PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2561

ชนักปัก ‘ตัวป่วน’ เดี้ยง

ชนักปัก ‘ตัวป่วน’ เดี้ยง


กรรมตกค้างจากเกม “ชัตดาวน์” กรุงเทพฯ
ล่าสุดศาลประทับรับฟ้องคดีที่อัยการสูงสุดยื่นฟ้อง “ลุงกำนัน” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการ กปปส.และพวกที่เป็นแกนนำรวม 9 คน
ในความผิดฐานร่วมกันเป็นกบฏ ยุยงปลุกปั่น กระทำให้ปรากฏแก่วาจาฯ อั้งยี่ ซ่องโจร มั่วสุมกันเกิน 10 คน ประทุษร้าย ขัดขวางการเลือกตั้ง รวม 8 ข้อหา
กรณีชุมนุมขับไล่รัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เมื่อปี 2556-2557
โดยนายสุเทพ และนายชุมพล จุลใส อดีต ส.ส.ชุมพร พรรคประชาธิปัตย์ อัยการได้สั่งฟ้องในข้อหาร่วมกันก่อการร้ายอีก 1 กระทงด้วย
อย่างไรก็ดี ทนายความแกนนำ กปปส.ทั้ง 9 คน ได้ยื่นหลักทรัพย์เป็นกรมธรรม์ประกันอิสรภาพ มูลค่าคนละ 800,000 บาท เพื่อขอประกันตัวจำเลยระหว่างต่อสู้คดี
ถึงจุดนี้ “ลุงกำนัน” กับทีมงานม็อบ กปปส.โดนชนักปักกลางหลังแล้ว
ตามแนวโน้มแบบที่มีตัวอย่างเทียบเคียงกับคดีม็อบพันธมิตรฯ บุกยึดสนามบิน ศาลฎีกาตัดสินให้แกนนำชดใช้ค่าเสียหายให้บริษัท การท่าอากาศยานฯ อ่วมอรทัย ถึงขั้นล้มละลาย
รายของทีม กปปส.ก็คงอยู่ในข่ายใกล้เคียงกัน คงไม่จบแบบแล้วๆกันไป
ก่อนอื่นเลย โดยเงื่อนไขสถานการณ์ที่จะส่งผลต่อการเมืองภาพรวม เมื่อ “ลุงกำนัน” และทีมงานติดบ่วง โดนชนักปักหลังคดีก่อการร้ายปิดกรุงเทพฯ เกมชิงอำนาจการนำในพรรคประชาธิปัตย์ระหว่างขั้วของ “เทพเทือก” กับฝั่ง “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ก็คงพลิกไปพลิกมา
สถานะของฝั่ง “ลุงกำนัน” น่าจะตกเป็นรอง
และคงต้องประคองเกมเกาะกับฝ่ายคุมเกมอำนาจพิเศษไว้ก่อน เพื่อความสบายเนื้อสบายตัว
แบบที่โชว์ตัวแสดงตนตั้งแต่หัววัน ประกาศหนุน “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ หัวหน้า คสช.ให้เป็นผู้นำเปลี่ยนผ่านไปสู่การปฏิรูปประเทศนั่นแหละ
ที่แน่ๆโดยกรรมตกค้างจากยุทธการ “ชัตดาวน์กรุงเทพฯ” ของทีม “ลุงกำนัน” และแกนนำ กปปส. บทสรุปคดียึดสนามบินของเหล่าแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯย้อนไปถึงชะตากรรมของเหล่าแกนนำม็อบแดง นปช.ที่พาเหรดเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในคุก
เกมปลุกม็อบเป็นเรื่องที่ต้องชดใช้ด้วย “อิสรภาพ” หรือไม่ก็ทรัพย์สินเงินทอง
ถึงวันหนึ่งก็หนีไม่พ้นกฎหมาย ขื่อแปบ้านเมือง
การใช้ “มวลชน” เป็นเครื่องมือต่อรองอำนาจ คงฝ่อลงไปอีก
และนั่นก็ยิ่งเข้าทางรัฐบาล คสช.ของ “นายกฯลุงตู่” ที่มีจุดขายในเรื่องความมั่นคง คุมสถานการณ์ให้ประเทศสงบ ไร้ม็อบป่วนเมืองมาตลอด 3 ปีขึ้นปีที่ 4
ยิ่งเป็นอะไรแบบที่ล่าสุดทนายความส่วนตัวของ “เสี่ยโอ๊ค” นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายของอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ได้เข้าร้องขอความเป็นธรรมต่อ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในประเด็นที่พนักงานสอบสวนดีเอสไอตัดพยานของฝ่ายผู้ต้องหาในคดีการปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทยให้กลุ่มกฤษดามหานครโดยมิชอบ
จากที่อ้างไป 18 ปาก เหลือแค่ 3 ปาก
โดยฝั่งเพื่อไทยเชื่อและสงสัยว่ามีการแทรกแซงทางคดี และเกรงว่าผู้ต้องหาจะเสียความยุติธรรม
คดีทุจริตปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทยส่อปิดกล่องเร็ว ล้อกับข่าววงในจากแบงก์ชาติที่ออกมาในมุมฟันธง “จุดตาย” อยู่ที่ “ต้นขั้วเช็ค” 6–7 ใบ
ชะตากรรมของ “เสี่ยโอ๊ค” มีผลเต็มๆกับการเดินหมากของ “ทักษิณ”
เอาเป็นว่าถึงตรงนี้ “ตัวเงื่อนไข” ที่จะทำให้เกิดสถานการณ์ป่วนเมืองได้ ล้วนติดชนักทางคดี
นี่คือสภาวการณ์ “ดุลอำนาจ” แท้จริงทางการเมือง ณ ห้วงปัจจุบัน
จะเขย่าจะขย่มกันยังไง สุดท้ายมันก็ไหลกลับมาเข้าทาง พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ดี
ถึงแม้จะมีกระแสเรื่องนาฬิกาหรูของ “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม มาคั่นรายการ แต่นั่นก็ไม่ได้ส่งผลกระแทกโดยตรงกับ “นายกฯลุงตู่” อย่างที่เจ้าตัวชิงตัดเกม “คัตเอาต์” ไปแล้วว่า เป็นเรื่องส่วนตัวไม่ได้เกี่ยวกับงบประมาณแผ่นดินแต่อย่างใด
และถึงที่สุดถ้า “บิ๊กป้อม” ทนอึดไม่ไหว ต้องตัดสินใจถอนสมอออกไป
“บิ๊กตู่” ก็คงไม่สะดุ้งเท่าไหร่ ตามสถานะของคนที่ถูกเลือกไว้แล้ว.
ทีมข่าวการเมือง

ไม่มีความคิดเห็น: