หมากกลโรฮิงญา
โดย สิริอัญญา
วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม 2558
โดย สิริอัญญา
วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม 2558
หากตั้งข้อสังเกตอย่างแยบคาย ก็จะพบว่าช่วงนี้กระแสข่าวเรื่องโรฮิงญากำลังปกคลุมบรรยากาศประเทศไทยอย่างแน่นหนา จนราวกับว่าเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของประเทศชาติ ถึงขนาดที่ทุกผู้ทุกคนทุ่มมาสาละวนอยู่กับเรื่องนี้
ประหนึ่งว่าประเทศไทยมีแต่ปัญหาโรฮิงญาเป็นวาระแห่งชาติ
ก็ขอบอกให้รู้กันโดยทั่วไปว่า นี่คือกลอุบายอุบาทว์ที่มุ่งสร้างความขัดแย้งภายในชาติและบ่อนทำลายเศรษฐกิจของประเทศครั้งใหญ่ที่สุด และยังส่งผลต่อการก่อความแตกแยกให้เกิดขึ้นในกลุ่มประเทศอาเซียนอีกด้วย
ขอให้ตั้งข้อสังเกตในเรื่องโรฮิงญากันให้ดี ในประการที่สำคัญดังต่อไปนี้คือ
ประการแรก ชาวโรฮิงญามีสัญชาติดั้งเดิมเป็นอินเดีย ซึ่งต่อมากลายเป็นบังคลาเทศ และอังกฤษได้นำชาวโรฮิงญาเข้ามาช่วยอังกฤษรบกับพม่าตั้งแต่สมัยราชวงศ์กองบอง ครั้นเสร็จศึกแล้วก็ทิ้งหมากกลโรฮิงญาไว้ในพม่า ในแคว้นยะไข่ ซึ่งได้กลายเป็นปัญหาชนชาติ ปัญหาศาสนาให้กับพม่าต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้
ประการที่สอง ชาวโรฮิงญาในพม่าขณะนี้มีจำนวนประมาณ 2 ล้านคน พม่าไม่ยอมรับเป็นพลเมืองของตน ไม่ออกบัตรประชาชนและหนังสือเดินทางใด ๆ ให้ ในขณะที่ชาวโรฮิงญาก็เพิ่มประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ครั้นเมื่อประสบแรงกดดันในพื้นที่โดยทั่วด้านก็ดิ้นรนหลบหนี
ประการที่สาม บรรดามหาอำนาจที่วางหมากกลอันนี้ไว้ก็อาศัยกลไกของสหประชาชาติหรือสำนักงานข้าหลวงผู้ลี้ภัยของสหประชาชาติเข้ามาจัดการ ซึ่งก็รู้ดีกันอยู่แล้วว่าเป็นการจัดการของมหาอำนาจ ดังนั้นขบวนการผู้อพยพชาวโรฮิงญาจึงออกเดินทางจากประเทศพม่าได้อย่างต่อเนื่องเป็นจำนวนมาก ๆ ให้สังเกตดูเรือของผู้อพยพที่เป็นเรือขนาดใหญ่ จุคนได้หลายร้อยคนก็มี ระดับร้อยคนก็มี ที่เป็นเรือเล็ก ๆ ก็พอมีบ้าง เพียงเท่านี้ก็จะเห็นได้ว่ามีขบวนการจัดการคนผู้อพยพออกนอกพม่า
ประการที่สี่ ด้วยสมรรถนะในการสอดแนมของชาติมหาอำนาจต่าง ๆ ก็รู้ดีว่ามีขบวนเรือผู้อพยพออกจากพม่าอย่างต่อเนื่องเป็นจำนวนมาก แต่ก็ทำเงียบเป็นเป่าสากและไม่สนใจที่จะช่วยเหลือแต่ประการใด มิหนำซ้ำหากขัดสนใด ๆ ก็จะเข้าช่วยเหลือเพื่อให้ผู้อพยพเดินทางมายังประเทศไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซียได้ มาถึงขั้นนี้ก็สรุปได้แล้วว่าใครเป็นคนวางหมากกลและใครกำลังเดินหมากกลนี้อยู่
ประการที่ห้า ขณะนี้มีขบวนเรือผู้อพยพโรฮิงญาที่ยังลอยเรืออยู่ในทะเลมีจำนวนนับหมื่นคน ที่กำลังโฉมหน้ามาที่ประเทศไทย ดังนั้นหากรับไว้อย่างเป็นทางการก็จะต้องรับพวกเหล่านี้เข้ามาด้วย หากรวมจำนวนกับผู้ที่เข้ามาแล้วก็อาจจะมีจำนวนถึง 20,000 คน ซึ่งต้องไม่ลืมว่าชาวโรฮิงญานั้นเป็นนักรบที่อังกฤษก็เคยใช้มารบกับพม่ามาแล้ว หากพลาดพลั้งประการใดขึ้นมาประเทศไทยของเราก็จะมีความเสี่ยงภัยอย่างยิ่ง
ประการที่หก เมื่อมีขบวนการอพยพเช่นนี้ก็เป็นช่องทางให้ผู้ทุจริตแสวงหาผลประโยชน์ และทำให้ชาวโรฮิงญากระจัดกระจายกันไปในหลายที่ ทั้งเป็นแรงงานในโรงงานและเป็นแรงงานประมง โดยส่วนใหญ่เป็นเรื่องผิดกฎหมายตั้งแต่สมคบกันลักลอบเข้าเมืองแล้ว ดังนั้นเมื่อไปทำประมงก็จะถูกมหาอำนาจตราหน้าชี้ว่าประเทศไทยใช้แรงงานจากการค้ามนุษย์ เมื่อไปทำงานในโรงงานก็จะถูกมหาอำนาจตราหน้าชี้ว่าประเทศไทยใช้แรงงานจากการค้าทาส แล้วตัดสิทธิ์ทางภาษีอากรเพื่อให้สินค้าไทยสู้ใครไม่ได้ ทำให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวงแก่ระบบเศรษฐกิจของประเทศ
ประการที่เจ็ด เมื่อขบวนอพยพผ่านมาทางไหน ไม่มีประเทศใดรับ พวกนักวางหมากกลก็เงียบเป็นเป่าสาก แต่พอมาใกล้เขตไทยก็โวยวายกดดันบังคับกันทุกสารทิศเพื่อให้ประเทศไทยรับผู้อพยพเหล่านี้ไว้อยู่ในประเทศไทย แล้วชี้หน้ากล่าวหาว่าประเทศไทยไร้มนุษยธรรม ทำลายเกียรติภูมิศักดิ์ศรีของประเทศชาติอย่างร้ายแรง
ประการที่แปด การที่นักวางหมากกลเหล่านี้กระทำย่ำยีประเทศไทยและคนไทยได้ถึงเพียงนี้ก็เพราะความไม่มีจุดยืนที่แน่นอน ใจหนึ่งก็กลัวมหาอำนาจ ใจหนึ่งก็อยากเป็นไทแก่ตัว จึงสับสนอลวนกันอยู่ กระทั่งคนไทยด้วยกันเองก็มีความคิดเห็นต่างกันไปในหลายทิศทาง ยิ่งกลายเป็นอันตรายแก่บ้านเมือง
ดังนั้นชนชาวไทยทั้งผองจึงต้องทำความเข้าใจหมากกลอุบาทว์นี้ ว่าเป็นเรื่องที่มุ่งร้ายต่อประเทศไทย ดังนั้นเพื่อพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งเอกราชอธิปไตยศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของประเทศชาติ คนไทยทั้งประเทศจึงต้องสามัคคีร่วมใจกันทำความเข้าใจเรื่องนี้ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันให้จงได้
ข้อแรก ต้องเข้าใจกลอุบายของพวกมุ่งร้ายต่อประเทศชาติที่ต้องการก่อให้เกิดความแตกแยกแตกสามัคคีภายในชาติ ต้องการทำลายระบบเศรษฐกิจของประเทศ และมุ่งให้เกิดความแตกแยกในอาเซียน
ข้อสอง ประเทศไทยจะต้องเด็ดเดี่ยวกล้าหาญในการยืนหยัดในเอกราชอธิปไตยและศักดิ์ศรีของชาติ อย่างน้อยก็ให้ถือแบบนายกรัฐมนตรีฮุนเซนที่ถึงแม้จะถูกกดดันจากมหาอำนาจอย่างไรก็ไม่ระย่อท้อถอย จนไม่มีชาติใดกล้าข่มเหงกัมพูชาอีกแล้ว
ข้อสาม จะต้องตั้งตนเป็นไทแก่ตัว สร้างดุลยภาพใหม่ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เลิกเป็นลิ่วล้อบริวารชาติใด ๆ และยืนหยัดพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์แห่งชาติอย่างเด็ดเดี่ยว
ข้อสี่ จะต้องสร้างความสมดุลของบุคลากรในกิจการงานทั้งหลาย ไม่ใช่พึ่งพาอาศัยแต่พวกนักเรียนหัวนอก หัวตะวันตก ซึ่งกลัวฝรั่งยิ่งกว่าขอทานเขมรเสียอีก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น