PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ทำไมประชาชนจึงต่อต้าน “โรงไฟฟ้าถ่านหิน” / เลิศชาย ศิริชัย

โดย...เลิศชาย ศิริชัย
       ----------------------------------------------------------------------------------------
        
        
       หากไม่นับเหตุการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว เรื่องที่ถือว่าร้อนที่สุดในภาคใต้ คือ การผลักดันการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน ของ กฟผ.และรัฐบาล ซึ่งสำหรับ กฟผ.แล้วไม่เป็นที่แปลกใจ เพราะผลักดันเรื่องนี้แบบถอยไม่ได้ และไม่เลือกวิธีมานานแล้ว สำหรับข้าราชการ และรัฐมนตรีที่รับผิดชอบก็ไม่น่าแปลกใจที่จะดาหน้ากันสนับสนุนด้วยเหตุผลที่ไม่ผิดเพี้ยนกับ กฟผ.
        
       แต่ที่น่าแปลกใจคือ นายกรัฐมนตรี ที่แสดงท่าที่อ้ำๆ อึ้งๆ มาตลอด แต่วันนี้นายกฯ เหมือนแสดงอย่างชัดเจนว่าต้องเดินหน้า และเหตุผลที่นำมาใช้ประกอบอำนาจก็เป็นเหตุผลเช่นเดียวกับที่ กฟผ.และผู้สนับสนุนพูดฝ่ายเดียวมาตลอด คือ ปัจจุบันมีเทคโนโลยีทันสมัยที่สามารถแก้ปัญหาผลกระทบที่เกิดจากถ่านหินได้หมดสิ้นแล้ว
        
       การที่นายกฯ ใช้เหตุผลนี้อย่างมั่นใจ แสดงให้เห็นว่า ในที่สุดแล้วท่านก็ฟังความข้างเดียว เพราะในความเป็นจริงมีงานวิจัยมากมายที่แสดงถึงผลกระทบของโรงไฟฟ้าถ่านหินในประเทศต่างๆ และมีนักวิชาการไทยหลายท่านที่ศึกษาเรื่องนี้อย่างชัดเจน รวมทั้งทำวิจัยในกรณีของประเทศไทยด้วย และมีรูปธรรมยืนยันที่ชัดเจนว่า หลายประเทศกำลังทยอยเลิกโรงไฟฟ้าถ่านหิน แต่ กฟผ.และผู้สนับสนุนกลับไม่พูดถึงเรื่องนี้ และนำเสนอข้อมูลแบบด้านเดียวมาตลอด
        
       ที่จริงรัฐบาลไม่ได้กล่าวถึงที่มาที่ไปของโรงไฟฟ้าถ่านหินแบบตรงไปตรงมา แต่พูดให้ดูเหมือนว่าสร้างเพื่อชาวภาคใต้โดยตรง เราจึงได้ยินฟากของรัฐบาล รวมทั้งนายกรัฐมนตรี พยายามย้ำว่า หากไม่สร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน ต่อไปที่ภาคใต้ไฟจะดับ หรือไม่มีไฟฟ้าใช้ แม้แต่เมื่อพรรคการเมืองที่ครองเสียงภาคใต้มาโดยตลอด ก็ไม่เห็นด้วยต่อการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน และเสนอให้สร้างโรงไฟฟ้าแบบใช้น้ำมันปาล์มแทน รัฐบาลก็ยังไม่ฟัง และยืนยันจะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินให้ได้
        
       ทั้งนี้ ก็เพราะการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินไม่ใช่เกิดขึ้นลอยๆ หรือเพราะเป็นห่วงคนภาคใต้ แต่เป็นแผนงานหนึ่งที่อยู่ในแผนพัฒนาชายฝั่งทะเลภาคใต้ (Southern Seaboard) ทั้งนี้ เนื่องจากระบบทุนนิยมโลกในปัจจุบันได้วางตำแหน่งแห่งที่ภาคใต้ของไทยให้เป็นศูนย์กลางการคมนามคม เครือข่ายพลังงาน และประตูเชื่อมต่อทางอุตสาหกรรมของภูมิภาค เนื่องจากภาคใต้อยู่ในทำเลที่เหมาะสม คือ เป็นพื้นที่เชื่อมต่อระหว่างกลุ่มประเทศอาเซียนตอนบน รวมถึงประทศจีนด้วย กับกลุ่มประเทศอาเซียนตอนล่าง
        
       นอกจากนี้ จะเห็นว่าประเทศไทยนั้นขวางทางเดินเรือ และเส้นทางขนส่งจากฝั่งตะวันออกมายังฝั่งตะวันตก การเดินเรือ และการขนส่งจึงต้องไปอ้อมแหลมมลายู หากสามารถใช้เส้นทางผ่านประเทศไทยได้จะเป็นโอกาสในการแสวงหาผลประโยชน์ของกลุ่มทุนอย่างมาก
        
       อีกทั้งอ่าวไทยเป็นแหล่งสำคัญของน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติด้วย ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าประเทศไทยเป็นแหลงน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ เพราะที่ผ่านมา รัฐบาลไม่ค่อยเปิดเผยเรื่องนี้สู่สาธารณะ
        
       ผลที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และจะทยอยเกิดมากขึ้นก็คือ โครงการขนาดใหญ่ เท่าที่มีผู้พยายามค้นหาโครงการเหล่านี้ ซึ่งถูกซุกซ่อนไว้ตามแผนงานของฝ่ายต่างๆ พบว่า มีแผนและ/หรือมีการการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการมากมาย ที่สำคัญ เช่น โรงไฟฟ้าถ่านหิน 9 แห่ง โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 4 แห่ง ท่าเรือน้ำลึกจำนวนมาก แลนด์บริดจ์หลายสาย นิคมอุสาหกรรมปิโตรเคมี 4 แห่ง นิคมอุตสาหกรรมอื่นๆ 4 แห่ง เขื่อนกักเก็บน้ำจืดมากกว่า 10 แห่ง เป็นต้น
        
       การเกิดแผนงานและโครงการมากมายจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทุกด้านในภาคใต้อย่างมากและรวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวตั้งอยู่บนพื้นฐานความจริงว่า กลุ่มทุนขนาดใหญ่ทั้งจากต่างประเทศ และในประเทศ ร่วมกับเทคโนแครทกำลังจะเปลี่ยนแปลงทรัพยากรในภาคใต้ให้มีความหมายใหม่ ว่า เป็นทรัพยากรของโลก และกลุ่มทุนระดับต่างๆ ในโลกคือผู้วางแผนใช้ประโยชน์ในรูปแบบใหม่ๆ โดยไม่ได้ใส่ใจคนในท้องถิ่น เพราะเห็นว่าเป็นโลกของคนล้าหลัง และเป็นส่วนที่จะต้องปรับตัวให้อยู่รอดจากการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น แม้กระทั่งจะกลายเป็นส่วนของผู้แบกรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น
        
       ในทางที่ควร โครงการเหล่านี้ต้องร่วมกับประชาชนในท้องถิ่น ร่วมกับภาควิชาการ ภาคประชาสังคม และผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ ทำความเข้าใจโครงการ ศึกษาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจริงๆ และร่วมกันประเมินว่าในที่สุดแล้ว ควรจะสร้างโครงการหรือไม่ อย่างไร การจะตกลงว่าสร้างได้จะต้องเป็นข้อตกลงของทุกฝ่ายที่ตรงกัน โดยเฉพาะจากคนในท้องถิ่นที่จะได้รับผลกระทบโดยตรง
        
       ที่หลักการข้างต้นนี้สำคัญก็เพราะว่า โครงการต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นล้วนเข้าไปแย่งชิงทรัพยากรที่มีคนในท้องถิ่นใช้ประโยชน์อยู่ และเป็นการนำพิษภัยไปให้เขาพร้อมกันด้วย ดังนั้นต้องเคารพคนในท้องถิ่นให้มากที่สุด สื่อสารกันอย่างตรงไปตรงมามากที่สุด และให้ประชาชนได้ตัดสินด้วยความรู้ความเข้าใจมากที่สุด
        
       แต่การกลับมิได้เป็นเช่นนั้น เพราะผู้รับผิดชอบโครงการจะเตรียมวางแผนดำเนินโครงการไว้เรียบร้อยแล้ว การเข้ามาดำเนินการในพื้นที่เป็นเพียงการใช้กลยุทธ์ต่างๆ เพื่อให้โครงการผ่านขั้นตอนตามที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น ซึ่งพอจะสรุปวิธีดำเนินการของโครงการต่างๆ ได้ดังนี้
        
       1.วางแผนในการสร้างและดำเนินโครงการไว้เรียบร้อยแล้ว โดยไม่ได้สนใจการมีอยู่ของคนในท้องถิ่นที่จะได้รับผลกระทบ
        
       2.รู้ดีว่าโครงการมีผลกระทบจึงพยายามไม่ให้ใครรู้
        
       2.1 ไม่เปิดเผยโครงการต่อสาธารณะ แม้ลงมือดำเนินการแล้วก็ไม่บอกอะไรแก่คนในพื้นที่ หรือบอกไม่หมด หรือบอกแบบบิดเบือน
        
       2.2 ดำเนินโครงการแบบแยกส่วนตัดตอน คือ ให้แต่ละหน่วยทำโครงการแยกกัน และแต่ละหน่วยจะรู้น้อยว่า งานของตนเกี่ยวข้องต่อโครงการอื่นๆ อย่างไร ทั้งที่โครงการย่อยต่างๆ เชื่อมโยงเข้าด้วยกันทั้งหมด
        
       3.เสนอข้อมูลด้านเดียว แต่ไม่บอกถึงผลกระทบ และไม่บอกว่าหากไม่ดำเนินโครงการจะเกิดผลดีอะไร โดยเฉพาะผลดีต่อคนเล็กคนน้อย และความยั่งยืนของระบบนิเวศ
       
       4.ใช้ความรู้แบบไม่ตรงไปตรงมา แต่จงใจสร้างความรู้ในลักษณะที่เป็นวาทกรรม และมายาคติ
        
       ในการสร้างวาทกรรมนั้น ทางโครงการพยายามที่จะสร้างความรู้จากมุมของทางโครงการให้เป็นความจริงของสังคมในหลายเรื่อง เช่น
        
       (1) เสนอถึงผลร้ายที่ประชาชนจะได้รับ หากไม่ดำเนินโครงการ เช่น จะไม่มีไฟฟ้าใช้ ภาคใต้ไฟจะดับ (2) พยายามบอกว่าโครงการไม่มีอันตรายใดๆ โดยการสร้างภาพลักษณ์ของสิ่งที่ประชาชนกลัว ให้กลายเป็นสิ่งที่ภาพลักษณ์ตรงกันข้าม เช่น พยายามสร้างเรื่องถ่านหินสะอาด การมีเทคโนโลยีทันสมัยที่ควบคุมผลกระทบของถ่านหินได้หมดแล้ว
        
       (3) สร้างภาพประโยชน์มากมายที่ประชาชนในพื้นที่จะได้รับ เช่น การมีงานทำ ลูกหลานจะได้ทำงานใกล้บ้าน พื้นที่จะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว  (4) ปัจจุบันวาทกรรมที่ถูกนำเสนอบ่อยขึ้นก็คือ ประเทศไทยตามหลังประเทศอื่นมากแล้ว จากการคัดค้านโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน ชาวบ้านควรจะมองหน่วยที่ใหญ่กว่าชุมชน คือ ต้องมองที่หน่วยของประเทศ จึงจะเห็นว่าโครงการต่างๆ มีประโยชน์ และหากชาวบ้านยังคัดค้านอยู่ก็จะกลายเป็นผู้ผิด
        
       (5) กฟผ.นำนักวิชาการจากหลายมหาวิทยาลัยไปดูโรงไฟฟ้าถ่านหินในบางประเทศ แต่ให้ดูเฉพาะแง่มุมที่เตรียมไว้ให้ดู และไม่พาไปดูกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบ เช่นเดียวกับพาชาวบ้านบางกลุ่มในพื้นที่ไปดูโรงไฟฟ้าถ่านหินที่แม่เมาะ แต่ก็พาเข้าห้องปะชุมที่จัดเตรียมไว้ แล้วฉายภาพยนตร์ และเสนอข้อมูลแต่แง่ดีๆ ให้รับรู้เท่านั้น แต่ไม่พาไปดูชุมชนที่ชาวบ้านจำนวนมากต้องเจ็บป่วย และล้มตายด้วยพิษจากถ่านหิน ทั้งนักวิชาการ และชาวบ้านกลุ่มดังกล่าวได้กลายเป็นกลุ่มผลิตซ้ำวาทกรรมของ กฟผ.อย่างเข้มแข็ง ดังจะเห็นได้จากการเคลื่อนไหวสนับสนุนการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินอยู่ในปัจจุบัน
        
       ในการสร้างความรู้ของตนให้เป็นความรู้ของสังคม หรือที่เรียกว่าวาทกรรมนี้ ผู้ดำเนินโครงการหรือผู้ผลักดันโครงการต่างๆ จะไม่สนใจเลยว่าความรู้ที่ตนผลิตสร้างขึ้นนั้น จะมีความจริงรองรับอยู่หรือไม่ หรือใครจะได้รับผลกระทบจากความรู้นี้ แต่จะให้ความสำคัญว่าจะทำอย่างไรให้ความรู้นี้เป็นความรู้ของสังคม เพื่อไม่ให้มีผู้คัดค้านโครงการ หรือมีผู้คัดค้านบ้างก็จะถูกเสียงของสาธารณะ ซึ่งเชื่อในความรู้ที่ทางโครงการผลิตสร้างเป็นผู้ออกมากดดันกลุ่มผู้คัดค้านเอง เช่น กรณี “ถ่านหินสะอาด” แม้จะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า ไม่มีถ่านหินชนิดใดสะอาด จะมีแต่ว่าแต่ละชนิดจะมีสารพิษอะไรมากกว่ากัน แต่ กฟผ.และผู้บริหารกระทรวงพลังงานจะไม่สนใจ หรือโต้แย้งข้อเท็จจริงนี้ แต่จะมุ่งใช้พื้นที่สื่อสารที่ตนเองได้เปรียบมากกว่าเสนอแต่เรื่องถ่านหินสะอาด
        
       สำหรับการสร้างมายาคติก็คือ การสร้างความรู้/ความจริงที่ไม่จริงขึ้นมา โดยใช้สัญญะต่างๆ อย่างซับซ้อน ทางโครงการจะนำสิ่งที่สังคมให้คุณค่า เช่น ความไร้เดียงสาของเด็ก วัฒนธรรมท้องถิ่น การศึกษาของเยาวชน การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม มาเชื่อมโยงให้เป็นคุณค่าของโครงการ
        
       วิธีการแรกที่ทางโครงการใช้คือ การสร้างข้อความ และภาพให้มีความหมายดังกล่าว ดังจะเห็นจากการเสนอภาพผ่านสื่อโทรทัศน์ และหนังสือพิมพ์อย่างต่อเนื่อง โดยเสนอให้เห็นความหมายในลักษณะที่ กฟผ.คือผู้ที่อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ สร้างความดีงามให้แก่วัฒนธรรมท้องถิ่น สนับสนุนการศึกษาของเด็กๆ เป็นต้น
        
       ในพื้นที่ดำเนินโครงการก็สร้างสื่อที่แสดงความหมายลักษณะนี้อย่างต่อเนื่องเช่นกัน เช่น การแจกเสื้อยืดให้แก่ประชาชนในพื้นที่ โดยที่เสื้อดังกล่าวเขียนข้อความว่า “ลูกหลานอ่านหนังสือ ที่พึ่งคือแสงสว่าง เราต้องการโรงไฟฟ้า”
        
       วิธีการที่สอง คือ การให้เงินสนับสนุนกิจกรรมที่สามารถสร้างคุณค่าให้แก่โครงการได้ เช่น ให้งบประมาณสนับสนุนกิจกรรมของวัด มัสยิด โรงเรียน มหาวิทยาลัย องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น สนับสนุนกิจกรรมทางวัฒนธรรมของชาวบ้าน เป็นต้น
        
       ในการสร้างวาทกรรม และมายาคตินั้น ทางโครงการไม่เพียงดึงชาวบ้านส่วนหนึ่งให้เข้ามาสนับสนุนโครงการได้เท่านั้น แต่ยังสามารถดึงคนชั้นกลางในเมือง นักธุรกิจ นักวิชาการบางส่วนให้เข้ามาสนับสนุนโครงการด้วย และใช้เป็นพลังสำคัญในการกดดันชาวบ้านที่คัดค้านโครงการ
        
       ในสถานการณ์เช่นนี้ ทำให้สังคมเพิกเฉยที่จะถกเถียงเรื่องสำคัญๆ ไปหลายเรื่อง
        
       เรื่องที่ 1 การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีแต่ผลดีที่ทุกฝ่ายจะได้รับ หรือว่ามีผลกระทบที่จะเกิดขึ้นอย่างมากมายด้วย ถ้าเช่นนั้นใครจะเป็นผู้แบกรับผลกระทบ และผลประโยชน์ที่ได้นั้นใครควรจะเป็นผู้ได้บ้าง
        
       เรื่องที่ 2 ประชาชนคนเล็กคนน้อยที่ถูกแย่งชิงทรัพยากร และไม่มีทางเลือกเส้นทางชีวิตของตนเป็นอย่างอื่นนั้นจะได้รับการดูแลอย่างไร หรือเป็นเพียงผู้อ่อนแอที่จะต้องสูญหายไปในกระแสของการเปลี่ยนแปลง
        
       เรื่องที่ 3 ทิศทางการพัฒนามีเพียงทิศทางเดียวดังที่นำเสนอใช่หรือไม่ หรือว่ามีแนวทางอื่นอีก เช่น ทรัพยากรธรรมชาติที่จะสูญเสียไปจากการดำเนินโครงการขนาดใหญ่ กับการรักษาทรัพยากรดังกล่าวไว้เป็นฐานการทำการเกษตรแบบยั่งยืน เป็นความมั่นคงด้านอาหาร และเป็นฐานการท่องเที่ยว อะไรจะมีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจในระยะยาวมากกว่ากัน
        
       ดังนั้น ในสถานการณ์เช่นนี้จะให้ประชาชนในพื้นที่ที่จะมีการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินทำอย่างไร จะให้พวกเขางอมืองอเท้าเพื่อรอรับชะตากรรมที่ตัวเอง ซึ่งก็รู้ถึงผลแน่ชัดอย่างนั้นหรือ หรือให้รอรับความเมตตาจากผู้กระเหี้ยนกระหือรือให้สร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน ทั้งที่ตนเป็นคนที่อื่นและจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากการเกิดขึ้นของโรงไฟฟ้าดังกล่าว
        
       พอดีกับว่ายุคนี้เป็นยุคโลกาภิวัตน์ ลักษณะสำคัญของยุคก็คือ เกิดพลังครอบงำทางวัฒนธรรม ทำให้คนยึดติดอยู่กับการบริโภคความหมาย จนไม่เห็นความสำคัญของคน ดังจะเห็นว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นทุกมุมโลกที่ผู้คนนับหมื่นนับแสนถูกเข่นฆ่าอย่างโหดร้าย ทั้งที่พวกเขาไม่รู้หรือไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไรด้วยเลย โดยผู้เข่นฆ่าอ้างเพียงความหมายประชาธิปไตยบ้าง สิทธิมนุษยชนบ้าง หรือพระบัญชาอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าบ้าง
        
       ซึ่งการผลักดันการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินก็ไม่ต่างอะไรจากนี้ เพียงความหมายที่ว่าจะไม่มีไฟฟ้าใช้ ชีวิตจะขาดความสะดวกสบาย เราก็พร้อมจะสนับสนุนอย่างเต็มที่ โดยมองไม่เห็นผู้คนจำนวนมากที่จะได้รับอันตรายอย่างร้ายแรง หรือนี่คือวิธีการปฏิรูปประเทศของรัฐบาลทหารด้วย
         

ไม่มีความคิดเห็น: