PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ปี่กลองเร้าเอาไม่อยู่

ปี่กลองเร้าเอาไม่อยู่

สุดยอด กับการมอบความสุขให้คนไทยทั้งประเทศ
ปรบมือดังๆให้ “โปรเม” เอรียา จุฑานุกาล นักกอล์ฟสาวไทย โชว์วงสวิงเวิลด์คลาส คว้าแชมป์ศึกแอลพีจีเอ ทัวร์ รายการ “มานูไลฟ์ แอลพีจีเอ คลาสสิก” ที่ประเทศแคนาดา
ขยับขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งของโลกอย่างเต็มภาคภูมิ
ไม่เสียแรงที่ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. เพิ่งสวมบท “เชียร์ลีดเดอร์” ชื่นชมผ่านรายการศาสตร์พระราชาฯช่วงสุดสัปดาห์
เป็นตัวแทนคนไทยทุกคนชื่นชมความสำเร็จของ “โปรเม” และให้กำลังใจเพื่อประสบความสำเร็จสูงสุดในอนาคต เป็นแรงบันดาลใจให้รุ่นน้องๆเจริญรอยตาม
โดย “ลุงตู่” ยกเอากรณี “โปรเม” บอกให้สื่อช่วยกันเสนอข่าวในเชิงสร้างสรรค์
ไม่ใช่พากันปั่นกระแส “เปรี้ยวหั่นศพ”
เรื่องของ “โปรเม” น่าจะครองพื้นที่สื่อกระแสหลักไปอีกพักใหญ่
ในบรรยากาศทางการเมืองก็กำลังยกระดับความเข้มข้นขึ้นตามเงื่อนไขสถานการณ์ช่วงปลายโรดแม็ป ท้ายเทอมรัฐบาลทหาร คสช.
ตามจังหวะคืบหน้าของ “กฎหมายลูก” ที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งเริ่มทยอยคลอดออกมา ล่าสุด พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เซ็ตซีโร่ไปเรียบร้อย จ่อคิวด้วย พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง
เรื่องของเรื่อง โดยเงื่อนไขสถานการณ์เร้าๆ มันห้ามไม่ได้ที่นักการเมืองจะเริ่มขยับ
กลับมาแสดงตัวแสดงตนให้กองเชียร์เห็นว่ายังมีชีวิตอยู่
ตามท้องเรื่องล่าสุดที่ระเบิด “ขลัง” กว่าคำสั่งหัวหน้า คสช.
กับปรากฏการณ์ที่อดีต ส.ส. นัดปาร์ตี้สังสรรค์กันที่โรงแรมดังย่านลาดพร้าว แต่วงแตกกระเจิงไปก่อน เพราะเจอมุกของเจ้าหน้าที่ตำรวจอ้างเหตุพลเมืองดีแจ้งเหตุพบวัตถุต้องสงสัยคล้ายระเบิดในห้องจัดเลี้ยง แต่ภายหลังไม่พบอุปกรณ์ประกอบระเบิดแต่อย่างใด
ไล่กันแบบเนียนๆ ล้มโต๊ะกันแบบบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น
เป็นอะไรที่รู้เหลี่ยมกันดี งานนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกับทหารก็ต้องทำตามสัญญาณของหน่วยเหนือ ต้องสกัดไม่ให้นักการเมืองกระทำการขัดหูขัดตาผู้ใหญ่ คสช.
ขอกันดีๆคงไม่มีใครฟัง ก็ต้องอ้างระเบิดไล่กันดื้อๆ
ขณะที่นักการเมืองเองก็พอเดาทางได้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่เมื่อได้เป็นข่าวอยู่ในกระแสแล้วก็ถือว่าเข้าเป้า แยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน เพราะรู้กันอยู่แก่ใจว่ามันขัดกฎเหล็กห้ามทำกิจกรรมทางการเมือง
แต่ก็ไม่วายส่งซิกนัดกันใหม่ รอบหน้าจงใจเหยียบปลายจมูกกันที่สโมสรทหารบกเลย
แบไต๋ชัดๆ ให้ไล่ตามสกัดกันเอาเอง
ในอารมณ์แบบที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม คำรามเสียงเขียว ตอนนี้เราต้องการให้อยู่เฉยๆกันก่อน
คสช.ยังไม่ปลดล็อกให้ทำกิจกรรมใดๆทั้งนั้น
แต่ก็เชื่อได้เลย เผลอเป็นขยับก็แล้วกัน
เพราะถึงนาทีนี้ อาการแหยงกฎเหล็ก คสช. มันน้อยกว่าอารมณ์กลัวตกขบวนรถไฟ
ในเมื่อบรรยากาศมันเข้าโหมดไฟต์บังคับตามเงื่อนไขสถานการณ์ โดยความจำเป็นที่นักการเมืองอาชีพต้องมีการขยับ “ปั่นราคา” ตัวเอง
โชว์ตัวให้ “นายหน้า” ได้เห็นว่ายังไม่แขวนนวม
ยิ่งเป็นอะไรที่ล้อกับกระแสข่าวการตั้งป้อมค่ายรองรับสูตรรัฐบาลผสม พรรคนอมินีทหาร พรรคนอมินี “นายใหญ่” ที่จะสลับค่ายกลหลบแรงเสียดทาน
“ดีมานด์” ความต้องการขุนพลสู้ศึกต้องมากตามรูปการณ์
โดยเฉพาะสูตรเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสมตามกติการัฐธรรมนูญใหม่ ทุกคะแนนมีความหมาย เพิ่มมูลค่าให้มวยรองเกรดบี เกรดซี เกรดดี เพราะมันคือแต้มที่จะนำไปนับปาร์ตี้ลิสต์
“นกแล” หรือ “นกอินทรี” มีค่าตัวด้วยกันทั้งนั้น.
ทีมข่าวการเมือง

ไม่มีความคิดเห็น: