PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2561

‘อุตตม-สนธิรัตน์’ โดย สราวุฒิ สิงห์เอี่ยม

‘อุตตม-สนธิรัตน์’ โดย สราวุฒิ สิงห์เอี่ยม



29 กันยายน พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จะจัดประชุมผู้ร่วมก่อตั้งเพื่อเลือกหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค และกรรมการบริหารพรรค เพื่อเตรียมพร้อมลงสู้ศึกเลือกตั้ง
ลุ้นกันว่าจะมีชื่อ อุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม และ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ เข้าร่วม
พปชร.หรือไม่
ทั้งนี้ “อุตตม-สนธิรัตน์” ถือเป็นคีย์แมนในทีมเศรษฐกิจที่ช่วยขับเคลื่อนนโยบายด้านเศรษฐกิจต่างๆ ของรัฐบาล ส่งผลให้ตัวเลขจีดีพี ขยายตัวต่อเนื่อง รวมทั้งช่วยกลุ่มฐานรากเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ
สำหรับ “อุตตม” นอกจากจะผลักดันมาตรการต่างๆ ช่วย “เอสเอ็มอี” ให้เข้มแข็งแล้ว ยังเป็นฟันเฟืองสำคัญในการเข็นเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ให้เดินหน้าอย่างรวดเร็ว นักลงทุนจากชาติต่างๆ แห่มาดูพื้นที่เพื่อลงทุน
โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเป้าหมาย อย่างยานยนต์แห่งอนาคต-อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ-หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ-อากาศยานและโลจิสติกส์-การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ-
เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ
ช่วง 5 ปีแรกคาดว่าจะมีการลงทุนทั้งจากภาครัฐและเอกชนใน “อีอีซี” เป็นเงินกว่า 1.7 ล้านล้านบาท โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) วงเงินกว่า 2 แสนล้านบาท มีเอกชนหลายรายสนใจซื้อซองประกวดราคา และวันที่ 12 พฤศจิกายน จะเปิดให้เอกชนยื่นข้อเสนอ คาดว่าไตรมาสแรก ปี 2562 จะมีการลงนามในสัญญา และจะเปิดให้บริการในปี 2566
นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายโครงการที่ทยอยเดินหน้า ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา 2 แสนล้านบาท การพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 วงเงิน 1.5 แสนล้านบาท การพัฒนาท่าเรือมาบตาพุด ระยะที่ 3 วงเงิน 1.1 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด วิเคราะห์ข้อมูลถึงผลบวกทางเศรษฐกิจกับ 3 จังหวัดอีอีซี (ชลบุรี-ระยอง-ฉะเชิงเทรา) ว่าจีดีพีที่อยู่ระดับ 2.9% ในปี 2557-2559 จะขยายตัวมากกว่า 10% ต่อปีตั้งแต่ปี 2560-2569 มูลค่าทางเศรษฐกิจจาก 2.2 ล้านล้านบาท ในปี 2559 เพิ่มเป็น 7.5 ล้านล้านบาท ในปี 2569 และรายได้ต่อหัวจาก 6 แสนบาทต่อปีในปี 2559 เพิ่มเป็น 1.7 ล้านบาทต่อปี ในปี 2569
ส่วน “สนธิรัตน์” นอกจากจะช่วยผลักดันการส่งออกขยายตัวต่อเนื่อง อย่างล่าสุดเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาขยายตัว 6.7% มีมูลค่า 22,794 ล้านเหรียญสหรัฐ ถือเป็นมูลค่าส่งออกสูงสุดเป็นประวัติการณ์ รวม 8 เดือนแรก มีมูลค่า 169,030 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 10% สูงสุดในรอบ 7 ปี และปรับเพิ่มเป้าส่งออกทั้งปีจาก 8% เป็น 9%
กระทรวงพาณิชย์ยังเป็นแกนหลักในการช่วยเหลือผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแก่ผู้มีรายได้น้อย 11.4 ล้านคน ซึ่งผู้มีรายได้ไม่เกินปีละ 3 หมื่นบาท จะได้รับวงเงินคนละ 300 บาทต่อเดือน รายได้ไม่เกินปีละ 1 แสนบาท จะได้วงเงิน 200 บาทต่อเดือน สําหรับผู้ที่เข้าโครงการพัฒนาตนเอง จะได้รับวงเงินเพิ่มจาก 300 บาท เป็น 500 บาท และจาก 200 บาท เป็น 300 บาท เพื่อซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคในร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ซึ่งมีร้านค้าที่ติดตั้งเครื่องรับบัตร (อีดีซี) แล้วกว่า 38,000 แห่งทั่วประเทศ
ที่ผ่านมามีการใช้จ่ายผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 3.4 หมื่นล้านบาท
นอกจากช่วยผู้มีรายได้น้อยแล้ว ยังช่วยร้านค้าปลีกรายย่อยหรือ “โชห่วย” ในท้องถิ่นที่เกือบจะสูญพันธุ์ให้ฟื้นคืนชีพอีกครั้งและเข้มแข็งกว่าเดิม
รวมทั้งต่อยอดการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยเปิดชําระเงินผ่านแอพพลิเคชั่น “ถุงเงินประชารัฐ” และมีแอพพลิเคชั่น “โชห่วย-ไฮบริด” เพิ่มช่องทางการตลาด ซื้อขายสินค้าออนไลน์ผ่านอี-คอมเมิร์ซ
หาก พปชร.มีชื่อ “อุตตม-สนธิรัตน์” เข้าร่วม คงต้องโชว์ผลงานนี้ และถ้ามีโอกาสได้เป็นรัฐบาลชุดใหม่ ก็จะสานงานนี้ต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น: