PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2561

Credit ทรุดต่ำ ความรู้สึก ไม่ “น่าเชื่อถือ” เลือกตั้ง ปราบโกง

Credit ทรุดต่ำ ความรู้สึก ไม่ “น่าเชื่อถือ” เลือกตั้ง ปราบโกง


นับวัน คสช.และรัฐบาลจะยิ่งประสบกับปัญหา “ความน่าเชื่อถือ” ต่อเนื่องอย่างกว้างขวาง ล้ำลึกหนักหนา สาหัสมากยิ่งขึ้น
จาก 1 การโกง และจาก 1 การเลือกตั้ง
ทั้งๆ ที่ คสช.ประกาศตั้งแต่ลงมือทำ “รัฐประหาร” เมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ว่า 1 ในภารกิจคือ การเข้ามาปราบทุจริต คอร์รัปชั่น
โดยเน้นอย่างหนักแน่นไปยัง “นักการเมือง”
ผลก็คือ นักการเมืองในสังกัดพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย โดนกันไปทั่วหน้าไม่ว่าจะเป็นน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่เว้นแม้กระทั่ง นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี
แต่แล้วก็เกิดกรณี “โกงเงินคนจน” เกิดกรณี “โกงเงินเด็ก”
มิได้เป็น “นักการเมือง” หากแต่เป็น “ข้าราชการ” และเกิดกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และเกิดกับกระทรวงศึกษาธิการ
เท่านั้นไม่พอประเด็น “เลือกตั้ง” ก็ถาโถมเข้ามาอีก
ประเด็นการเลือกตั้งแม้ คสช.จะพยายามโบ้ยให้ปัจจัย “อื่น” ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง
แต่เอาเข้าจริงๆ ก็เป็นปัญหาจาก “ภายใน”
ไม่ว่าจะเป็นการคว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ในที่ประชุม สปช.เมื่อเดือนกันยายน 2558
ไม่ว่าจะเป็นการเติมในร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.
ไม่ว่าจะเป็นการผ่านร่าง พ.ร.ป.การได้มาซึ่ง ส.ว.แล้วเกิดการเคลื่อนไหวเพื่อยื่นเรื่องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยและตีความ
นี่เป็นเรื่องอันเกิดใน สปช. ใน กรธ.และใน สนช.ทั้งสิ้น

ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองไม่ว่าพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าพรรคอนาคตใหม่
การต้มยำทำแกงล้วนเป็นเรื่องของ”คสช.”
เหมือนกับว่ากรณีการโกงที่แผ่กระจายออกไปอย่างกว้างขวางกว่า 40 จังหวัดทั่วประเทศ เหมือนกับว่ากรณีการยื้อ ถ่วงและหน่วงการเลือกตั้ง
จะเป็นคนละเรื่อง ไม่มีอะไรเกี่ยวกัน
แต่สภาพความเป็นจริงที่ไม่ควรมองข้ามก็คือ ล้วนเป็นเรื่องอันเกิดขึ้นภายใต้จมูกของ คสช.และของรัฐบาล
สะท้อนว่า “นโยบาย” ไม่ได้รับ “การปฏิบัติ”
ที่ขึงขังในเรื่องทุจริต คอร์รัปชั่น จนถึงขั้นกับมีบางคนยืนยันว่ากระบวนการร่างรัฐธรรมนูญมีเป้าหมายเพื่อให้ได้รัฐธรรมนูญ “ปราบโกง”
แต่เมื่อ “ปฏิญญาโตเกียว” ก็ไม่มีการปฏิบัติ
และยิ่งเมื่อ “ปฏิญญานิวยอร์ก” กลายเป็นเรื่องเลื่อนลอย จนแม้กระทั่ง “ปฏิญญาทำเนียบขาว” กลายเป็นคำพูดอันว่างเปล่า กลวง
ความไม่น่าเชื่อก็กลายเป็น “ตรา”ติดหน้าผาก “คสช.”
แนวโน้มและความเป็นไปได้ในทางความคิดและในทางการเมืองที่หนาแน่นมากยิ่งขึ้นจึงเป็นความรู้สึกในลักษณะ “ร่วม” ที่ขาดความเชื่อถือ
ขาดความรู้สึกไว้วางใจ
ไม่ว่าจะในเรื่องของการ “ปราบโกง” ไม่ว่าจะในเรื่องความแน่นอนของ “การเลือกตั้ง” ว่าจะเป็นเมื่อใดกันแน่
ลักษณะ “ร่วม” เช่นนี้เองที่เป็น “กระแส” ในสังคม

ไม่มีความคิดเห็น: