PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2558

นับถอยหลังสู่การปฏิรูปประเทศ

นับถอยหลังสู่การปฏิรูปประเทศ

การปฏิรูปในจีน เริ่มต้นจากการปฏิวัติวัฒนธรรมในจีน เมื่อ ค.ศ.1911 นำโดยเหมา เจอตง เพื่อขับไล่ราชวงศ์ชิง มีการทำสงครามกันยาวนานกว่า 10 ปี มีคนล้มตายกว่า 10 ล้านคน ฝ่ายภักดีต่อฮ่องเต้ และราชวงศ์ถูกกวาดล้าง ประหาร จนสิ้น ประชาชนที่สนับสนุน ถูกองค์กรเรดการ์ด ทำร้าย ต่อต้าน ประจาน ขับไล่ สังหาร ที่มีหลักคิดนำมาใช้ ในฮังการี่ บาวาเรียรัสเซีย จีน รวมทั้งไทย

ส่วนไทยบริบทการปฏิรูป โครงสร้าง องค์ประกอบ หลักคิด การปกครอง พื้นฐานความเป็นอยู่ ทั้ง พฤติกรรม ประเพณี สีผิว ชาติพันธ์ ศาสนาต่างกัน แม้จะมีคนจีนมาอยู่อาศัยในไทย แต่เป็นคนจีนที่หนีภัยสงคราม หนีการถูกกวาดล้างจากกลุ่มเรดการ์ด ส่วนใหญ่เป็นจีนที่จงรักภักดีในราชวงศ์ชิงในสมัยนั้น หนีขึ้นเรือสำเภามาขึ้นบกที่ภูเก็ต ถูกเรียกว่าชาวจีนโพ้นทะเล

การปฏิรูปในจีนเริ่มต้นจากการกวาดล้าง ขนานใหญ่ โดยมีหลักคิดใหญ่คือการโค่นล้มการปกครองระบอบกษัตริย์ของจีน ที่มีอายุยาวนานกว่า 5000 ปี แล้วเปลี่ยนแปลงเป็นคอมมิวนิสต์ จึงต่างกับไทย ต้นเหตุการปฏิวัติในจีนมาจากสภาพเศรษฐกิจ ความแร้นแค้น ยากจน ข้าวของแพง ความตกต่ำถดถอยทางเศรษฐกิจ การสนับสนุนจากยุโรป เป็นสำคัญ

ปฏิรูป หรือ Reform มีความหมายตามหลักพจนานุกรม อันมีความหมายเดียวกับคำว่าปฏิวัติ คือ ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง แก้ไข

หลักคิดปฏิรูปจีนจึงต่างกับไทย และไทยก็ต่างกับจีน การปฏิรูปในไทย จะใช้เวลา ไม่เกิน 15 ปี จีนใช้เวลา 30 ปี ที่ไทยแล้วเสร็จไวกว่าจีน เพราะยังคงมีโครงสร้างการปกครองเดิมอยู่ มิได้เปลี่ยนแปลงเหมือนดั่งจีน การปฏิรูปในไทยเคยมีความพยายามจะเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ปี 2535 สมัยยุคพลเอกสุนทร คงสมพงษ์ โดยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ หรือ รสช.ทำการยึดอำนาจ แต่ไม่สำเร็จ จนเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ขับไล่พลเอกสุจินดา คราประยูร นายกรัฐมนตรี ที่ตั้งพรรคสามัคคีธรรม เลือกตั้งเพื่อให้ตนเองเป็นนายก โดยมีวาทกรรมที่เกี่ยวข้องคือ "เสียสัตย์เพื่อชาติ" กล่าวหาสส.ในสภาว่าเป็นสภาเปรซิเดียม

ต่อมาเกิดรัฐธรรมนูญ ปฏิรูปการเมือง ในปี 2540 ในยุคบรรหาร ถูกเรียกเป็น 2 ชื่อว่ารัฐธรรมนูญฉบับปฏิรูปการเมือง หรือรัฐธรรมนูญฉบับบรรหาร ที่มี นายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกในสมัยนั้น อันเป็นต้นเหตุวุ่นวายในปัจจุบัน ที่ให้เอกชน นายทุน เข้าครอบครองเป็นเจ้าของสื่อ โดยอ้างการถูกปิดกั้นข่าวสารของผู้ชุมนุม ที่เผาสถานที่ราชการ อย่างกรมประชาสัมพันธ์เป็นต้น อันเป็นต้นเหตุในการยึดอำนาจใน 19 กันยายน 2549 เวลา 18.30น.ภพโจโรฤกษ์

โดยมีนักการทหารอาชีพ เข้าควบคุมการปกครองในยุคของพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน แล้วให้พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี มาเป็นนายกรัฐมนตรี จนมาเป็นรัฐบาลสมัคร สมชาย อภิสิทธิ์ ยิ่งลักษณ์ ตามลำดับ ที่เป็นข่าวโด่งดังคือ บ้านบริเวณเขายายเที่ยง ของพลเอกสุรยุทธ์ ถูกรื้อ หลังจากพ้นจากตำแหน่ง และคำสั่ง คำประกาศ อันใดที่คณะรัฐประหารทั้ง 2 คณะออกคำสั่ง ถูกหักล้าง ลบทิ้งด้วยรัฐบาลแต่ละคณะ จนแทบมิเหลือซากเลยในปัจจุบัน

การปฏิรูปประเทศเกิดความพยายามในครั้งที่ 2 สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หลังจากที่ผมได้มีโอกาสนำเอกสาร หลักคิดการปฏิรูปประเทศ และรัฐบาลแห่งชาติ มอบให้คุณอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ และคุณชวน หลีกภัย อันเป็นบทความของท่านไกรสร ตันติพงศ์ ที่พรรคประชาธิปัติย์ ตั้งแต่ต้นปี 2553 ได้พบหารือกับนายศิริโชค โสภา คนสนิทนายกรัฐมนตรี โดยเตือนว่าหากไม่ทำจะเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงต่อต้านจากฝ่ายตรงข้ามตามมา แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็ทำเพียงการตั้งคณะกรรมการปฏิรูป 2 คณะ มีนายอานันท์ ปันยารชุน และ นพ.ประเวศ วะสี เป็นหัวหน้าคนละคณะ ใช้งบประมาณแผ่นดินกว่า 200 ล้านบาท ในการทำงาน แต่ก็ไม่สามารถทำการปฏิรูปประเทศได้

จนเกิดเหตุการณ์ พฤษภาทะเลเพลิงในเดือนพฤษภาคม ที่เริ่มต้นจากเดือนมีนาคมยาวถึงเดือนพฤษภาคม จนมีประชาชน ข้าราชการ ตำรวจ ทหาร ล้มตาย บาดเจ็บจำนวนมาก จนเป็นคดีความในปัจจุบัน

การรัฐประหารใน 22 พฤษภาคม ปี 2557 เวลา 16.30น. ภพฉัตรมงคลนั้น คณะรัฐประหาร ที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ได้แถลงการณ์ออกสื่อต่างๆทั้งในและต่างประเทศว่าจะเข้าทำการปฏิรูปประเทศ โดยอ้างความขัดแย้งของคนในชาติ และได้เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเองควบอีกตำแหน่ง นำคณะนายทหารที่ร่วมรัฐประหาร นายทุน เจ้า เข้าเป็นรัฐบาล โดยมีวาทกรรม " ยึดแล้วต้องเป็นเอง เสียของ " โดยจะยึดอำนาจถึง 1 กันยายน 2558 มีการเชิญทูตประเทศต่างๆ ภาคเอกชน รัฐ เข้าชี้แจง ทูตสหรัฐอเมริกา ขอเข้าพบยืนยันถึง 2 ครั้ง 2 คน เป็นสำคัญ

ผมเขียนบทความหลายฉบับ เริ่มตั้งแต่ 27 พฤษภาคม 2557 หลังการรัฐประหารเพียง 5 วัน ก่อนคณะรักษาความสงบเรียบร้อย จะตัดสินใจเข้าทำเนียบประกาศตั้งรัฐบาลประยุทธ์ และเตือนด้วยวาจาว่า หากรัฐประหารแล้ว นักการทหารเป็นรัฐบาลเป็นนายกฯ ประเทศจะเผชิญกับ สภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ การแบ่งแยกประเทศ ภัยจากสงครามจากภายนอก การก่อการร้าย การบริหารจัดการที่ล้มเหลว ต่างชาติจะเล่นงาน บอยคอต จนเกิดการชุมนุมขับไล่ในที่สุด และจะใหญ่กว่ายุคกปปส.หลายร้อย หลายพันเท่า ทุกสีจะรวมกัน ที่สำคัญการปฏิรูปจะไม่สำเร็จ

โดยยกเหตุผลมาจากหลักคิดการรัฐประหารของไทยตั้งแต่ 24 มิถุนายน 2475 ยามย่ำรุ่ง อันเป็นหลักคิด ทฤษฎี การรัฐประหารฝรั่งเศส เมื่อ 230 ปีก่อน โดยนักปรัชญาชื่อ..... ใช้มาในไทยทั้งหมดราว 15 ครั้งที่ทำสำเร็จ ไม่สำเร็จราว10ครั้ง เฉลี่ยรัฐบาลรัฐประหารจะมีอายุไม่เกิน 1.4 ปี ไม่ล้มด้วยตัวเอง ก็จะถูกขับไล่ ทุกครั้งจะมีสภาพเช่นปัจจุบันทุกครั้ง ทุกคราไป แตกต่างกันเพียงสถานการณ์ แต่มีผลลัพธ์ที่เหมือนกัน คือความล้มเหลวในการปกครองในทุกด้าน จะแก้ได้เพียงสถานการณ์เล็กๆน้อยๆรายวันเท่านั้น จนทั่วโลกต่อต้านการรัฐประหาร โดยเฉพาะสหภาพยุโรป เพราะนักการทหารมีความชำนาญด้านความมั่นคง มากกว่าการบริหาร

ปัจจุบันเข้าสู่ปีที่ 2 แล้ว คงมีการพิสูจน์แล้วว่า เหตุการณ์ต่างๆนั้น จริงหรือเท็จเพียงใด เพราะ เวลากำหนดสถานการณ์เสมอ จึงไม่ต้องแปลกใจ ที่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจึงมิแตกต่างจากในอดีต มากมายนัก แม้จะมีความพยายาม ทำตามแบบอย่างผู้นำที่ดี อย่างพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และ พลเอกสฤษดิ์ ธนรัชต์ ก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถที่จะทำได้ ความเสื่อมถอยในศรัทธา ทั้งที่มีกำลังใจจากมวลมหาประชาชนนับสิบล้านคน ถดถอยลงตามกาลเวลา ตามหลักธรรมชาติของทฤษฎีการรัฐประหารของฝรั่งเศส

ทางออกของนักการทหารในเวลานี้ ที่ดีที่สุดจึงมีทางเดียวคือ "ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง" ให้พลเรือนที่เชี่ยวชาญ ชำนาญการบริหาร การปฏิรูป เข้ามาช่วยเหลือสนับสนุน ยังคงสภาพของคณะรักษาความสงบเรียบร้อย คสช.ต่อไป นำชาติเข้าสู่การปฏิรูปอย่างแท้จริง ก่อนที่สหภาพยุโรปจะทำการบอยคอตประเทศไทยในทุกด้าน ก่อน 3 ตุลาคม 2558 ในการซ้อมรบของนาโต้ 30 ประเทศ เพื่อข่มขู่จีน อันเป็นหลักการคว่ำบาตรเหมือนที่ทำกับรัสเซีย พม่า ในปัจจุบัน ที่จะซ้ำเติมเศรษฐกิจไทย ที่เกิดจากการสะสมการทุจริต และเศรษฐกิจโลกในระลอกแรก อันยากจะแก้ไข

หลักรัฐบาลพลเรือนควบคู่คณะรักษาความสงบเรียบร้อยนั้น เป็นหลักที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในไทย ยุค มีนายธานินทร์ ไกรวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรี แต่กลับถูกรัฐประหารโดย พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ต่อมาพลเอกเกรียงศักดิ์ ก็ต้องลาออกกลางสภาเพราะนายทหารรุ่นยังเติร์ก ที่มีพลเรือนเป็นประธานคณะก่อการ จะปฏิวัติซ้อนตบเท้าดาหน้าให้ลาออกจนพ้นจากตำแหน่ง ต่อมาเกิดการเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัติย์ได้เสียงข้างมาก จึงร่วมกับทุกพรรคเชิญ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ มาเป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีนายไกรสร ตันติพงศ์ สส.7สมัย รัฐมนตรี 4 สมัย เป็นรัฐมนตรีร่วมคณะ เป็นประธานสส.คอยประสานงาน ควบคุมในสภาให้เกิดความเรียบร้อย เพราะเชี่ยวชาญ ชำนาญยุทธศาสตร์การเมือง เป็นที่เคารพของหัวหน้า นักการเมืองจากทุกพรรค ทำให้รัฐบาลพลเอกเปรมบริหารยาวนานถึง 8 ปี ประเทศมั่นคง แก้ไขปัญหาสารพัด โดยเฉพาะภัยจากคอมมิวนิสต์ สภาพเศรษฐกิจดีมาก ได้รับการยอมรับจากนอกและในประเทศ จนได้รับการยกย่องโปรดเกล้าให้เป็นรัฐบุรุษ และประธานองคมนตรี จนถึงปัจจุบัน

ในยุคพลเอกสุจินดา คราประยูร ก็เลียนแบบหลักคิดการให้ทุกพรรคมาขอเป็นนายกบ้าง ตั้งพรรคสามัคคีธรรม หรือพรรคทหารขึ้นเพื่อสนับสนุนตนเอง ทั้งที่ถูกห้ามปรามจากผู้ใหญ่อย่างท่านไกรสร ตันติพงศ์ ว่าจะไม่ได้รับการยอมรับ จนเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ในยุคพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ก็เช่นกันจัดตั้งพรรคมาตุภูมิ สุดท้ายก็ได้รับการเลือกตั้งเพียง 1 เสียง พ่ายแพ้ เสียของถูกตำหนิจนถึงปัจจุบัน

สิ่งเหล่านี้คือประวัติศาสตร์ ทางออกของชาติพอสังเขป การปฏิรูปในไทยนั้น มีหลักคิดที่แตกต่างจากชาติอื่นๆโดยสิ้นเชิง อันเป็นการหักล้างทฤษฎีความล้มเหลวของการปกครอง ตลอด 83 ปีของไทย โดยมีกระบวนการทางความคิด ยุทธการ ยุทธวิธี เชิงการบริหารชั้นสูงควบคู่การทหาร เอาการเมืองควบคู่การทหาร ระยะเวลาปฏิรูปแล้วเสร็จจะไม่เกิน 15 ปี เพราะยังมีระบอบการปกครองเดิม แม้จะต้องปรับปรุง เปลี่ยนแปลง แก้ไข ตามหลักการปฏิรูปก็ตาม

การที่นักโกงเมือง นักเผาเมือง ดิ้นเป็นไส้เดือนถูกเสียบ เพราะพวกเขาได้ทะยอยเข้าคุกไปแล้วหลายคน อีก 243 คนกำลังจะถูกถอดถอน ดำเนินคดีอาญา ตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต ฐานกระทำผิดรธน.และปลอมแปลงเอกสารสภาในการทูลเกล้า จึงเป็นธรรมชาติที่ต้องพูด ดิ้น เพื่อหวังจะเอาชีวิตรอด จึงเร่งให้เลือกตั้งให้เร็วที่สุด ย่ำขอให้นักการทหารทำตามโรปแมปเดิม หวังกลับมาอยู่เหนือข้าราชการ เอาคืนนักการทหาร ทุจริตเพื่อกลบเกลื่อนการกระทำความผิด แก้ไขกฎหมายเพื่อให้ตนเองพรรคพวกพ้นผิด เหมือนนักเลือกตั้งก็เรียกร้องเช่นกัน เพราะตกงานมานานแล้ว จึงกระสันอยากลงเลือกตั้งไม่สนว่าชาติบ้านเมืองจะเสียหายเพียงใด

นักการทหารจึงควรแม่นยำในยุทธศาสตร์ ไม่วอกแวก มั่นคง แม่นยำ อดทน ในระหว่างนี้ จะเกิดอุปสรรคมากมาย มากขึ้นกว่า 1 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ 22 กรกฎาคมเป็นต้นมา เพราะเป็นปลายยกของหลักการทฤษฎีรัฐประหาร เกมส์จะถูกบีบจากทุกด้าน การต่อต้านจากนอกและในประเทศจะหนักขึ้น ปัญหาภาคใต้แก้ที่มาเลเซียถูกต้องแล้ว ประมงควรผ่อนปรน ค้ามนุษย์ทำได้ดีแล้ว วันเฉลิม 12 สิงหาคม จะช่วยกลบสถานการณ์การเมืองให้เบาบางลง จึงต้องอดทน เดินไปให้ถึงเป้าหมาย ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง ให้แล้วเสร็จ ตามยุทธศาสตร์ของชาติไทย อันเป็นความหวังของทุกคนภายในชาติ

"การทำงานร่วมกับผู้อื่นนั้น ที่จะให้เป็นไปโดยราบรื่น ปราศจากปัญหาข้อขัดแย้ง ย่อมเป็นไปได้ยาก เพราะคนจำนวนมากย่อมมีความคิดความต้องการที่แตกต่างกันไป มากบ้างน้อยบ้าง ท่านจะต้องรู้จักอดทนและอดกลั้น ใช้ปัญญา ไม่ใช้อารมณ์ ปรึกษากัน และโอนอ่อนผ่อนตามกันด้วยเหตุผล โดยถือว่าความคิดที่แตกต่างกันนั้น มิใช่เหตุที่จะทำให้เป็นข้อขัดแย้ง โต้เถียง เพื่อเอาแพ้เอาชนะกัน แต่เป็นเหตุสำคัญที่จะช่วยให้เกิดความกระจ่างแจ้ง ทั้งในวิถีทางและวิธีการปฏิบัติงาน "

พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
(ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยขอนแก่น วันพฤหัสบดี 17 ธ.ค.2541)
เทอดศักดิ์ เจียมกิจวัฒนา
6 สิงหาคม 2557
ข้อมูลอ้างอิง
- ข้อบรรณาในรัฐธรรมนูญ 2557 ฉบับชั่วคราว
- ข่าวนายกยันปฏิรูปต้องใช้เวลา ยกปฎิรูปจีนยาวถึง 30 ปี

ไม่มีความคิดเห็น: