PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ลงสนามเองเท่กว่า

ลงสนามเองเท่กว่า

ผิดหวัง เหนื่อยฟรี อารมณ์นี้เลย
โดยเฉพาะ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ที่หมายมั่นปั้นมือเต็มที่ในการระดมสรรพกำลัง ฝ่ายความมั่นคง ทหาร ตำรวจ มหาดไทย ไปยันกรมประมง
ถึงขั้นใช้อำนาจมาตรา 44 ลุยแก้ปมเรือประมงผิดกฎหมาย
ตามข่าวตลอดช่วงปีที่ผ่านมา ในมุมรัฐบาลทหารของไทยแสดงให้เห็นถึงความพยายามอย่างเต็มที่ในการแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ ที่โยงถึงธุรกิจการส่งออกสินค้าการประมงของไทย
หมายมั่นปั้นมือจะให้เป็นผลงานโบแดงของรัฐบาล คสช.
แต่เมื่อผลสอบออกมา อันดับไม่ดีขึ้น ประเทศไทยได้รับการจัดให้อยู่ในกลุ่มที่ 2 บัญชีรายชื่อประเทศที่ต้องจับตามอง หรือ “เทียร์ ทู วอทช์ลิสต์”
ตามรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ฉบับล่าสุดของสหรัฐอเมริกา ที่ระบุว่ารัฐบาลไทยไม่ได้ดำเนินการขจัดการค้ามนุษย์ให้เป็นไปตามมาตรฐานต่ำสุดอย่างครบถ้วน นอกจากนี้ยังไม่ได้ดำเนินความพยายามเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงที่มีการจัดทำรายงานครั้งที่แล้ว
โดยไทยไม่ได้ดำเนินคดีและลงโทษเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนรู้เห็นในการก่ออาชญากรรมค้ามนุษย์ และปล่อยให้เจ้าหน้าที่เหล่านั้นยังคงขัดขวางความพยายามในการแก้ปัญหา
เรื่องของเรื่อง สาเหตุอย่างเป็นทางการก็แล้วแต่จะเอ่ยอ้างกันไป
แต่ถ้ามองในเชิงยุทธศาสตร์ เงื่อนไขของเกมต่อรองทางการเมืองระหว่างประเทศ
ก็ต้องเข้าใจ “มวยหมัดเมา” อย่าง “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่มีประวัติศาสตร์ทางการเมือง ไม่เน้นนโยบายที่ยึดโยงกับเรื่องพันธสัญญา ข้อตกลงองค์กรโลกบาลต่างๆ
แบบที่ฉีกสัตยาบันข้อตกลงปารีสหน้าตาเฉย หันหลังให้ความร่วมมืออนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการลดภาวะเรือนกระจกหรือโลกร้อน
ถอนตัวกันดื้อๆโดยไม่สนใจจะโดนโจมตี โดนโห่ฮายังไง
นั่นก็สะท้อนถึงมาตรฐาน กระบวนการความคิด ตอนนี้ผู้นำสหรัฐฯคือนักธุรกิจใหญ่ ที่ยึดผลประโยชน์ของฝ่ายตัวเองเป็นหลักเท่านั้น
ตามสูตร “อเมริกาต้องมาก่อน”
โดยรูปการณ์ประเด็น “เทียร์ 2” ของไทยหนีไม่พ้นโยงกับการประคองดุลอำนาจโลก
ก็อย่างที่เห็นๆ ทั้งเรือดำน้ำ ทั้งรถถัง ทั้งรถไฟความเร็วสูง
ที่รัฐบาลไทยเซ็นสัญญา ล้วนแล้วแต่ “เมด อิน ไชน่า” ไม่ได้มี“เมด อิน ยูเอสเอ” ร่วมแจมแต่อย่างใด
อย่าได้แปลกใจ ทำไมไทยถึงโดนผลสอบค้ามนุษย์ไม่ดีขึ้น
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เมื่อเงื่อนไขข้อตกลงต่างๆระหว่างประเทศมันโยงกับดุลการเมืองโลก ทุกอย่างก็อยู่ที่ลีลาการเจรจา จังหวะการต่อรองในการถ่วงดุลระหว่างชาติมหาอำนาจ
ซึ่งไม่น่าจะเกินขีดความสามารถของยี่ห้อ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” กัปตันทีมเศรษฐกิจไทย
ณ วันนี้ การเมืองภายนอกไม่ได้กดดันรัฐบาลทหารเหมือนช่วงยึดอำนาจปีแรกๆ
ไม่ต่างจากสถานการณ์การเมืองภายใน ที่ถึงตรงนี้ดุลได้เปรียบก็ยังอยู่กับฝั่ง คสช.
ล่าสุดกับคำพูดลึกๆ “สถานการณ์จะเป็นตัวชี้วัดเองว่าเราควรจะทำอย่างไรในอนาคต”
“นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. แสดงความขอบคุณโพลที่ประชาชนสนับสนุนให้ตั้งพรรคการเมืองสนับสนุนรัฐบาล คสช.
ไม่ตอบรับ แต่ก็ไม่ปฏิเสธ
สะท้อนเหลี่ยมลีลานักการเมืองค่อนตัวไปแล้ว
เอาเป็นว่า แนวโน้มตามรูปการณ์ ถ้า “ลุงตู่” จะลงสนามเลือกตั้งเองก็ไม่แปลกแต่อย่างใด
ด้วยต้นทุนของ “นายกฯลุงตู่” ที่มีแฟนคลับอยู่พอตัว ไม่ต้องกลัวแต้มโบ๋
และไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ก็มี 250 เสียง ส.ว.สรรหาเป็นฐานต้นทุนหน้าตักประกันความชัวร์ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี
แต่จุดสำคัญมันอยู่ตรงได้ชื่อว่า เป็นนายกฯที่มาจากสนามเลือกตั้ง
ยังไงก็สง่างามกว่า ชอบธรรมกว่าสถานะนายกฯคนนอก
ไม่ต้องถูกค่อนขอดว่า “ลากตั้ง” เข้ามา.

ทีมข่าวการเมือง

ไม่มีความคิดเห็น: