PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ปฎิวัติซ้อนซ้ำ...?

นายกรัฐมนตรี บอก มั่นใจไร้ปฏิวัติซ้อน รู้แล้วคนปล่อยข่าว ย้ำยึดโรดแมป เดินหน้าประเทศ

(16มิ.ย.58)พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. กล่าวถึงกระแสข่าวเรื่องการปฏิวัติซ้อน โดยเชื่อว่า ไม่มีใครคิดทำอย่างแน่นอน และไม่มีการปฏิวัติตัวเอง ซึ่งฝ่ายต่าง ๆ ได้ออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าวแล้ว ดังนั้น ขอให้สังคมเลิกพูดเรื่องข่าวลือ อีกทั้ง มองว่า มีคนปล่อยข่าวให้เกิดความวุ่นวาย โดยกำลังติดตามอยู่ ซึ่งพอทราบตัวคนปล่อยข่าวลือดังกล่าวแล้ว

ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ทางสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. บางส่วน กล่าวว่า จะคว่ำร่างรัฐธรรมนูญว่า ไม่ต้องมีการปรับแก้โรดแมป โดยยืนยันว่า รัฐบาลยังดำเนินการตามโรดแมป ขณะนี้ยังไม่เคยดำเนินการผิดไปจากโรดแมป พร้อมย้ำว่า ไม่มีการสั่งการ สปช. ทั้งนี้ มองว่า สปช. ทุกคนมีความตั้งใจในการทำงาน แต่เนื่องจาก สปช. มาจากหลายฝ่าย และมีความคิดของตนเอง ซึ่งในเรื่องการปฏิรูปจะต้องส่งต่อให้รัฐบาลชุดต่อไป โดยต้องมียุทธศาสตร์ของประเทศในระยะยาว
/////////////////////
วินธัย ยัน ไร้มูลความจริง กระแสปฏิวัติซ้อน ซัดปล่อยข่าว
โดย ไทยรัฐออนไลน์ 13 มิ.ย. 2558 17:50

พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ปัด ไม่เป็นความจริงปฏิวัติซ้อน ซัดคนปล่อยข่าวไม่หวังดี ยัน คำสั่ง คสช. ฉบับที่ 3/2558 เพียงต้องการย้ำให้ปฏิบัติ ไม่เกี่ยวข้องความเคลื่อนไหวทางการเมืองวันที่ 13 มิ.ย. พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึง กระแสข่าวปฏิวัติซ้อน ว่า ไม่เป็นความจริง เป็นเพียงการปล่อยข่าวที่ไม่สร้างสรรค์ และเชื่อว่า อาจเป็นความพยายามของคนบางกลุ่มที่ต้องการสร้างความสับสนในสังคม และเป็นกลุ่มคนไม่หวังดี คิดไม่ดีกับประเทศ ซึ่งปัจจุบันการทำงานของหน่วยงานราชการทั้งหมด และทุกเหล่าทัพมีความสามัคคี และแน่นแฟ้น มีการทำงานที่รองรับการทำงานตามนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และที่ผ่านมา ทุกหน่วยราชการตอบสนองการทำงานของรัฐบาล และ คสช. รวมทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอให้สังคมอย่าให้ความสำคัญกับข่าวที่ไม่เป็นความจริง และระมัดระวังบริโภคข่าวสารด้วยความระมัดระวังและไตร่ตรองให้รอบคอบ

ทั้งนี้ พ.อ.วินธัย ยังชี้แจงถึงคำสั่งของ คสช. ฉบับที่ 3/2558 เรื่อง การควบคุมอำนาจการปกครองประเทศ กำหนดให้ข้าราชการทหาร อาสาสมัคร และเจ้าหน้าที่ของส่วนราชการที่มีอาวุธ เพื่อใช้ในราชการของหน่วย ห้ามเคลื่อนย้ายอาวุธโดยเด็ดขาด เว้นแต่จะได้รับคำสั่งจากหัวหน้า คสช. และหากมีความประสงค์จะเคลื่อนย้ายให้รายงานต่อแม่ทัพ กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยแต่ละกองทัพ ภายใน 15 วัน เป็นอย่างน้อย ว่า เป็นคำสั่งที่ยังคงประกาศใช้และไม่ได้ยกเลิก แต่นำมาประกาศย้ำเตือน และส่งหนังสือเวียนถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อย้ำเตือนให้หน่วยราชการทราบว่า ให้คงปฏิบัติตามกฎระเบียบเดิม และกระตุ้นเตือนการทำงานให้เป็นระเบียบเรียบร้อย เนื่องจากมีปืนของอาสาสมัครหาย จึงต้องนำเรื่องนี้กลับมาพูดอีกครั้ง แต่ไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรที่เกี่ยวข้องกับการเมือง หรือกลุ่มทางการเมือง หรือจะมีเหตุการณ์ต่อต้านอะไรกับรัฐบาลและ คสช.

ส่วนกรณีปืนของอาสาสมัคร จังหวัดนครราชสีมา หายนั้น เป็นเรื่องที่กระทรวงมหาดไทย ต้องดำเนินการสอบสวนหาคนกระทำผิด และสืบสวนหาความจริงต่อไป
////////////////////
24 กรกฎาคม 2014 ?
Wassana Nanuam
ปฏิวัติซ้อน.....

ปฏิวัติซ้อน!!! มีโอกาส เกิดขึ้น อย่างที่ ดร.วิษณุ เครืองาม ใช้เป็นเหตุผล ในการมี ม.44 หรือไม่??
เหตุผล ที่จะเกิดเหตุการณ์ เหมือนในอดีต Retro ที่ เมิ่อมีปฏิวัติแล้ว อาจมีปฏิวัติซ้อน นั้น

ปฏิวัติซัอน มี 2 ลักษณะ คือ เกิดหลังการปฏิวัติทันที ที่จะเกิด counter coup ภายใน 48 หรือ 72 ชม. ที่หากไม่มี ก็ถือว่าปฏิวัติสำเร็จ แต่ก็ต่องระวัง

แต่เพราะ คสช. มองว่า ฝ่ายคนเสื้อแดง เคยมีแผนต้านรัฐประหาร และมีทหารแตงโมบางส่วน พร้อมต้านรัฐประหาร. แต่ทว่า ทหารก็ล็อคตัว และเรียกรายงานตัวหมด

แต่ทว่า เป็นการสะทัอน ความหวาดระแวง และไม่มั่นใจ ใน ผบ.ทบ.คนใหม่ และ ผบ.เหล่าทัพชุดใหม่ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่นเอง

เพราะหากสำรวจขุมกำลังรบใน ทบ.แล้ว ล้วนเป็นสาย บูรพาพยัคฆ์ และ ทหารเสือราชินี เป็นส่วนใหญ่ เพราะถูกวางกำลังต่อเนื่องยาวนาน ตั้งแต่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็น แม่ทัพภาค1 และ ผบทบ. หลังการรัฐประหาร 19 กย.2549. สายอำนาจขอฃ พล.อ.ประยุทธ คุม กำลังมาต่อเนื่อง เปลี่ยน สาย วงศ์เทวัญ มาเป็น บูรพาพยัคฆ์ เกือบหมด และละลาย วงศฺเทวัญ เป็น บูรพาเทวัญ. แต่ความนัอยเนื้อต่ำใจ ยังคงมีกันอยู่

โดยเฉพาะ เมื่อ พล.อ.ประยุทธ เป็น ผบ.ทบ.4 ปี คุมอำนาจเบ็ดเสร็จ. ในแง่นี้ ยากที่จะมีการปฏิวัติซ้อน. แต่หากมีความพยายามจะปฏิวัติซ้อน ก็จะต้องสู้กันนองเลือด แน่

แต่ในแง่ ม.44 ที่ ดร.วิษณุ อ้างเหตุ กลัวปฏิวัติซัอนนั้น สะท้อน พล.อ.ประยุทธ ก็หวาดหวั่นด้วย
ในเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ตัดสินใจ ไม่ต่ออายุราขการ ในคำแหน่ง ผบ.ทบ. ต่อ แต่จะตั้ง ผบ.ทบ.คนใหม่ ที่มี บิ๊กโด่ง พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รอง ผบทบ. เป็น เต็งหนึ่ง และ บิ๊กต๊อก พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ผช.ผบ.ทบ. พร้อมแซงทางโค้ง

มาตรา 44 สะท้อนว่า พล.อ.ประยุทธ ไม่มั่นใจ ใน ทั้ง 2 แคนดิเดท ว่า เมื่อตนเอง "เท้าลอย" ไม่ได้เป็น ผบทบ. เกษียณ เป็นหัวหน้า คสช. หรือ อาจเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ได้คุมกำลังทหาร โดยตรง

รวมทั้ง การตั้ง ผบสส. ผบทร. และ ผบ.ทอ.คนใหม่. ที่ พล.อ.ประยุทธ ไม่อาจวางใจ

โดยเฉพาะ ผบ.ทบ. คนใหม่ ที่อาจถูกจูง ให้ปฏิวัติซ้อน เพื่อล้ม คสช.

พล.อ.อุดมเดช เป็นสายทหารเสือราชินี. ซึ่งเติบโตไล่ๆกันมากับ พล.อ.ประยุทธ. มีขุมกำลังรบเดียวกัน แล้ว บิ๊กตู่ ก็รู้จัก น้องโด่ง คนนี้ดี รวม ไปถึงคนใกล้ชิด และผองเพื่อน ตท.14

ส่วน พล.อ.ไพบูลย์ เป็น วงศ์เทวัญ ที่ พล.อ.ประยุทธ รู้จัก น้องคนนี้ดี เพราะเจาใช้งานลับมาตลอด และมีสายสัมพันธ กับขั้วการเมืองหลายสาย เป็นแกนนำ ตท.15 ที่มีความล้ำลึก

มีหลายเหตุผล ที่ไม่อาจเขียน ออกมาตรงๆใน สถานการณ์เช่นนี้ได้. แต่ ก็เข้าใจได้ว่า พล.อ.ประยุทธ หวาดระแวง

ทั้งๆที่ กำลังทหาร สาย ระบอบทักษิณ นั่น แทบไม่มีโอกาส แม้แต่จะคิด ก่อการรัฐประหารซ้อน. แม้แต่ บิ๊กแป๊ะ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ปลัดกลาโหม ที่ถูกเด้ง นั้น ก็ไม่มีกำลังในมือ. อีกทั้งก็เก็บตัวเงียบ ไม่คิดต่อต้าน แต่ พล.อ.ประยุทธ อาจระแวง ใน แนวคิด มันสมอง

ไม่แค่นั้น พล.อ.ประยุทธ นั้น รู้ดีว่า. ใครเป็นเข่นไร ใครมีโอกาส จะปฏิวัติซ้อน เพราะทำงาน ใช้งาน ทั้ง 2 แคนดิเดท นี้มา

เพราะหาก เป็น ทหารกลุ่มอื่น ที่จะปฏิวัติซัอน นั้น ยาก. ก็มีแต่ ทหารใกล้ตัว และบรรดาน้องๆ ใน ทบ.ของเขา นั่นเอง

นั่นเป็นที่มา ที่ ดร.วิษณุ แจงเรือง ม.44 ให้ คสช.มีอำนาจพิเศษ

"เรื่องการใช้อำนาจพิเศษนั้น เชื่อมโยงกับการมี คสช. ถ้า คสช. ไม่อยู่ อำนาจพิเศษก็ไม่มีความจำเป็น" ดร.วิษณุ กล่าว

"มาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวจะช่วย "ทำหน้าที่บางอย่าง" ที่คณะรัฐมนตรีทำได้ลำบาก นอกจากนี้เพื่อป้องกันหากมีการปฏิวัติซ้อน "ใครจะหาว่าเรา Retro (ย้อนยุค) ก็แล้วแต่ ไม่อย่างนั้นจะหาอำนาจใดมาจัดการกับปัญหารุนแรงมิได้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตคือเกิดการปฏิวัติซ้อน" ดร.วิษณุ ระบุ

ดร.วิษณุ ยอมรับว่าต้นแบบของมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว มาจากมาตรา 17 ของธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2502 โดยต้นแบบมาจากรัฐธรรมนูญฝรั่งเศส "โดยมีที่มาจากรัฐธรรมนูญฝรั่งเศสด้วย แล้วมันกลายมาเป็นมาตรา 17 แล้วมาเป็นมาตรา 44"

อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าการใช้มาตรา 44 จะเป็นไปอย่างจำกัด "คงไม่ใช่เป็นการใช้อำนาจแบบประจำวัน และคงไม่ใช่นึกจะใช้ก็ใช้ เพราะ 2 เดือนที่ผ่านมา คสช. มีอำนาจมากกว่ามาตรา 44 เสียอีก แต่ก็ไม่ใช้"

นอกจากนี้กรณีที่มีเหตุฆ่าข่มขืน มีเสียงเรียกร้องมายัง คสช. แต่ คสช. ก็ยืนยันว่าจะดำเนินคดีอาญาตามปกติ

ดร. วิษณุ ยอมรับว่า การใช้อำนาจตามมาตรา 44 เปรียบได้ว่าเหมือนมี ประกาศิต แต่ก็เหมือนเป็น "ดาบสองคม" "คงต้องไปดูว่าจะใช้มาตรานี้ในทางสร้างสรรค์ หรือทำลาย มันเหมือนดาบสองคม 
และ คสช. ยังอยู่ภายใต้การจับตาจากทุกฝ่าย"

หาก พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี และคสช. อยู่ยาว กว่า 1ปี และหากกระแสประชาชน ที่เคยนิยมในตัวเขาลดลง ก็อาจเป็นเงื่อนไข ให้ ผบ.ทบ. ผบ.เหล่าทัพ ชุดใหม่ ที่ก็ต้องเป็น คสช อยู่ด้วย

ก่อปฏิวัติซ้อน ล้ม คสช.

ในแง่หนึ่ง. อาจเพื่อนำประเทศ สู่ประชาธิปไตย โดยเร็ว

หรือ อีกแง่หนึ่ง หาก พล.อ.ประยุทธ ปฏิรูปสำเร็จ มี รธน.ถาวร และฝห้มีเลือกตั้ง ก็อาจมีกลุ่มนายทหาร บางกลุ่ม ใกล้ตัว ยังไม่ต้องการให้มีเลือกตั้ง เร็ว ต้องการยึดอำนาจ ยาว ตามแผน 5 ปี ที่ พล.อ.ประยุทธ์ เคยไม่เห็นด้วย เพราะยาวนานเกินไป

....พล.อ.ประยุทธ์ รู้ดีที่สุดว่า ปฏิวัติซ้อน เป็น ข้ออ้าง เพื่อคงอำนาจพิเศษ ให้ หน.คสช.หรือว่า มัน มีโอกาส เกิดขึ้นจริง !!
////////////////////////

ปฏิวัติซ้อน-ปฏิวัติซ้ำ แค่คำพูดก็หวาดผวาสะเทือนทั้งบาง !!

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์  
12 ธันวาคม 2557 06:10 น.

ผ่าประเด็นร้อน
     
       ไม่น่าเชื่อว่าแค่คำพูดคำเตือนของ “ทหารแก่” คนหนึ่งอย่าง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่บอกว่าให้ระวังจะเกิดการปฏิวัติซ้อนขึ้นมาในปีหน้า อันมีสาเหตุมาจากหลายสาเหตุที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์
จันทร์โอชา และคณะรักษาความสงบแห่งชาติแก้ปัญหายังไม่ตก โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจที่รุมเร้า ทั้งภายนอกและภายในประดังเข้ามา
     
       กลายเป็นคำพูดของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่คราวนี้กลับทำให้หลายคนต้องเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ และพิจารณาถึงความเป็นไปได้กันอย่างพร้อมเพรียง อย่างที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นมาก่อน อาจเป็นเพราะ
สถานการณ์ที่เป็นอยู่เริ่มไม่เป็นไปตามที่คาดหมายเอาไว้ มันก็เป็นไปได้ที่อาจจะเกิดเหตุตามเสียงเตือนดังกล่าว นั่นคือ “ตอนเข้ามาได้ดอกไม้ แต่ตอนขาไปได้ก้อนอิฐ”
     
       อย่างไรก็ดี คำพูดดังกล่าวของ อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ก็ได้รับการตอบโต้กลับมาอย่างทันควันจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า ไม่มีทางเกิดการ
ปฏิวัติซ้อนขึ้นมาอย่างแน่นอน และย้ำว่าหากตัวเขาไม่ทำก็ไม่ทางที่ใครจะทำได้ และกล่าวในทำนองว่าเป็นคำพูดของคนที่อายุมากคนหนึ่งที่ห่วงบ้านเมืองเท่านั้น ความหมาย ก็คือ “ไม่ให้ราคา”

ขณะเดียวกัน บรรดาคนในกองทัพต่างก็ออกมายืนยันในแบบเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก น้องชายของ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นต้น
     
       มาถึงตอนนี้แม้จะยังไม่อาจสรุปได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจะเกิดการปฏิวัติซ้อน ปฏิวัติซ้ำหรือเปล่า แต่หากพิจารณาจากความตื่นตัวถือว่าน่าจับตาเป็นอย่างยิ่ง อย่างน้อยก็ได้เห็นถึงความผิดปกติภาย
ในตลาดหุ้นที่ไวต่อการรับรู้ข้อมูลที่อ่อนไหวมากที่สุด ปรากฏว่าหลังจากมีคำเตือนดังกล่าวออกมาทำให้เกิดการเทขายออกมาจนดัชนีร่วงลงมาอย่างต่อเนื่อง สองวันตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม เว้นวันหยุดวันที่ 10 ธันวาคม จนมาถึงวันที่ 11 ธันวาคม ที่เปิดทำการก็ยังร่วงลงมาอีกรวมแล้วสองวันเกือบ 50 จุด แม้ว่าจะมีการอ้างว่าเป็นเพราะได้รับผลกระทบจากต่างประเทศ ร่วงตามทิศทางเทขายในภูมิภาคก็ตาม แต่ล่าสุดผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เช่น สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธ์ ประธานคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ เกศรา มัญธุลี กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ก็ตบเท้าเข้ารายงานเหตุการณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สมหมาย ภาษี อย่างเร่งด่วน โดยยืนยันว่าไม่น่าเป็นห่วง
     
       อย่างไรก็ดี หากตัดเอาเรื่องที่ว่าจะเกิดหรือไม่เกิดการปฏิวัติซ้อน ปฏิวัติซ้ำออกไป แล้วมาพิจารณาจากสถานการณ์ตามความเป็นจริง ทั้งเรื่องวิกฤตรัฐธรรมนูญ ที่กำลังเข้าสู่การถกเถียงในประเด็นสำคัญ เช่น การเสนอให้มีการเลือกนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีโดยตรง อาจจะสร้างความขัดแย้งบานปลายขึ้นมาได้หากยังเดินหน้าผลักดันกันต่อไป โดยเฉพาะมีความอ่อนไหวเรื่องการก้าวล่วงพระราชอำนาจ
     
       แต่เรื่องดังกล่าวยังไม่น่ากลัวเท่ากับเรื่องปากท้อง ปัญหาเศรษฐกิจที่หลายฝ่ายเริ่มกังวลว่าในปีหน้าจะยังหนักหน่วงอันเนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกยังไม่คลี่คลาย มิหนำซ้ำยังมีแนวโน้มรุนแรงกว่าเดิมจากปัญหา “สงครามเย็น” ที่หวนกลับมาอีกรอบระหว่าง สหรัฐอเมริกา กับรัสเซีย จากต้นตอวิกฤตในยูเครน และเชื่อมโยงไปถึงวิกฤตด้านพลังงานน้ำมัน ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นย่อมส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยที่ยังต้องพึ่งพาตลาดแบบนี้อยู่มาก การท่องเที่ยวที่ต้องกระทบตามไปด้วย สรุปก็คือปัญหาย่อมกระทบถึงไทยอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะราคาสินค้าเกษตรที่มองดูแนวโน้มแล้วในปีหน้ายังถือว่าสาหัส นั่นก็ถือว่าเป็น “ข่าวร้าย”
     
       ดังนั้น แม้ว่าการปฏิวัติซ้อน ปฏิวัตซ้ำตามรูปการณ์ และโครงสร้างอำนาจในปัจจุบันอาจทำให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวค่อนข้างยากอย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยืนยัน นั่นคือหากเขาไม่ทำเสียอย่างมันก็ไม่มีทางเกิดขึ้น แต่สิ่งที่ต้องจับตาและเตรียมรับมือก็คือปัญหาเศรษฐกิจในปีหน้า พิจารณาจากปัจจัยรอบด้านทั้งภายในและภายนอกแล้วยังน่าเป็นห่วง วางใจไม่ได้เลย !!
////////////////////
ปฏิบัติการ "ขงเบ้งแทงเสือ" ปลุก ปฏิวัติซ้ำ ถอดรหัส รัฐประหารซ้อน
วันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 09:00:00 น.



รายงานพิเศษ

ปฏิบัติการ "ขงเบ้งแทงเสือ" ปลุก ปฏิวัติซ้ำ ถอดรหัส รัฐประหารซ้อน สะกิด "บิ๊กตู่" โยนหิน "บิ๊กโด่ง"

มติชนสุดสัปดาห์ 12-18 ธันวาคม 2557




คงไม่ใช่เพราะเป็นคนแก่ขี้เหงา แต่น่าจะเป็นความเหนือเมฆของอดีตขงเบ้งแห่งกองทัพ บิ๊กจิ๋ว พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่ออกมาเตือนน้องๆ สายเลือด จปร. ที่กุมอำนาจหลังการรัฐประหาร ให้ระวัง

การปฏิวัติซ้ำ

โดยพุ่งเป้าไปที่ บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ควบเก้าอี้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อยู่

ทั้งๆ ที่กองทัพกับ คสช. และรัฐบาล ในยุคนี้แทบจะแยกกันไม่ออก เพราะเป็นบุคคลที่คาบเกี่ยวกันอยู่ นั่นน่าจะเป็นความต้องการของ พล.อ.ประยุทธ์ เองด้วย ที่เอา ผบ.เหล่าทัพ มาเป็นสมาชิก คสช.

โดยเฉพาะการให้ บิ๊กโด่ง พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผบ.ทบ. ควบเก้าอี้ รมช.กลาโหม และเป็นเลขาธิการ คสช. อีกด้วย เพื่อเป็นการดึงความสวามิภักดิ์ของ ผบ.ทบ. และ ผบ.เหล่าทัพ ให้อยู่กับ คสช.

และรัฐบาล

แต่เป้าหมายของ พล.อ.ชวลิต น่าจะอยู่ที่การสะกิดให้เกิดแผลในใจ และให้เกิดความหวาดระแวงกันเองระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ กับกองทัพ ซึ่งล้วนเป็น ผบ.เหล่าทัพ ชุดใหม่ ที่ไม่ใช่คนที่ร่วมก่อการ

รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557

โดยเฉพาะกับ พล.อ.อุดมเดช ผบ.ทบ. ที่มีพลังอำนาจ เป็นเหล่าทัพใหญ่ที่สุด มีกำลังมากที่สุด ในการนำก่อการรัฐประหาร

แต่ พล.อ.อุดมเดช ก็ออกมาสยบข่าว ด้วยการยืนยันว่า กองทัพยังคงสนับสนุนรัฐบาลและ คสช. โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ยังคงตั้งใจในการทำงานแก้ปัญหาให้ประเทศอย่างเต็มที่ต่อไป

สำทับด้วย บิ๊กติ๊ก พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ผช.ผบ.ทบ. น้องชายของ พล.อ.ประยุทธ์ เอง ที่ระบุว่า ไม่เคยได้ยินข่าวเช่นนี้ น่าจะเป็นแค่ข่าวลือมากกว่า

ยิ่งสำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ เองด้วยแล้ว มองว่าเป็นเรื่อง "ไร้สาระ" ที่ไม่มีทางเป็นไปได้ หรืออีกนัยหนึ่งคือ เขาไม่รัฐประหารซ้อน หรือปฏิวัติตัวเองแน่ และอีกมุมหนึ่งคือ เขาก็เชื่อว่า ไม่มีใครมี

ศักยภาพมากพอที่จะก่อการปฏิวัติได้

"ไม่มีหรอก ใครจะมาปฏิวัติ ไหนลองบอกมาสิ" บิ๊กตู่ ระบุ

ก่อนสำทับว่า "การปฏิวัติมันง่ายนักหรือไง ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นะ"



แต่สิ่งที่ พล.อ.ชวลิต อดีต นายกรัฐมนตรี อดีต รมว.กลาโหม และอดีต ผบ.ทบ. มิได้หมายความถึง การปฏิวัติซ้ำ หรือปฏิวัติตัวเอง ที่ทำเพื่อล้างไพ่ใหม่ เพราะอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะหัว

หน้า คสช. นั้นยังล้นฟ้าอยู่

แต่หมายถึงการปฏิวัติซ้อน ที่ทำขึ้นมาเพื่อที่จะล้มล้างคณะ คสช. ล้ม พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี ผู้เป็นหัวหน้า คสช.

โดยมีข้อแม้ว่า หากในปีหน้า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาประเทศในด้านต่างๆ ได้ ประกอบกับความวุ่นวายที่จะเกิดจากการร่างรัฐธรรมนูญ การปฏิรูป โดยเฉพาะประเด็นการเลือกตั้ง

นายกรัฐมนตรีโดยตรง ที่กำลังมีการปลุกกระแสว่า จะนำไปสู่ระบอบประธานาธิบดี อย่างเช่นที่เคยกลัวๆ กันว่าจะเกิดในยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาแล้ว

"อย่ากังวลเลย ท่านคงไปฟังคนนั้นคนนี้มา แล้วมาพูด เหมือนผู้ใหญ่ห่วงเด็ก ผมไม่โกรธท่านเลย เพราะผมเคารพท่าน ท่านอายุมากแล้ว อาจจะเหงาๆ" พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ



ข่าวในกองทัพนั้นแตกต่างจากสิ่งที่ พล.อ.ชวลิต ประเมิน เพราะโอกาสที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะปฏิวัติให้ตัวเองนั้นมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก

แต่ทว่า โอกาสที่ทหารกลุ่มใหญ่ ซึ่งคุมกำลังรบสำคัญ ซึ่งก็คือกองทัพ จะเป็นฝ่ายก่อการรัฐประหารซ้อน เพื่อเปลี่ยนผู้นำในการบริหารประเทศ ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ ในกรณีที่เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์

ยอมจัดให้มีการเลือกตั้งในต้นปี 2559 ทั้งๆ ที่การแก้ปัญหา การปฏิรูปด้านต่างๆ ยังไม่สำเร็จ หรือยังไม่มั่นใจว่า จะสกัดพรรคเพื่อไทย ไม่ให้กลับสู่อำนาจได้อีก จนอาจกลายเป็นการปฏิวัติเสียของอีก

ครา

นั่นย่อมหมายถึง คณะทหารที่เข้ามารัฐประหารใหม่ จะต้องใช้ "ยาแรง" ยิ่งกว่า คสช. ของ พล.อ.ประยุทธ์ ในการแก้ปัญหา

มีนายทหาร 2 คนเท่านั้น ที่มีศักยภาพ ที่จะก่อการรัฐประหารได้ คนหนึ่งคือ พล.อ.อุดมเดช ในฐานะ ผบ.ทบ. ที่คุมกำลังหน่วยรบ ขุมกำลังคนและปืน มากที่สุด

ส่วนอีกคนคือ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ซึ่งเป็นพี่ใหญ่ของบูรพาพยัคฆ์

ต้องยอมรับว่า ผบ.หน่วยที่คุมกำลังใน ทบ. ในเวลานี้ ล้วนเป็นสายตรงของ พล.อ.ประยุทธ์ ทั้งสิ้น แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า สายตรงของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็คือลูกน้องและสายอำนาจเดียวกับ พล.อ.ประวิตร

ด้วยนั่นเอง

โดยเฉพาะขุมกำลังบูรพาพยัคฆ์ พล.ร.2 รอ. นั้น ฟัง บิ๊กป้อม พี่ใหญ่ อย่างเคร่งครัด



แต่ทว่า โอกาสการรัฐประหารซ้อนนั้น เกิดขึ้นได้น้อยมาก เพราะความรักความผูกพันที่ พล.อ.ประวิตร พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.อุดมเดช นั้น มีมายาวนาน ในฐานะนายทหารเสือราชินี ร่วมรั้ว ร.21

รอ.

โดยเฉพาะ พล.อ.ประวิตร กับ พล.อ.ประยุทธ์ นั้น ไม่มีอะไรจะทำให้เขาแตกคอกันได้ เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ ให้เกียรติ และเคารพ พล.อ.ประวิตร เสมอ ยิ่งเมื่อมาเป็นรองนายกฯ และรองหัวหน้า คสช.

บิ๊กตู่ ก็จะให้ความสำคัญเรื่องอาวุโส

ขณะที่ พล.อ.ประวิตร ก็ระวังตัวและคำพูดเสมอ ไม่ให้ พล.อ.ประยุทธ์ เข้าใจผิดว่า เขาอยากจะมีอำนาจหรืออยากจะเป็นนายกรัฐมนตรี

"ไม่มีปัญหาหรอก ทหารเราแน่นปึ๊ก เป็นทหารจะทะเลาะกันเองไม่ได้ เป็นพี่ๆ น้องๆ กันทั้งนั้น ไม่ต้องห่วงกังวล เต็มร้อย" บิ๊กตู่ เผยถึงความสัมพันธ์กับกองทัพ

พล.อ.ประยุทธ์ จึงยิ่งมั่นใจว่า การรัฐประหารซ้อน จะไม่เกิดขึ้น หรือแม้แต่การที่กองทัพจะมากระซิบ หรือกดดันให้นายกรัฐมนตรีลาออก เพื่อตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่

"ไร้สาระ ไม่มีทางเกิดขึ้นหรอก" บิ๊กตู่ สำทับ

ยกเว้นในกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ อยากจะปฏิวัติตัวเอง เพื่อล้างไพ่ใหม่ หรืออาจจะมานั่งเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติอย่างเดียว และเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่มาแทน

แต่ว่าในทัศนะของบิ๊กต๊อก พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รอง ผบ.สส. แล้ว เขาไม่ได้กล่าวแสดงความเชื่อมั่นในกองทัพว่าจะรัฐประหารซ้อนหรือไม่ แต่เขาบอกว่า "เชื่อมั่นในตัวนายกฯ เชื่อว่าท่านจะไม่ทำ"

แต่ก็แปลกตรงที่ พล.อ.ไพบูลย์ รมว.ยุติธรรม เลือกที่จะไม่พูดว่า เขามั่นใจในกองทัพหรือไม่

เพราะลึกๆ แล้วมีการมองว่า เขาก็ยังมีเรื่องคาใจกับ พล.อ.อุดมเดช ตั้งแต่ชิงเก้าอี้ ผบ.ทบ. ด้วยกันมา จนมาถึงการโยกย้ายนายทหารสายคุมกำลัง ใหม่หมด

แต่ก็อย่าลืมว่า ข่าวการปฏิวัติซ้อนนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก แต่เคยพุ่งเป้าไปที่ พล.อ.ไพบูลย์ เอง เมื่อเขารู้ตัวว่า จะพลาดเก้าอี้ ผบ.ทบ. แล้วถูกย้ายไปเป็น รอง ผบ.สส. เพราะนายทหารในสายกำลัง

ของ พล.อ.ไพบูลย์ ก็มีอยู่ไม่น้อย แต่ทว่า อาจไม่เพียงพอในการรัฐประหาร

อีกทั้ง พล.อ.อุดมเดช เมื่อขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ. ก็มีการย้ายนายทหารลูกน้อง พล.อ.ไพบูลย์ ออกจากหน่วยคุมกำลังทั้งหมด ที่ในเวลานั้น สร้างความฮือฮาว่า เป็นการป้องกันการปฏิวัติซ้อน

ด้วยเพราะมองว่า พล.อ.ไพบูลย์ อกหักจากเก้าอี้ ผบ.ทบ. แล้วถูกเตะข้ามฟากไปเป็น รอง ผบ.สส. แต่ทว่า พล.อ.ประยุทธ์ ก็พยายามถอดสลัก ด้วยการตั้ง พล.อ.ไพบูลย์ เป็นสมาชิก คสช. และ รมว.

ยุติธรรม ด้วย

ต่อมากระแสข่าวการปฏิวัติซ้อน ก็เงียบหายไป จนเมื่อ พล.อ.ชวลิต มาปลุกกระแสปฏิวัติซ้ำขึ้นมา

หากพิเคราะห์ที่คำว่าปฏิวัติซ้ำ แล้ว น่าจะหมายถึง การปฏิวัติตัวเอง เพื่อล้างไพ่ใหม่ คนที่มีอำนาจยังเป็นกลุ่มเดิม

แต่ปฏิวัติซ้อน หรือ Counter Coup ที่มีนายทหารหรือฝ่ายคุมกำลังอีกกลุ่มหนึ่ง ก่อการขึ้น เพื่อเปลี่ยนผู้มีอำนาจ ล้มคณะปฏิวัติเดิม

ที่คาดว่า พล.อ.ชวลิต น่าจะหมายถึงอย่างหลังมากกว่า แต่ไประบุว่า เป็นปฏิวัติซ้ำ จนทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ออกมายืนยันในเบื้องแรกว่า "ผมไม่ทำปฏิวัติตัวเองหรอก"

แต่ไม่ว่าจะปฏิวัติตัวเอง หรือปฏิวัติซ้อน ในสถานการณ์เช่นวันนี้ ดูจะยังไม่มีวี่แววใดๆ เลย เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ ยังคงเป็นผู้ที่มีอำนาจมากที่สุด เพราะเป็นทั้งนายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ที่มี

อำนาจพิเศษตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว อีกด้วย

อีกทั้ง ระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ กับ พล.อ.อุดมเดช ผบ.ทบ. นั้น ยังคงแนบแน่น ในฐานะพี่น้องทหารเสือราชินี ที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆ รบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาที่สมรภูมิเขาพนมปะ จนได้รับ

เหรียญรามาฯ ด้วยกัน

แม้ว่าที่ผ่านมา จะมีข่าวลือ เกาเหลาเล็กๆ ออกมาบ้าง เช่น พล.อ.ประยุทธ์ ไม่พอใจการโยกย้ายนายทหารระดับผู้บังคับการกรม หรือ 371 พันเอกพิเศษ จนต้องติติง เพราะกลัวว่าลูกน้องจะเสียขวัญ

แถมด้วยข่าวที่ว่า นายทหารที่ พล.อ.ประยุทธ์ แนะนำไปนั้น ไม่ได้รับการพิจารณาเลย

จนทำให้การโยกย้ายนายทหารระดับคุมกำลัง ระดับ ผบ.พัน ในเวลาต่อมา พล.อ.อุดมเดช ก็โยกย้ายแค่พอเบาะๆ เท่านั้น

แต่ในภาพรวมแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ กับกองทัพ โดยเฉพาะกับ พล.อ.อุดมเดช ยังคงแนบแน่น แม้แต่กับ ผบ.เหล่าทัพคนอื่น ก็ไม่มีปัญหา เพราะ บิ๊กตี๋ พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร ผบ.สส. ก็เป็นเพื่อน ตท.12

ของตนเอง

ส่วน ผบ.เหล่าทัพ ทั้ง บิ๊กตั้ม พล.ร.อ.ไกรสร จันทร์สุวานิชย์ ผบ.ทร. นั้นก็เป็นเพื่อนรัก ตท.13 ของ ครม. อย่าง บิ๊กเข้ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย อดีต ผบ.ทร. ที่วันนี้เป็น รมว.ศึกษาธิการ

ส่วน บิ๊กตู่ พล.อ.อ.ตรีทศ สนแจ้ง ผบ.ทอ. ก็เป็นน้องรักของ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง อดีต ผบ.ทอ. ที่วันนี้เป็น รมว.คมนาคม

แต่ที่แน่ๆ ปฏิบัติการของ พล.อ.ชวลิต ก็เป็นการโยนหินมาถามทางกับ พล.อ.อุดมเดช โดยเฉพาะ ที่ก็ได้รับคำตอบไปแล้วว่า ยังคงสนับสนุนรัฐบาล และ พล.อ.ประยุทธ์

แต่งานนี้ พล.อ.ชวลิต ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ยิ่งหวาดระแวงมากขึ้น เพราะไม่รู้ว่าวันหนึ่ง หาก พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ในอำนาจยาวนานกว่า 1 ปีตามโรดแม็ป ก็อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทหารบางกลุ่มจะ

ออกมาเตือนให้ พล.อ.ประยุทธ์ รักษาสัญญา เพราะถ้าอยู่นานเกินไป ประชาชนอาจเอือมระอา

ยิ่งในเวลานี้ จับตากันมากว่า การร่างรัฐธรรมนูญ จะเป็นไปตามพิมพ์เขียวของ คสช. หรือไม่ โดยเฉพาะการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี จนทำให้ตั้งข้อสังเกตกันว่า มีเป้าหมายที่จะให้

พล.อ.ประยุทธ์ ลงรับสมัครเลือกตั้งนายกฯ หรือไม่ หรืออาจนำไปสู่ระบอบประธานาธิบดี หรือไม่

ยิ่งเมื่อมีการตีความคำพูดของ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย ที่ว่า "ลงเรือแป๊ะ ก็ต้องตามใจแป๊ะ" เปรียบเทียบกับการร่างรัฐธรรมนูญด้วยแล้ว ก็มีการวิเคราะห์กันว่า แป๊ะรับ

จ้างพายเรือ เจ้าของเรือนั้นหมายถึง คสช. หมายถึง พล.อ.ประยุทธ์ หรือไม่ เพราะเป็นยุคของการรัฐประหาร

"ใครคือแป๊ะ ไม่รู้ ไม่ใช่ผม ไม่ใช่ คสช. แล้วกัน ไปถามคนพูดว่าหมายถึงใคร เพราะ คสช. ไม่ใช่คนร่างรัฐธรรมนูญ" บิ๊กตู่ กล่าว

จนที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ ต้องออกมายืนยันว่า แม้รัฐธรรมนูญจะกำหนดให้เลือกตั้งนายกรัฐมนตรีโดยตรง "ผมก็ไม่เคยคิดที่จะลงเลือกตั้ง เพราะผมไม่อยากเป็นนักการเมือง"

ในเวลานี้การเป็นนายกรัฐมนตรีมา 3 เดือน ในห้วงเวลาที่ คสช. ก่อการมากว่า 6 เดือน เช่นนี้ ผบ.เหล่าทัพ โดยเฉพาะ พล.อ.อุดมเดช ยังคงทำหน้าที่ในการช่วยนายกฯ ประยุทธ์ ในทุกด้าน ทั้งการให้

สัมภาษณ์ ช่วยชี้แจง และการให้กำลังใจ เพราะถึงอย่างไร รัฐบาล คสช. และกองทัพ ก็เป็นซับเซ็ตกันอยู่ และแยกกันไม่ออก

เอาเป็นว่า เมื่อทั้งนายกฯ และฝ่ายทหาร ออกมาสยบข่าวปฏิวัติซ้ำ รัฐประหารซ้อน กันแล้ว กระแสก็น่าจะสงบลง

หากปฏิบัติการของนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่มาชู 3 นิ้วต่อหน้า พล.อ.ประยุทธ์ นั้นถูกเรียกว่าเป็น ปฏิบัติการ "กระตั้วแทงเสือ" เช่นที่บิ๊กตู่เรียกขานแล้ว

ปฏิบัติการของ พล.อ.ชวลิต ก็อาจเทียบได้ว่า เป็นปฏิบัติการ "ขงเบ้งแทงเสือ" แทงใจทหารเสือฯ อย่าง พล.อ.ประยุทธ์ บิ๊กตู่ และ น้องตู่ เข้าอย่างจัง

แม้จะมั่นใจกับอำนาจในมือ แต่การฉุกคิด และความหวาดระแวง ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว ที่นับจากนี้ จะทำให้ทุกสายตาจับจ้องไปที่ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.อุดมเดช

ถ้ายังคงแนบแน่น จู๋จี๋ดู๋ดี๋กันแบบพี่น้องทหารเสือฯ เช่นที่ผ่านๆ แผนขงเบ้ง ก็จะไร้ผล สลายหายไป แต่ถ้ามีข่าวเกาเหลา หรือรอยร้าว ออกมา นั่นจะได้ถือว่า ขงเบ้ง ยังคงเป็น ขงเบ้ง หาใช่ ทหารแก่ขี้

เหงา ไม่...

ไม่มีความคิดเห็น: