป็นไปได้หรือไม่ ในการที่ยอมรับผิดแล้วจำคุก 1 เดือนก่อนจึงจะมีการพูดคุย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เรื่องนี้ตนไม่รู้ แต่การจะได้รับการอภัยโทษต้องได้รับโทษมาแล้ว เพียงพอกับอะไรแล้วจนได้รับความเมตตาก็จะเป็นพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน ทุกวันนี้ทางรัฐบาลได้ทำเรื่องขออภัยโทษทุกปี ดังนั้นต้องถามเขาว่ามารับโทษหรือยัง
      
       เมื่อถามว่าจำเป็นหรือไม่ในเรื่องการรับโทษต้องเป็นไปตามที่กฎหมายระบุไว้ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ก็ไปหารือ ไปคุยกันมา โดยกระบวนการยุติธรรม แต่ข้อสำคัญคือประชาชนทั้งประเทศยอมหรือไม่ อีกพวกยอมไหม ถ้าอีกพวกยอมก็โอเคว่ามา แล้วตอนนี้ก็จะเอาเป็นเอาตายทั้งคู่
      
       เมื่อถามย้ำว่าจะต้องให้คู่ขัดแย้งมานั่งคุยกันอีกหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เขาทำมาตั้งหลายทีแล้ว ตอนนี้เขาก็นั่งคุยกัน แล้วรวมหัวมาเล่นงานรัฐบาลอยู่นี่ไง
      
       เมื่อถามว่ามีสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เสนอให้เขียนเรื่องนิรโทษกรรมไว้ในบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า วันนี้นักโทษทางการเมืองไม่มีแล้วในคุก มีแต่นักโทษดำเนินคดีอาญา พูดกันอยู่ได้นักโทษการเมือง มันใช้อาวุธยิงในการประท้วง นี่หรือการเมือง มีการใช้อาวุธปืน ระเบิด ในการประท้วงแล้วบอกว่าเป็นคดีการเมืองเอามาพันกันหมด มันใช่หรือไม่ คิดให้เป็นบ้าง
      
       ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีกระทรวงการต่างประเทศถอนพาสปอร์ต พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะเป็นการกดดันให้มีการเคลื่อนไหวมากขึ้นหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า แล้วแต่ พ.ต.ท.ทักษิณจะเคลื่อนไหวก็ทำไป กฎหมายก็มีอยู่ เคลื่อนไหวอีกก็มีอีก
      
       เมื่อถามว่าผลจากการให้สัมภาษณ์ ที่ประเทศเกาหลีของ พ.ต.ท.ทักษิณนั้นจะถูกดำเนินคดีอาญา มาตรา 112 เพิ่มอีกหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตนไม่ได้เป็นคนทำ ประชาชนเขาแจ้งความกันมากับทางตำรวจเยอะ ทางกองทัพบกก็แจ้งมา เพราะหมิ่นประมาท สร้างความเกลียดชัง พูดจาให้ร้ายกองทัพ ซึ่งมีกฎหมายดำเนินการ ส่วนกรณีนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ บอกว่าจะคืนพาสปอร์ตให้ พ.ต.ท.ทักษิณ หากได้กลับมาเป็นรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับประชาชน และกระบวนการยุติธรรมจะให้เขากลับมาอีกหรือเปล่า
      
       เมื่อถามถึงความคืบหน้าในการดำเนินการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า จริงๆ เรื่องนี้มีหน่วยงานที่รับผิดชอบอยู่แล้ว ในส่วนของเราทุกคนมองว่าไม่อยากให้รุนแรงเกินไป เดี๋ยวจะเข้าทางและถูกกล่าวหาว่ารังแก ซึ่งอยากให้เขาเข้าใจและลดระดับลงไปบ้าง แต่เขาไม่เปลี่ยนแปลงเลย เดี๋ยวมันก็ถึงขั้นนั้นจนได้ โดยทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเป็นผู้ปฏิบัติ ซึ่งตนก็ไม่ได้ไปห้าม ถ้าผิดมีปัญหาก็ว่ามา ทางเจ้าหน้าที่ก็ต้องกล้าทำ ทุกอย่างจะให้ตนตัดสินใจหมด มันก็จะลงมาที่ตนคนเดียว แต่ถึงอย่างไรมันก็ลงอยู่แล้ว แต่ก็ควรจะช่วยตนบ้าง ถ้ามันผิดจริงก็ทำมา แต่ถามว่าทำไมไม่ทำในสมัยรัฐบาลก่อน รัฐบาลยิ่งลักษณ์ แล้ววันนี้กลับมาไล่ให้ตนทำ รัฐบาลที่ผ่านมาเป็นรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มมาจากการเลือกตั้ง แต่รัฐบาลตนไม่ใช่ ในเรื่องนี้ต้องให้หน่วยงานพิจารณามา เช่นเดียวกับเรื่องการถอนพาสปอร์ต หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ส่งเรื่องมาถอนทั้งสองเล่มทั้งพาสปอร์ตพลเรือน และพาสปอร์ตทางการทูต ก่อนหน้านี้เคยถูกถอนแล้ว แต่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์มาคืนให้ เมื่อทำผิดก็ต้องถอนมันคือกติกาของกระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้
      
       พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า เรื่องการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเรื่องที่ต้องนำขึ้นทูลเกล้าฯ แล้วทำไมต้องนำพระองค์ท่านลงมาอีก ตอนนี้พระองค์ท่านก็ถูกอ้างอิงเยอะ สถาบันฯ เสียหายพออยู่แล้ว เมื่อถามว่ามีแนวทางในการถอดยศ โดยใช้อำนาจจากการทำรัฐประหารหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ได้ ถ้าถึงเวลาแล้วจะทำ ไม่ต้องมาเร่ง ต้องเก็บไว้บ้าง แต่ถ้าทำตนก็ถูกกล่าวหาว่าไม่เป็นธรรม อำนาจ คสช.ที่มีตนทำได้ทุกอย่าง แต่ยังไม่ทำและจะทำเมื่อถึงเวลา ไม่ใช่ไม่ทำ การจะทำอะไรก็ตามต้องมีเหตุผล มันต้องชัดเจนและมีกฎหมาย ถ้าอย่างนั้นจะเรียกว่าเป็นรัฐประหารแบบที่ฆ่ากันทั้งประเทศ แบบที่เกิดขึ้นในบางประเทศ
      
       เมื่อถามว่าตั้งแต่เข้ามาควบคุมอำนาจ พ.ต.ท.ทักษิณได้มีการติดต่อนายกฯ โดยตรงหรือผ่านใครมาหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่เคย แต่ตนจะไปพูดด้วยทำไม พูดไม่ได้ ถ้าติดต่อมาก็ไม่พูด เพราะวันนี้เราเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ติดต่อผ่านใครมาก็ไม่ฟัง ถามว่าจะติดต่อเรื่องอะไร หากจะปรับความเข้าใจอะไรกับตนก็คงไม่มี เพราะตนไม่ได้เข้าใจผิดอะไรกับ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ท่านทำผิดกฎหมาย วันนี้ทุกอย่างอยู่ในกระบวนการยุติธรรม
      
       เมื่อถามว่าได้มีการพูดคุยกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่มี จะพูดเรื่องอะไร มันอยู่ในกระบวนการยุติธรรมหมดแล้ว และตนกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ไม่ได้มีความบาดหมางอะไรกันทั้งสิ้น ตนก็ทำงานกับรัฐบาลมา สิ่งไหนที่สามารถยุติได้ตนก็บอกว่าไม่ควร แต่ในเมื่อฝืนทำไปแล้วตนก็ช่วยไม่ได้ ตรงนี้เป็นเรื่องของกฎหมาย และบอกว่าตนรับผิดชอบร่วมด้วยไม่ได้ เมื่อถามว่าจะมีเรื่องของการปรองดองหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ถ้าปรองดองคือการยกโทษนั้นทำไม่ได้ เพราะจะไม่มีผลอะไรทั้งนั้น
      
       เมื่อถามว่าหลังจากที่นายกฯ ส่งแผนปฏิรูปให้รัฐบาลใหม่ในขณะที่สีเสื้อยังไม่สลาย ปัญหาจะจบหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า จะมาถามตนได้อย่างไร ต้องไปถามใจคนทั้งประเทศ 67 ล้านคน อยากจะปรองดองหรือไม่ และจะเลิกสนับสนุนนักการเมืองที่ไม่ดีหรือไม่ แต่เรื่องสีเสื้อทางศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป ได้มีการสำรวจแล้วพบว่ามีน้อยลงหากไม่มีใครไปปลุกระดม ก็จะไม่มี และยังบอกด้วยว่าสบายหูด้วยซ้ำไม่มีใครมาปลุกระดม แต่ความยากจนถ้าใครไปชักจูงมันก็อาจจะมีบ้าง ซึ่งเราก็ต้องลดความเหลื่อมล้ำ แก้ความยากจน ให้พวกเขา ซึ่งก็ต้องบอกว่าให้รอหน่อย ต้องอดทนเรากำลังทำอยู่ ซึ่งเราจะปล่อยให้บ้านเมืองไม่มีระเบียบต่อไปไม่ได้ ซึ่งการดำเนินการจะต้องไม่ให้ประชาชนเกิดความแตกแยก
      
       “เรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณ ผมไปเคลียร์เรื่องกฎหมายไม่ได้ เขาเป็นใคร ผมเป็นเจ้าหน้าที่ใครทำผิดกฎหมายก็มาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม มาต่อสู้คดีก็จบแล้ว มันจบตั้งนานแล้ว ถ้ามาล่ะก็มันไม่เละขนาดนี้หรอก” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
      
       เมื่อถามว่า มีข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่กล้าเดินทางกลับประเทศไทย เพราะกลัวตาย กลัวถูกรอบทำร้าย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ศัตรูของ พ.ต.ท.ทักษิณ มีหรือเปล่า ตนไม่รู้ เมื่อถามว่าจะดูแลความปลอดภัยให้ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่ถ้าเดินทางกลับมาสู้คดี พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจเขามี
      
       เมื่อถามย้ำว่า พ.ต.ท.ทักษิณ กลับในช่วงรัฐบาลนี้ การันตีได้หรือไม่ว่าจะปลอดภัย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ผมไม่การันตี ผมไม่รู้ท่านไปสร้างรอยแค้นกับใครไว้บ้างหรือเปล่า ผมจะรู้หรือไม่ ไปเป็นศัตรูกับใครแค่ไหน แค่ตัวผมเองยังต้องระวังเลย ผมจะไประวังคนอื่นอะไรได้มากมายนัก กลไกก็ดูแลไปสิ มันอยู่ที่ว่าทำให้คนเกลียดแค่ไหน ใช่ไหม ขณะเดียวกันผมอาจทำให้คนเกลียดก็ได้
      
       เมื่อถามว่ามีการตั้งข้อสังเกตว่าทำไมเครื่องบินส่วนตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณจึงสามารถบินเข้ามาในประเทศไทยได้ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ถ้ามีจริงก็ปลดให้หมดทั้งสนามบิน กฎหมายมีอยู่แล้วจะมาได้อย่างไร แต่ถ้าถูกกฎหมายก็มาได้หมด
      
       เมื่อถามว่าถ้ารัฐบาลหน้ารัฐมนตรีทั้งหมดมีความคิดและความตั้งใจแบบนายกฯในปัจจุบัน ประเทศจะเป็นอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ประเทศไทยก็เป็นประเทศมหาอำนาจ แต่ประเทศจะเดินได้หรือไม่ อยู่ที่ประชาชนเพราะประชาชนทุกคนเป็นใหญ่โดยใช้อำนาจผ่านการเลือกตั้ง การทำประชามติแต่ถ้าจะให้ประชาชนเข้ามาทุกขั้นตอนในมาบริหารจัดการเองทั้งหมด ก็ไม่ต้องมีรัฐบาล สุดท้ายก็ตีกันทั้งปี