จับ”ปธ.อิตาเลียนไทย”ลักลอบล่าสัตว์
ลำดับเหตุการณ์ จับ”เปรมชัย เปรณสูต” ประธานบริหาร
บริษัทอิตาเลียนไทย พร้อมพวก ลักลอบล่าสัตว์ป่า
โดยเมื่อวันที่
3 กุมภาพันธ์
2561 นายเปรมชัย กรรณสูต
ประธานบริหารบริษัทอิตาเลียนไทยเดเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) กับพวกรวม 4 คน
เข้าไปท่องเที่ยวในเส้นทางสำนักงานเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก
-หน่วยพิทักษ์ป่าทิคอง -หน่วยพิทักษ์ป่ามหาราช โดยกำหนดโปรแกรม 2 วัน 1 คืน
(เส้นทางที่เปิดให้ท่องเที่ยวชื่อ ทินวย-ทิคอง-มหาราช ระยะทาง 30 กิโลเมตร)
ต่อมา วันที่ 4 กุมภาพันธ์
2561 ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่หน่วยพิทักษ์ป่ามหาราชว่า
คณะของนายเปรมชัย ลักลอบตั้งแคมป์พักแรมในจุดบริเวณห้วยปะชิ อยู่ระหว่างหน่วยฯ
ทิคอง กับหน่วยฯมหาราช ค่าพิกัด 47 P
485821 E 1678956 N ซึ่งเป็นจุดที่
ขสป.ทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันไม่อนุญาตให้ตั้งแคมป์
จึงส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปพิสูจน์ทราบ
ตรวจพบ อาวุธปืนยาวขนาด .22 จำนวน 1 กระบอก
/ อาวุธปืนไรเฟิลติดลำกล้องจำนวน
1 กระบอก
3. อาวุธปืนลูกซองแฝด จำนวน 1 กระบอก
และเครื่องกระสุนพร้อมใช้งานและพบซากไก่ฟ้าหลังเทากับเนื้อเก้ง
จึงได้ควบคุมตัวนายเปรมชัย และคณะมาที่สำนักงานเขตฯ ถึงในเวลา 02.40
น.
จากนั้น
ในช่วงเช้าของวันที่ 5 ก.พ.61 คณะพนักงานเจ้าหน้าที่ได้กลับไปตรวจสอบบริเวณแค้มป์
พักแรมซึ่งเป็นพื้นที่เกิดเหตุซ้ำ ตรวจพบสิ่งของและซากสัตว์ป่าเพิ่มเติม
จุดที่ 1 อยู่ห่างจากจุดที่ตั้งแค้มป์พักแรมไปทางทิศเหนือ
ประมาณ 5 เมตร
พบหนังเสือดำลักษณะเป็นผืนทั้งตัว โดยถูกชำแหละเนื้อออกไปแล้ว
และผืนหนังเสือดำถูกถนอมซากด้วยการทาด้วยเกลือเพื่อมิให้เน่าเสีย วัดขนาดความยาวจากหัวถึงสะโพก
83 เซนติเมตร
ความยาวจากหัวถึงหาง 148 เซนติเมตร รวมทั้งพบกะโหลกเสือดำ 1 หัว
ชิ้นส่วนทั้งหมดถูกบรรจุอยู่ในถุงดำและมัดปากถุงด้วยเชือก ซุกซ่อนไว้ใต้พุ่มไม้
จุดที่ 2 อยู่ห่างจากแค้มป์พักแรมไปทางทิศเหนือประมาณ
5 เมตร
พบกระเป๋าสะพายข้างสีแดงดำ ถูกซุกซ่อนโดยใช้เศษหญ้าแห้งปิดคลุม
เมื่อเปิดดูภายในกระเป๋าพบกระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 ขนาด 2 แรงครึ่ง จำนวน 13 นัด /
กระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 ขนาด 1 แรง จำนวน 5 นัด / เข็มขัดคาดเอวแบบมีช่องเก็บกระสุนปืนลูกซอง จำนวน 1 เส้น /
กระสุนอาวุธปืนขนาด .22 จำนวน 50 นัด แยกเป็นกระสุนหัวระเบิด จำนวน 11 นัด
และกระสุนหัวตะกั่ว จำนวน 39 นัด ทั้งหมดบรรจุอยู่ในกล่องกระสุน 1 กล่อง /
นกหวีดแบบใช้เป่าล่อนก จำนวน 1 อัน / กระสุนอาวุธปืนไรเฟิล ยี่ห้อ WINCHESTER 30-06 SPRG จำนวน 3 นัด ซึ่งเป็นกระสุนแบบเดียวกันกับที่ตรวจพบในอาวุธปืนยาว (ปืนไรเฟิล)
ยี่ห้อ STEYR-MANNLICHER-M หมายเลขตัวปืน 201820 ทะเบียนอาวุธปืน กท.2850473 / น้ำมันล้างปืน 1 ขวด / ไฟฉายสปอร์ตไลต์ยี่ห้อ Metro จำนวน
1 กระบอก /
ช้อนส้อมแบบพับได้ 1 คู่ / มีดพับ 1 เล่ม
และจุดที่
3 พบซากเสือดำ
1 ตัว
ถูกชำแหละแล้ว รวมน้ำหนักซาก น้ำหนักกะโหลกและเครื่องในได้ 10.6
กิโลกรัม
บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกซุกซ่อนโดยใช้เศษหญ้าปิดคลุม
ทั้งนี้
เจ้าหน้าที่ได้แจ้ง 6 ข้อหา
ฐานร่วมกันล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยมิได้รับอนุญาต /
ร่วมกันล่าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยมิได้รับอนุญาต / ร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากของสัตว์ป่าคุ้มครองโดยมิได้รับอนุญาต
/ นำเครื่องมือสำหรับใช้ในการล่าสัตว์ป่าหรือจับสัตว์หรืออาวุธใดๆ
เข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต /
ร่วมกันเก็บหาของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ /
ความผิดต่อพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง
และสิ่งเทียมอาวุธปืน โดยถูกส่งดำเนินคดีที่ สภ.ทองผาภูมิ
//
สำหรับ
นายเปรมชัย กรรณสูตร เป็นถึงประธานบริหาร บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล็อปเมนต์ จำกัด
(มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างแบบครบวงจร โดยนายเปรมชัย
มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ณ วันที่ 10 เมษายน
2556 จำนวน 820,484,470 หุ้น
หรือคิดเป็นสัดส่วน 19.56% จากจำนวนผู้ถือหุ้นทั้งสิ้น
5 ราย
ก่อนหน้านี้
เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2557 นายเปรมชัย
กรรณสูต ถูกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เรียกไปรายงานตัว ทำให้เป็นที่จับตาว่า
สาเหตุที่ถูกเรียกตัว อาจจะ เป็นท่อน้ำเลี้ยง ของพรรคเพื่อไทย เนื่องมาจาก
บริษัทอิตาเลียนไทย มีชื่อเป็นผู้รับเหมาในโครงการใหญ่หลายโครงการในสมัยรัฐบาล
นายทักษิณ ชินวัตร จนมาถึง ยุครัฐบาลพรรคเพื่อไทย
โปรเจคใหญ่ๆไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สีแดง
สีม่วง ท่าเรือน้ำลึกทวาย รวมถึงโครงการบริหารจัดการน้ำ 3 แสนล้านบาท
แต่ภายหลังการเข้าพบ คสช.ในครั้งนั้น นายเปรมชัย ให้ข้อมูลว่า
ถูกเชิญไปสอบถามเกี่ยวกับเรื่องธุรกิจทั่วๆไปเท่านั้น
นอกจากนี้
บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ยังเป็นบริษัทผู้ก่อสร้าง
โครงการก่อสร้างขยายถนนสาย 304 (กบินทร์บุรี-ปักธงชัย)
ระยะทาง 15.5 กิโลเมตร ช่วงกิโลเมตรที่ 41-57
พร้อมกับก่อสร้างสะพานคู่และอุโมงค์ทางลอดสำหรับให้สัตว์เดินลอดข้าม
เชื่อมผืนป่าระหว่างอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่กับทับลาน เพื่อให้สัตว์เดินข้ามด้านใต้
เนื่องจากอยู่ในพื้นที่รอยต่อระหว่างอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่และอุทยานแห่งชาติทับลาน
ใน อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี และเป็นส่วนหนึ่งของผืนป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่
ที่ได้รับการขึ้นบัญชีเป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติเมื่อปี 2548
//
ได้ใช้แล้วทางเชื่อมพื้นป่าแห่งแรก.../อุโมงค์เชื่อม
นายอภิชาต จันทรทรัพย์
รองอธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่3ก.พ.ที่ผ่านมา
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคมนำคณะผู้บริหารกระทรวงคมนาคมลงพื้นที่ตรวจโครงการก่อสร้างทางเชื่อมผืนป่าและการขยายทางหลวงหมายเลข 304 (จ.ปราจีนบุรี-จ.นครราชสีมา) ของทล. ขณะนี้โครงการมีความคืบหน้าภาพรวมกว่า80 % ประกอบด้วย3 โครงการย่อยระยะทางรวม 18.959 กม.งบประมาณ 2,908.822 ล้านบาท ดังนี้1.โครงการก่อสร้างสายอ.กบินทร์บุรี-อ.ปักธงชัย(ทางเชื่อมพื้นป่า) จ.ปราจีนบุรี
จุดเริ่มต้นตั้งแต่กม.191+860-195+310 ระยะทาง 3.450 กม.รับผิดชอบก่อสร้างโดยบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์
จำกัด(มหาชน) คืบหน้า75% 2. โครงการก่อสร้างขยายถนนหมายเลข 304 สายอ.กบินทร์บุรี-อ.วังน้ำเขียว ตอนที่3 จ.นครราชสีมา
จ.ปราจีนบุรี (ส่วนที่1) ขนาด4 ช่องจราจร (ขยายจาก2 ช่อง) ตั้งแต่กม.207+760
- กม.216+560 ระยะทาง 8.800 กม. โดยบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด(มหาชน) คืบหน้า 34% และ 3.โครงการก่อสร้างขยายถนนสายอ.กบินทร์บุรี-อ.วังน้ำเขียว ตอนที่3 (จ.นครราชสีมา จ.ปราจีนบุรี ส่วนที่2)ขนาด4 ช่อง ตั้งแต่กม. 216+560- กม.223+269 ระยะทาง 8.800 กม. โดยบริษัทธนะสินพัฒนา(1999 )จำกัด คืบหน้า21% ทั้ง3 โครงการ คาดว่าจะเสร็จตามสัญญาภายในปีนี้ และเปิดให้ประชาชนใช้ได้อย่างเต็มรูปแบบต้นปี62
นายอภิชาต กล่าวต่อว่าในการก่อสร้างทางเชื่อมผืนป่าถือเป็นแห่งแรกของประเทสไทยมีทั้งอุโมงค์และสะพานทางยกระดับขนาด 4 ช่อง
ช่วงที่เป็นสะพานจะให้รถยนต์ใช้สะพานและให้สัตว์เดินลอดใต้สะพาน ส่วนช่วงอุโมงค์จะให้รถยนต์ใช้อุโมงค์และสัตว์เดินข้ามบนหลังคาอุโมงค์ได้แบบธรรมชาติลดการเกิดอุบัติเหตุรถยนต์เฉี่ยวชนสัตว์ป่าที่เดินข้ามทางเชื่อมผืนป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ให้เป็นสมบัติของชาวไทยและชาวโลก สำหรับอุโมงค์ 2จุด รวมระยะทาง 430 เมตร ขณะนี้ติดตั้งผนังเสร็จเรียบร้อยแล้วอยู่ระหว่างติดตั้งระบบไฟฟ้า
หลังจากนี้จะถมดินด้านบนอุโมงค์โดยนำดินท้องถิ่นที่อยู่ในเกณฑ์คุณภาพดีมาถมอัดให้แน่นและปลูกต้นไม้ด้านบนจะหารือกรมอุทยานฯช่วยคัดสรรพันธุ์ไม้
ส่วนบริเวณที่เป็นทางยกระดับลักษณะสะพาน 2 สะพานคู่กัน รถวิ่งได้ฝั่งละ 2 ช่อง รวม ระยะทาง570เมตร
ใต้ทางยกระดับที่เป็นทางเดินของสัตว์ป่า ขณะนี้ ได้เปิดใช้เป็นช่องจราจรชั่วคราว
ฝั่งขาเข้ากรุงเทพฯแล้ว 2 ช่องให้รถวิ่งสวนทางกัน
ส่วนขาออกอยู่ระหว่างเก็บรายละเอียดงาน คาดว่าก่อสร้างแล้วเสร็จทั้งอุโมงค์
และสะพานยกระดับปลายปีนี้ เพื่อเปิดใช้ต่อไป. ส่วนโครงการที่เหลือจะทยอยแล้วเสร็จพร้อมกันในปี 62
ด้านนายสุจิณ มั่งนิมิตร
ผู้อำนวยการสำนักอำนวยความปลอดภัย ทล.กล่าวว่า
อุโมงค์เชื่อมผืนป่าถือเป็นไฮไลต์ของโครงการเนื่องจากเป็นอุโมงค์ยาวประมาณ 250 เมตร ทล.จะนำระบบไฟไฮเทคโนโลยีมากกว่าอุโมงค์ปกติทั่วไปโดยจะปรับระดับแสงส่องสว่างภายในอุโมงค์ให้เท่าความสว่างของแสงภายนอกไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืนเพื่อป้องกันการเกิดตาพล่ามัว
หรือวูบกับแสงเวลาผู้ขับขี่ออกจากอุโมงค์
ทั้งนี้นายอาคมได้สั่งการให้ตรวจสอบระบบไฟฟ้า ระบบลม
และเฝ้าระวังการเกิดอุบัติเหตุหลังเปิดใช้เพื่อความปลอดภัยของประชาชนด้วย
https://www.dailynews.co.th/economic/625403
////
รับเหมาแบ่งเค้กรถไฟฟ้า
ยักษ์รับเหมาจ้องตาเป็นมัน เค้กก้อนใหญ่รถไฟฟ้าสารพัดสี หลังครม.ประยุทธ์กดปุ่มเร่งเดินหน้า “ช.การช่าง/อิตาเลียนไทย/ซิโน-ไทย” เชื่อทุกรายรับกันถ้วนหน้า ปลัดคมนาคมแย้ม 1-2 เดือนได้ลุ้นประมูลสายสีส้ม แถมสายสีแดง และแอร์พอร์ตลิงค์ส่วนต่อขยาย พญาไท-บางซื่อ-ดอนเมือง และรถไฟทางคู่จิระ-ขอนแก่นที่จ่อครม. ด้านรฟม.เผยเตรียมแบ่งงานก่อสร้างไว้พร้อมแล้ว
หลังจากที่ “ครม.ประยุทธ์” กดปุ่มเดินหน้าเมกะโปรเจ็กต์โครงข่ายระบบรางโดยเฉพาะรถไฟฟ้าหลากสีทั้งในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล เพื่อหวังกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างบรรยากาศการลงทุนในประเทศ ทันทีที่รัฐบาลเร่งให้ทุกอย่างเดินหน้าเต็มที มีความเคลื่อนไหวหนึ่งที่น่าติดตาม เมื่อบรรดายักษ์รับเหมาระดับท็อปของวงการไม่ว่าจะเป็นช.การช่าง หรือบมจ.อิตาเลียนไทย”และซิโน-ไทย ถึงจะมีงานล้นทะลักหน้าตัก แต่ก็ยังหมายมั่นหวังชิงเค้กก้อนใหญ่นี้กันอย่างคึกคัก ค่อนข้างจะมั่นใจว่าจะคว้างานมาได้อย่างน้อย 25-30% ของโครงการใหม่ที่จะออกประมูลทั้งหมด
++”ไอทีดี”อั้นแค่ 1.5 แสนล้าน
นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานกรรมการ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือไอทีดี กล่าวในที่ประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อเร็วๆนี้ถึงการประมูลงานโครงการใหญ่ที่คาดว่าปีนี้จะมีอีกหลายโครงการทยอยกันออกมาไม่ว่าจะเป็นโครงการรถไฟฟ้าสายสีต่างๆของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) อาทิ สายสีส้ม ชมพู เหลือง โครงการมอเตอร์เวย์ และโครงการรถไฟรางคู่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.)อีก 5 สาย คาดจะมีงบประมาณร่วม 5 แสนล้านบาท ซึ่งบริษัทมีกำลังรับงานได้เพียง 1.5 แสนล้านบาทเท่านั้น ที่สามารถทำงานได้
นอกจากนี้นายเปรมชัยยังระบุอีกว่า ถ้าเกินกว่านี้ไม่สามารถรับงานได้ หรือเท่ากับ 2 หรือ 3 สัญญาเท่านั้น เพราะแต่ละโครงการมีมูลค่าสูงมาก เพราะต้องเก็บความสามารถเอาไว้รองรับงานอย่างอื่น โดยเฉพาะโครงการรถไฟไทย-จีน มูลค่าร่วม 4 แสนล้านบาท ที่คาดว่าสัญญาแรกจะมีมูลค่าถึง 2 แสนล้านบาท ที่น่าจะทำได้ก่อน และจำเป็นต้องใช้บริษัทของคนไทยมาเป็นซับคอนแทร็กซ์ ในการก่อสร้าง ส่วนจีนคงจะเป็นฝ่ายควบคุมหลักเท่านั้น และมั่นใจว่ารถไฟความเร็ว 180กิโลเมตรต่อชั่วโมงซึ่งเกิดจากความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับจีนในเส้นทาง กรุงเทพฯ-หนองคายย่อมเกิดได้แน่นอนภายในปีนี้
อย่างไรก็ดีในส่วนของความร่วมมือรถไฟไทย-จีนนั้นได้มีหารือผ่าน 2 รัฐวิสาหกิจของจีนทั้ง คือซีอาร์อีซีและซีอาร์ซีซี ส่วนความร่วมมือรถไฟไทย-ญี่ปุ่นเราก็สนใจแต่คาดว่าจะใช้เวลาอีก 3ปี โดยหวังงานยาก ๆ และเชื่อว่าคนเก่งทางด้านไหนก็คงจะประมูลงานด้านนั้น
สำหรับเงินลงทุนที่จะต้องใช้ในการขยายงานนั้น นายเปรมชัยกล่าวว่างานประมูลรัฐไม่จำเป็นต้องใช้เงินทุนเพราะสามารถเบิกเงินล่วงหน้า 15 % เป็นเงินทุนอยู่แล้ว ด้านปัญหาแรงงานนั้น คงจะต้องใช้แรงงานเพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ ไอทีดีใช้แรงงานจากเมียนมาร์ ซึ่งเวลานี้ประเทศไทยเปิดทางให้ใช้แรงงานต่างชาติจาก ลาว กัมพูชาและเมียนมาร์ ส่วนแรงงานบังกลาเทศนั้นค่าแรงแพงกว่าไทย
ส่วนแผนการทำกำไรนั้น นายเปรมชัย ชี้แจงว่าเป็นความตั้งใจของผู้บริหารที่จะแสวงหากำไรเพิ่มมากขึ้นและเห็นว่างานราชการได้กำไรน้อย ส่วนงานภาคเอกชนก็จะถูกต่อรองมาก แต่งานราชการจำเป็นต้องทำเพราะเป็นงานส่วนใหญ่ของประเทศ ทำให้มีเงินหมุนเวียนมาเลี้ยงพนักงาน และองค์กร
“เรามั่นใจว่าระยะยาวอัตราผลตอบแทนกำไรจะมากกว่า 1 % โดยในปี 2557 บริษัทมีรายได้ 4.9 หมื่นล้านบาท ปี 2558 คาดว่าจะมีรายได้ 5-6 หมื่นล้าน โดยมีงานที่รอเซ็นสัญญาอีก 1.7 แสนล้านบาท ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้จาก 8 โครงการ คาดจะมีแบ็กล็อกในมือ 3.5 แสนล้านบาท”
++ช.การช่างตั้งเป้าได้งานอีก25%
นายพงษ์สฤษดิ์ ตันติสุวณิชกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพัฒนาธุรกิจ บริษัท ช.การช่าง จำกัด(มหาชน) หรือ CK กล่าวว่าปีนี้ ช.การช่างยังใช้งบลงทุนตามปกติประมาณ10-15% ของปริมาณงานในมือหรือแบ็กล็อกที่ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 9.3 หมื่นล้านบาท และยังคาดว่าจะสามารถรับงานอย่างต่อเนื่องกันไปโดยมีเป้าหมายที่จะรับงานได้ปีนี้อีกราว 25% ของปริมาณการประมูลงานของรัฐบาล
“การร่วมประมูลเดินรถสายสีชมพูและสายสีเหลืองก่อนที่จะก่อสร้างนั้นเราไม่พลาดร่วมแข่งขันอย่างแน่นอนเนื่องจากมีบริษัทลูกอย่างบีเอ็มซีแอลพร้อมดำเนินการอีกทั้งยังมีพันธมิตรจากอีกหลายประเทศพร้อมให้การสนับสนุน เท่านั้นยังไม่พออุปกรณ์และบุคลากรก่อสร้างยังสามารถรับงานได้อีกมาก เช่นเดียวกับความพร้อมด้านการร่วมลงทุนนั้นยังเห็นว่าเป็นสิ่งที่รัฐควรเร่งดำเนินการ ส่วนภาคเอกชนมีความพร้อมอย่างเต็มที่โดยเฉพาะบริษัทชั้นนำของไทย ขอเพียงรัฐบาลแสดงความชัดเจนแต่ละโครงการเท่านั้น เช่น การเดินรถไฟฟ้า มอเตอร์เวย์ 2 เส้นทาง โครงการท่าเรือน้ำลึก เป็นต้น”
++ซิโน-ไทยเชื่อแบ็กล็อกปีนี้ 5 หมื่นล.
เช่นเดียวกับนายภาคภูมิ ศรีชำนิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ STEC ที่กล่าวยืนยันว่า”เตรียมพร้อมประมูลอยู่แล้วทุกเส้นทาง และอยากให้มีโครงการออกมาอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ล่าสุดสายสีเขียวทางซิโน-ไทยก็ได้มา 2 สัญญา ส่วนอีก 5-6 เส้นทางคือสายสีส้ม สายสีชมพู สายสีเหลือง สายสีแดงมิสซิ่งลิงค์และแอร์พอร์ตลิงค์ส่วนต่อขยายนั้นที่คาดว่าจะเปิดประมูลในปีนี้เราก็พร้อมดำเนินการ โดยซิโน-ไทยยังมีการเตรียมความพร้อมทางด้านเทคโนโลยีการก่อสร้าง มีการแสวงหาเครื่องมือตลอดจนอุปกรณ์ก่อสร้างพร้อมทั้งหาวิธีการในการก่อสร้างใหม่เพื่อนำมาช่วยลดการใช้แรงงานและเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วย
สำหรับความเห็นด้านการร่วมลงทุนนั้นพร้อมร่วมงาน ทั้งนี้ รัฐควรเร่งดำเนินการ เพราะภาคเอกชนเตรียมการมานานแล้ว โดยเฉพาะบริษัทชั้นนำของไทย ขอเพียงรัฐบาลเร่งผลักดันออกมาโดยเร็วเท่านั้น เช่น ร่วมการลงทุนเดินรถไฟฟ้า โครงการก่อสร้างมอเตอร์เวย์ 2 เส้นทางคือ บางใหญ่-กาญจนบุรี และบางปะอิน-นครราชสีมา หรือโครงการท่าเรือน้ำลึก 3-4 แห่งของกรมเจ้าท่า เป็นต้น
“รายได้ในปีนี้คาดการณ์ว่าจะทำได้ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ส่วนแบ็กล็อกประมาณ 5 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะสามารถรับงานได้เรื่อยๆแต่ปีนี้ตั้งเป้าที่จะได้งานไว้ 3 หมื่นล้านบาท ล่าสุดได้สายสีเขียวเหนือ หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต 2 สัญญา กว่า 6 พันล้านบาท”
++ลุ้นสายสีส้มเปิดประมูล1-2เดือนนี้
นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงความคืบหน้าโครงการรถไฟ-รถไฟฟ้าเส้นทางต่างๆที่อยู่ระหว่างการเร่งผลักดันว่า เมื่อวันที่ 9 เมษายนที่ผ่านมาได้มีการประชุมหารือกรณีที่จะนำรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงพระราม 9-มีนบุรีเสนอให้คณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก(คจร.)พิจารณากรณีที่ได้ปรับเปลี่ยนแนวเส้นทางจากเดิมกำหนดผ่านชุมชนประชาสงเคราะห์ ย่านดินแดง-ห้วยขวางนั้น แต่เนื่องจากประชาชนต่อต้านพร้อมเสนอให้ปรับเปลี่ยนแนวมาเป็นเชื่อมโยงแยกพระราม 9 แทนเพื่อเลี่ยงผลกระทบต่อชุมชนดังกล่าว
“เบื้องต้นนี้มีความเป็นไปได้อย่างมากที่สายสีส้มจะสามารถเปิดประมูลได้ใน 1-2 เดือนนี้ซึ่งอาจต่อเนื่องไปกับโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน ช่วงบางซื่อ-พญาไท-มักกะสัน-หัวหมาก และสายสีแดงเข้ม ช่วงบางซื่อ-หัวลำโพง หรือเรียกว่าช่วงมิสซิ่งลิงค์ ระยะทางประมาณ 26 กิโลเมตร มูลค่า 3.3 หมื่นล้านบาท และส่วนต่อขยายแอร์พอร์ตลิงค์ ช่วงพญาไท-บางซื่อ-ดอนเมือง วงเงิน 2.8 หมื่นล้านบาทที่นำเสนอเลขาธิการคณะรัฐมนตรี(ครม.)ไปแล้ว”
++สีชมพู-สีเหลืองปลายปีนี้จะชัดเจน
ด้านนายธีรพันธ์ เตชะศิรินุกูล รองผู้ว่าการกลยุทธ์และแผน การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) กล่าวถึงความคืบหน้าสายสีชมพู(แคราย-มีนบุรี) และสายสีเหลือง(ลาดพร้าว-สำโรง) ที่จะใช้รูปแบบการเดินรถแบบโมโนเรลนั้น ขณะนี้เรื่องดังกล่าวอยู่ระหว่างการเร่งสรุปรูปแบบการร่วมลงทุน PPPs NetCross ของระบบเดินรถและซีวิลเวิร์กให้สอดคล้องกับการก่อสร้างโครงการดังกล่าว
“เรื่องนี้เสนอกระทรวงคมนาคมมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ได้ให้กลับไปพิจารณาทบทวนรูปแบบการเดินรถ จากนั้นจึงนำไปสู่การออกแบบก่อสร้าง โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นขออนุมัติดำเนินโครงการรูปแบบการร่วมลงทุน PPPs NetCross กับระบบเดินรถและซีวิลเวิร์ก ล่าสุดบอร์ดรฟม.ได้อนุมัติให้ดำเนินการแล้วเมื่อวันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา คาดว่าในอีก 2 สัปดาห์จะเร่งนำเสนอไปยังสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข.) กระทรวงคมนาคม และคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตร.) พิจารณา ก่อนนำเสนอครม.อนุมัติให้ดำเนินการโดยเร็วต่อไป ซึ่งคาดว่าปลายปีนี้จะชัดเจนด้านการเปิดประมูลเพื่อหาผู้รับการดำเนินการด้านระบบเดินรถและการก่อสร้างงานโยธาควบคู่กันไป”
++เตรียมแบ่งงานสายสีส้ม 3-6สัญญา
นายพีระยุทธ สิงห์พัฒนากุล ผู้ว่าการรฟม. กล่าวว่า กรณีรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงพระราม 9-มีนบุรี จะแบ่งสัญญาการก่อสร้างทั้งใต้ดินและยกระดับ โดยใต้ดินอาจแบ่งออกเป็น 1-2 สัญญารูปแบบดีไซน์แอนด์บิลต์ ส่วนยกระดับประมาณ 1-2 สัญญา นอกจากนั้นยังมีสัญญางานระบบไฟฟ้า อาณัติสัญญาณ และระบบราง 1-2 สัญญา
“ล่าสุดรถไฟฟ้าสายสีส้ม(ตะวันออก) ช่วงพระราม 9-รามคำแหง-มีนบุรีได้มีการหารือร่วมกับกระทรวงคมนาคมและสนข.แล้ว เพื่อนำเสนอเข้าสู่การเห็นชอบของคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก(คจร.)ต่อไป”
++สายสีแดง/แอร์พอร์ตลิงค์ ซอย 6-8 สัญญา
ด้านนายจเร รุ่งฐานีย วิศวกรใหญ่ฝ่ายโครงการพิเศษและก่อสร้างร.ฟ.ท.กล่าวว่า กรณีสายสีแดงอาจแบ่งออกเป็น 3-4 สัญญารวมงานระบบด้วย ส่วนแอร์พอร์ตลิงค์ส่วนต่อขยายจะแบ่งออกเป็น 2-3สัญญาคืองานโยธาช่วงพญาไท-บางซื่อ 1 สัญญา ช่วงบางซื่อ-ดอนเมือง 1 สัญญา และงานระบบอีก 1สัญญา นอกจากนั้นยังมีโครงการรถไฟทางคู่ เส้นทางจิระ-ขอนแก่น อยู่อีก 1 เส้นทาง วงเงิน 2.6 หมื่นล้านบาทที่นำเสนอครม.ไปแล้ว
++ยักษ์รับเหมาตุนหน้าตักไว้เพียบ
สำหรับการประมูลงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าที่ผ่านมา จากการรวบรวมของ”ฐานเศรษฐกิจ” ซึ่งประกอบด้วยสายสีม่วง ช่วงบางซื่อ-บางใหญ่ สายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค และบางซื่อ-ท่าพระ สายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ สายม่วง ช่วงบางซื่อ-บางใหญ่ และสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-คูคต นั้น ปรากฏว่ามีเพียงบริษัทก่อสร้างชั้นนำเท่านั้นที่แบ่งเค้กไปตามๆกัน โดย บมจ. อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ หรือ ITD ชนะประมูลงานก่อสร้างรวมแล้วกว่า 8.2 หมื่นล้านบาท โดยงานที่มีมูลค่าสูงสุดคือ งานก่อสร้างเส้นทาง รถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-คูคตกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท และงานก่อสร้างเส้นทางใต้ดิน ช่วงหัวลำโพง-สนามชัย สำหรับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน วงเงินกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท เป็นต้น
ตามด้วยบมจ.ซิโน-ไทย ได้งานก่อสร้างรวมกว่า 3.3 หมื่นล้านบาท มีงานก่อสร้างทางยกระดับช่วงท่าพระ-หลักสอง และสร้างศูนย์ซ่อมบำรุง กับอาคารจอดรถ 2 แห่ง ในโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน และงานโครงสร้างยกระดับ ช่วงสะพานพระนั่งเกล้า-คลองบางไผ่ และก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ในโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง วงเงินกว่า 1.3 หมื่นล้านบาท
ส่วน บมจ.ช.การช่าง ชนะการประมูลงานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายต่างๆเป็นวงเงินเกือบ 3 หมื่นล้านบาท ที่เด่นๆคือ สายสีเขียวช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ ได้งานเกือบทั้งหมด มีงานก่อสร้างทางยกระดับ สร้างสะพานข้ามคลองสำโรง ก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงและอาคารจอดรถ เป็นวงเงินรวม 1.4 หมื่นล้านบาท
ยักษ์รับเหมาจ้องตาเป็นมัน เค้กก้อนใหญ่รถไฟฟ้าสารพัดสี หลังครม.ประยุทธ์กดปุ่มเร่งเดินหน้า “ช.การช่าง/อิตาเลียนไทย/ซิโน-ไทย” เชื่อทุกรายรับกันถ้วนหน้า ปลัดคมนาคมแย้ม 1-2 เดือนได้ลุ้นประมูลสายสีส้ม แถมสายสีแดง และแอร์พอร์ตลิงค์ส่วนต่อขยาย พญาไท-บางซื่อ-ดอนเมือง และรถไฟทางคู่จิระ-ขอนแก่นที่จ่อครม. ด้านรฟม.เผยเตรียมแบ่งงานก่อสร้างไว้พร้อมแล้ว
หลังจากที่ “ครม.ประยุทธ์” กดปุ่มเดินหน้าเมกะโปรเจ็กต์โครงข่ายระบบรางโดยเฉพาะรถไฟฟ้าหลากสีทั้งในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล เพื่อหวังกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างบรรยากาศการลงทุนในประเทศ ทันทีที่รัฐบาลเร่งให้ทุกอย่างเดินหน้าเต็มที มีความเคลื่อนไหวหนึ่งที่น่าติดตาม เมื่อบรรดายักษ์รับเหมาระดับท็อปของวงการไม่ว่าจะเป็นช.การช่าง หรือบมจ.อิตาเลียนไทย”และซิโน-ไทย ถึงจะมีงานล้นทะลักหน้าตัก แต่ก็ยังหมายมั่นหวังชิงเค้กก้อนใหญ่นี้กันอย่างคึกคัก ค่อนข้างจะมั่นใจว่าจะคว้างานมาได้อย่างน้อย 25-30% ของโครงการใหม่ที่จะออกประมูลทั้งหมด
++”ไอทีดี”อั้นแค่ 1.5 แสนล้าน
นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานกรรมการ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือไอทีดี กล่าวในที่ประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อเร็วๆนี้ถึงการประมูลงานโครงการใหญ่ที่คาดว่าปีนี้จะมีอีกหลายโครงการทยอยกันออกมาไม่ว่าจะเป็นโครงการรถไฟฟ้าสายสีต่างๆของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) อาทิ สายสีส้ม ชมพู เหลือง โครงการมอเตอร์เวย์ และโครงการรถไฟรางคู่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.)อีก 5 สาย คาดจะมีงบประมาณร่วม 5 แสนล้านบาท ซึ่งบริษัทมีกำลังรับงานได้เพียง 1.5 แสนล้านบาทเท่านั้น ที่สามารถทำงานได้
นอกจากนี้นายเปรมชัยยังระบุอีกว่า ถ้าเกินกว่านี้ไม่สามารถรับงานได้ หรือเท่ากับ 2 หรือ 3 สัญญาเท่านั้น เพราะแต่ละโครงการมีมูลค่าสูงมาก เพราะต้องเก็บความสามารถเอาไว้รองรับงานอย่างอื่น โดยเฉพาะโครงการรถไฟไทย-จีน มูลค่าร่วม 4 แสนล้านบาท ที่คาดว่าสัญญาแรกจะมีมูลค่าถึง 2 แสนล้านบาท ที่น่าจะทำได้ก่อน และจำเป็นต้องใช้บริษัทของคนไทยมาเป็นซับคอนแทร็กซ์ ในการก่อสร้าง ส่วนจีนคงจะเป็นฝ่ายควบคุมหลักเท่านั้น และมั่นใจว่ารถไฟความเร็ว 180กิโลเมตรต่อชั่วโมงซึ่งเกิดจากความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับจีนในเส้นทาง กรุงเทพฯ-หนองคายย่อมเกิดได้แน่นอนภายในปีนี้
อย่างไรก็ดีในส่วนของความร่วมมือรถไฟไทย-จีนนั้นได้มีหารือผ่าน 2 รัฐวิสาหกิจของจีนทั้ง คือซีอาร์อีซีและซีอาร์ซีซี ส่วนความร่วมมือรถไฟไทย-ญี่ปุ่นเราก็สนใจแต่คาดว่าจะใช้เวลาอีก 3ปี โดยหวังงานยาก ๆ และเชื่อว่าคนเก่งทางด้านไหนก็คงจะประมูลงานด้านนั้น
สำหรับเงินลงทุนที่จะต้องใช้ในการขยายงานนั้น นายเปรมชัยกล่าวว่างานประมูลรัฐไม่จำเป็นต้องใช้เงินทุนเพราะสามารถเบิกเงินล่วงหน้า 15 % เป็นเงินทุนอยู่แล้ว ด้านปัญหาแรงงานนั้น คงจะต้องใช้แรงงานเพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ ไอทีดีใช้แรงงานจากเมียนมาร์ ซึ่งเวลานี้ประเทศไทยเปิดทางให้ใช้แรงงานต่างชาติจาก ลาว กัมพูชาและเมียนมาร์ ส่วนแรงงานบังกลาเทศนั้นค่าแรงแพงกว่าไทย
ส่วนแผนการทำกำไรนั้น นายเปรมชัย ชี้แจงว่าเป็นความตั้งใจของผู้บริหารที่จะแสวงหากำไรเพิ่มมากขึ้นและเห็นว่างานราชการได้กำไรน้อย ส่วนงานภาคเอกชนก็จะถูกต่อรองมาก แต่งานราชการจำเป็นต้องทำเพราะเป็นงานส่วนใหญ่ของประเทศ ทำให้มีเงินหมุนเวียนมาเลี้ยงพนักงาน และองค์กร
“เรามั่นใจว่าระยะยาวอัตราผลตอบแทนกำไรจะมากกว่า 1 % โดยในปี 2557 บริษัทมีรายได้ 4.9 หมื่นล้านบาท ปี 2558 คาดว่าจะมีรายได้ 5-6 หมื่นล้าน โดยมีงานที่รอเซ็นสัญญาอีก 1.7 แสนล้านบาท ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้จาก 8 โครงการ คาดจะมีแบ็กล็อกในมือ 3.5 แสนล้านบาท”
++ช.การช่างตั้งเป้าได้งานอีก25%
นายพงษ์สฤษดิ์ ตันติสุวณิชกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพัฒนาธุรกิจ บริษัท ช.การช่าง จำกัด(มหาชน) หรือ CK กล่าวว่าปีนี้ ช.การช่างยังใช้งบลงทุนตามปกติประมาณ10-15% ของปริมาณงานในมือหรือแบ็กล็อกที่ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 9.3 หมื่นล้านบาท และยังคาดว่าจะสามารถรับงานอย่างต่อเนื่องกันไปโดยมีเป้าหมายที่จะรับงานได้ปีนี้อีกราว 25% ของปริมาณการประมูลงานของรัฐบาล
“การร่วมประมูลเดินรถสายสีชมพูและสายสีเหลืองก่อนที่จะก่อสร้างนั้นเราไม่พลาดร่วมแข่งขันอย่างแน่นอนเนื่องจากมีบริษัทลูกอย่างบีเอ็มซีแอลพร้อมดำเนินการอีกทั้งยังมีพันธมิตรจากอีกหลายประเทศพร้อมให้การสนับสนุน เท่านั้นยังไม่พออุปกรณ์และบุคลากรก่อสร้างยังสามารถรับงานได้อีกมาก เช่นเดียวกับความพร้อมด้านการร่วมลงทุนนั้นยังเห็นว่าเป็นสิ่งที่รัฐควรเร่งดำเนินการ ส่วนภาคเอกชนมีความพร้อมอย่างเต็มที่โดยเฉพาะบริษัทชั้นนำของไทย ขอเพียงรัฐบาลแสดงความชัดเจนแต่ละโครงการเท่านั้น เช่น การเดินรถไฟฟ้า มอเตอร์เวย์ 2 เส้นทาง โครงการท่าเรือน้ำลึก เป็นต้น”
++ซิโน-ไทยเชื่อแบ็กล็อกปีนี้ 5 หมื่นล.
เช่นเดียวกับนายภาคภูมิ ศรีชำนิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ STEC ที่กล่าวยืนยันว่า”เตรียมพร้อมประมูลอยู่แล้วทุกเส้นทาง และอยากให้มีโครงการออกมาอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ล่าสุดสายสีเขียวทางซิโน-ไทยก็ได้มา 2 สัญญา ส่วนอีก 5-6 เส้นทางคือสายสีส้ม สายสีชมพู สายสีเหลือง สายสีแดงมิสซิ่งลิงค์และแอร์พอร์ตลิงค์ส่วนต่อขยายนั้นที่คาดว่าจะเปิดประมูลในปีนี้เราก็พร้อมดำเนินการ โดยซิโน-ไทยยังมีการเตรียมความพร้อมทางด้านเทคโนโลยีการก่อสร้าง มีการแสวงหาเครื่องมือตลอดจนอุปกรณ์ก่อสร้างพร้อมทั้งหาวิธีการในการก่อสร้างใหม่เพื่อนำมาช่วยลดการใช้แรงงานและเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วย
สำหรับความเห็นด้านการร่วมลงทุนนั้นพร้อมร่วมงาน ทั้งนี้ รัฐควรเร่งดำเนินการ เพราะภาคเอกชนเตรียมการมานานแล้ว โดยเฉพาะบริษัทชั้นนำของไทย ขอเพียงรัฐบาลเร่งผลักดันออกมาโดยเร็วเท่านั้น เช่น ร่วมการลงทุนเดินรถไฟฟ้า โครงการก่อสร้างมอเตอร์เวย์ 2 เส้นทางคือ บางใหญ่-กาญจนบุรี และบางปะอิน-นครราชสีมา หรือโครงการท่าเรือน้ำลึก 3-4 แห่งของกรมเจ้าท่า เป็นต้น
“รายได้ในปีนี้คาดการณ์ว่าจะทำได้ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ส่วนแบ็กล็อกประมาณ 5 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะสามารถรับงานได้เรื่อยๆแต่ปีนี้ตั้งเป้าที่จะได้งานไว้ 3 หมื่นล้านบาท ล่าสุดได้สายสีเขียวเหนือ หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต 2 สัญญา กว่า 6 พันล้านบาท”
++ลุ้นสายสีส้มเปิดประมูล1-2เดือนนี้
นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงความคืบหน้าโครงการรถไฟ-รถไฟฟ้าเส้นทางต่างๆที่อยู่ระหว่างการเร่งผลักดันว่า เมื่อวันที่ 9 เมษายนที่ผ่านมาได้มีการประชุมหารือกรณีที่จะนำรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงพระราม 9-มีนบุรีเสนอให้คณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก(คจร.)พิจารณากรณีที่ได้ปรับเปลี่ยนแนวเส้นทางจากเดิมกำหนดผ่านชุมชนประชาสงเคราะห์ ย่านดินแดง-ห้วยขวางนั้น แต่เนื่องจากประชาชนต่อต้านพร้อมเสนอให้ปรับเปลี่ยนแนวมาเป็นเชื่อมโยงแยกพระราม 9 แทนเพื่อเลี่ยงผลกระทบต่อชุมชนดังกล่าว
“เบื้องต้นนี้มีความเป็นไปได้อย่างมากที่สายสีส้มจะสามารถเปิดประมูลได้ใน 1-2 เดือนนี้ซึ่งอาจต่อเนื่องไปกับโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน ช่วงบางซื่อ-พญาไท-มักกะสัน-หัวหมาก และสายสีแดงเข้ม ช่วงบางซื่อ-หัวลำโพง หรือเรียกว่าช่วงมิสซิ่งลิงค์ ระยะทางประมาณ 26 กิโลเมตร มูลค่า 3.3 หมื่นล้านบาท และส่วนต่อขยายแอร์พอร์ตลิงค์ ช่วงพญาไท-บางซื่อ-ดอนเมือง วงเงิน 2.8 หมื่นล้านบาทที่นำเสนอเลขาธิการคณะรัฐมนตรี(ครม.)ไปแล้ว”
++สีชมพู-สีเหลืองปลายปีนี้จะชัดเจน
ด้านนายธีรพันธ์ เตชะศิรินุกูล รองผู้ว่าการกลยุทธ์และแผน การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) กล่าวถึงความคืบหน้าสายสีชมพู(แคราย-มีนบุรี) และสายสีเหลือง(ลาดพร้าว-สำโรง) ที่จะใช้รูปแบบการเดินรถแบบโมโนเรลนั้น ขณะนี้เรื่องดังกล่าวอยู่ระหว่างการเร่งสรุปรูปแบบการร่วมลงทุน PPPs NetCross ของระบบเดินรถและซีวิลเวิร์กให้สอดคล้องกับการก่อสร้างโครงการดังกล่าว
“เรื่องนี้เสนอกระทรวงคมนาคมมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ได้ให้กลับไปพิจารณาทบทวนรูปแบบการเดินรถ จากนั้นจึงนำไปสู่การออกแบบก่อสร้าง โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นขออนุมัติดำเนินโครงการรูปแบบการร่วมลงทุน PPPs NetCross กับระบบเดินรถและซีวิลเวิร์ก ล่าสุดบอร์ดรฟม.ได้อนุมัติให้ดำเนินการแล้วเมื่อวันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา คาดว่าในอีก 2 สัปดาห์จะเร่งนำเสนอไปยังสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข.) กระทรวงคมนาคม และคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตร.) พิจารณา ก่อนนำเสนอครม.อนุมัติให้ดำเนินการโดยเร็วต่อไป ซึ่งคาดว่าปลายปีนี้จะชัดเจนด้านการเปิดประมูลเพื่อหาผู้รับการดำเนินการด้านระบบเดินรถและการก่อสร้างงานโยธาควบคู่กันไป”
++เตรียมแบ่งงานสายสีส้ม 3-6สัญญา
นายพีระยุทธ สิงห์พัฒนากุล ผู้ว่าการรฟม. กล่าวว่า กรณีรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงพระราม 9-มีนบุรี จะแบ่งสัญญาการก่อสร้างทั้งใต้ดินและยกระดับ โดยใต้ดินอาจแบ่งออกเป็น 1-2 สัญญารูปแบบดีไซน์แอนด์บิลต์ ส่วนยกระดับประมาณ 1-2 สัญญา นอกจากนั้นยังมีสัญญางานระบบไฟฟ้า อาณัติสัญญาณ และระบบราง 1-2 สัญญา
“ล่าสุดรถไฟฟ้าสายสีส้ม(ตะวันออก) ช่วงพระราม 9-รามคำแหง-มีนบุรีได้มีการหารือร่วมกับกระทรวงคมนาคมและสนข.แล้ว เพื่อนำเสนอเข้าสู่การเห็นชอบของคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก(คจร.)ต่อไป”
++สายสีแดง/แอร์พอร์ตลิงค์ ซอย 6-8 สัญญา
ด้านนายจเร รุ่งฐานีย วิศวกรใหญ่ฝ่ายโครงการพิเศษและก่อสร้างร.ฟ.ท.กล่าวว่า กรณีสายสีแดงอาจแบ่งออกเป็น 3-4 สัญญารวมงานระบบด้วย ส่วนแอร์พอร์ตลิงค์ส่วนต่อขยายจะแบ่งออกเป็น 2-3สัญญาคืองานโยธาช่วงพญาไท-บางซื่อ 1 สัญญา ช่วงบางซื่อ-ดอนเมือง 1 สัญญา และงานระบบอีก 1สัญญา นอกจากนั้นยังมีโครงการรถไฟทางคู่ เส้นทางจิระ-ขอนแก่น อยู่อีก 1 เส้นทาง วงเงิน 2.6 หมื่นล้านบาทที่นำเสนอครม.ไปแล้ว
++ยักษ์รับเหมาตุนหน้าตักไว้เพียบ
สำหรับการประมูลงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าที่ผ่านมา จากการรวบรวมของ”ฐานเศรษฐกิจ” ซึ่งประกอบด้วยสายสีม่วง ช่วงบางซื่อ-บางใหญ่ สายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค และบางซื่อ-ท่าพระ สายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ สายม่วง ช่วงบางซื่อ-บางใหญ่ และสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-คูคต นั้น ปรากฏว่ามีเพียงบริษัทก่อสร้างชั้นนำเท่านั้นที่แบ่งเค้กไปตามๆกัน โดย บมจ. อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ หรือ ITD ชนะประมูลงานก่อสร้างรวมแล้วกว่า 8.2 หมื่นล้านบาท โดยงานที่มีมูลค่าสูงสุดคือ งานก่อสร้างเส้นทาง รถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-คูคตกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท และงานก่อสร้างเส้นทางใต้ดิน ช่วงหัวลำโพง-สนามชัย สำหรับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน วงเงินกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท เป็นต้น
ตามด้วยบมจ.ซิโน-ไทย ได้งานก่อสร้างรวมกว่า 3.3 หมื่นล้านบาท มีงานก่อสร้างทางยกระดับช่วงท่าพระ-หลักสอง และสร้างศูนย์ซ่อมบำรุง กับอาคารจอดรถ 2 แห่ง ในโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน และงานโครงสร้างยกระดับ ช่วงสะพานพระนั่งเกล้า-คลองบางไผ่ และก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ในโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง วงเงินกว่า 1.3 หมื่นล้านบาท
ส่วน บมจ.ช.การช่าง ชนะการประมูลงานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายต่างๆเป็นวงเงินเกือบ 3 หมื่นล้านบาท ที่เด่นๆคือ สายสีเขียวช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ ได้งานเกือบทั้งหมด มีงานก่อสร้างทางยกระดับ สร้างสะพานข้ามคลองสำโรง ก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงและอาคารจอดรถ เป็นวงเงินรวม 1.4 หมื่นล้านบาท
///
''เปรมชัย'' แห่งอิตาเลียนไทย
ไขปริศนา ทำไมถูกเรียกตัว...ที่แท้คุยเรื่องน้ำ
ออกมาเคลียร์กันให้ชัด
ๆ อีกครั้ง สำหรับ "เปรมชัย กรรณสูต" บิ๊กรับเหมาค่ายมหาชน
"บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์" เบอร์หนึ่งของเมืองไทย
หลังมีชื่อติดโผกลุ่มนักธุรกิจที่ "คสช.-คณะรักษาความสงบแห่งชาติ"
เรียกไปรายงานตัวเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา
ทำให้หลายคนวิเคราะห์ไปไกลว่า
สาเหตุที่ทำให้ "เปรมชัย" ถูกเรียกตัวกะทันหัน
เพราะเป็นท่อน้ำเลี้ยงของเพื่อไทย อาจจะเป็นเพราะชื่อของ "อิตาเลียนไทย"
ได้ประทับตราโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการในยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
อดีตนายกรัฐมนตรี เรื่อยมาจนถึงยุครัฐบาลเพื่อไทย ไม่ว่าจะเป็นสนามบินสุวรรณภูมิ
รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สีม่วง สีแดง โปรเจ็กต์บริหารจัดการน้ำ 3 แสนล้านบาท
และท่าเรือน้ำลึกทวาย
ขณะ ที่ "เปรมชัย" บอกกับ
"ประชาชาติธุรกิจ" ว่า วันนั้นมีนักธุรกิจถูกเชิญไป 6 คน
ในส่วนของตนทาง คสช.เชิญไปสอบถามเรื่องธุรกิจทั่ว ๆ ไป เช่น โครงการบริหารจัดการน้ำ
รถไฟฟ้า รถไฟทางคู่ โครงการทวาย
โดยถามว่าควรจะเดินหน้ายังไงและมีความคิดเห็นยังไงในฐานะนักธุรกิจ
เพื่อจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศให้เดินหน้าต่อไปได้
ไม่ได้มีอะไรเลย (หัวเราะ)
"ผมก็อธิบายไปว่ามันเป็นโลจิกส์ ยังไงก็ต้องเดินหน้าต่อ
ผมว่าก็เป็นสิ่งที่ดีนะ เพราะเริ่มเห็นทางออก
รู้สึกเขาจริงใจและแอ็กทีฟแก้ปัญหามาก โดยมาปลดล็อกการลงทุนให้ไปต่อได้
ก็เป็นผลดีต่อธุรกิจก่อสร้าง"
สำหรับอิตาเลียนไทย
"เปรมชัย" บอกว่า ก็รอดูว่าทาง คสช.จะทำได้ตามที่มีนโยบายออกมาหรือไม่
ปัจจุบันบริษัทรอยื่นเสนอราคาโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียว
จากหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ค่าก่อสร้างกว่า 2.6 หมื่นล้านบาท
และรถไฟทางคู่สายฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย ค่าก่อสร้างกว่า 1.1 หมื่นล้าน
ซึ่งทั้ง 2 โครงการบริษัทยื่นประมูลเดี่ยวไม่ได้จอยต์เวนเจอร์กับบริษัทอื่น
เนื่องจากมีศักยภาพมากพอที่จะยื่นประมูลได้
ส่วนโครงการบริหาร จัดการน้ำ
"บิ๊กอิตาเลียนไทย" ระบุว่า ทาง
คสช.จะไม่ยกเลิกแต่จะนำทุกโครงการมารีวิวใหม่
เพื่อนำโครงการที่พร้อมก่อสร้างมาเดินหน้าต่อไป
มีความเป็นไปได้ว่าจะไม่ดำเนินการทั้งโครงการ จะเลือกเฉพาะโครงการที่พร้อมจริง ๆ
"บริษัทประมูลได้ 5
โมดูล มูลค่างาน 106,846 ล้านบาท เช่น อ่างเก็บน้ำ ปรับปรุงลำน้ำสายหลัก
ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีปัญหา ทั้งหมดก็ผ่านเวทีประชาพิจารณ์ตามที่ศาลปกครองมีคำสั่งแล้ว
เหลือรับฟังความคิดเห็นใน 2 พื้นที่คือกรุงเทพฯและนครปฐม เพราะยุบสภาเสียก่อน จึงต้องหยุดกิจกรรมไว้
แนวโน้มโครงการที่จะมีปัญหาคือฟลัดเวย์เพราะค้านเยอะ"
ทั้งนี้ จากนโยบายของ
"พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา" หัวหน้า
คสช.จะเร่งขุดลอกคูลอกแม่น้ำเป็นลำดับแรกนั้น "เปรมชัย" บอกว่า
ยิ่งดีเพราะเป็นโครงการที่บริษัทประมูลได้ในโมดูล A4 อยู่แล้ว เป็นงานปรับปรุงสภาพลำน้ำสายหลักและป้องกันการกัดเซาะตลิ่งริมแม่น้ำใน
พื้นที่แม่น้ำยม น่าน และเจ้าพระยา
หลังมีคนมาขันนอตให้ทุกอย่าง
เดินหน้าแบบนี้ ทำให้ "อิตาเลียนไทย" เริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
เมื่อโครงการที่หมายตากำลังเริ่มรุดหน้า ไม่ได้ถูกแช่แข็งทำให้เรี่ยวแรงที่ดูเหมือนจะอ่อนล้า
กลับมามีชีวิตชีวามากขึ้น ส่วนจะไปได้มากน้อยแค่ไหน ก็ต้องลุ้นต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น