เมื่อพูดถึงไทยรัฐ ใครๆก็รู้จัก แต่จะรู้จักจริงหรือเปล่าก็ต้องมองกันให้ลึก
คุณติ๊กครับ ผมขอบคุณที่ติดต่อมา ผมคิดว่าตัวเองจำได้ทุกคน
ในวิถีทางของไทยรัฐมีหลายคนที่เคยสัมพันธ์กันกับชีวิตผม ท่านเหล่านั้นได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว
ผมพูดถึงท่านมาจนถึงทุกวันนี้
ท่านแรกก็คือคุณประยูร จรรณยาวงศ์ ท่านเป็นนักเขียนที่ได้รับรางวัลแม็กไซไซ
ช่วงนั้นผมเริ่มทำงานอยู่ในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แต่ก่อนหน้านั้นผมเป็นคนแรกของนักวิชาการที่ถูกชวนให้ไปออกโทรทัศน์ช่อง 4 ที่บางขุนพรหม
ปีนั้นเป็นปีแรกที่เมืองไทยมีโทรทัศน์ คือปี พ.ศ.2498
แต่ก่อนเราก็ไม่เคยมีโทรทัศน์ดู ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2495 กรมประชาสัมพันธ์ได้จัดตั้งบริษัทไทยโทรทัศน์จำกัดขึ้นมาก่อน แต่ยังไม่มีสถานีโทรทัศน์ที่ออกอากาศ คงเริ่มต้นจากการจัดตั้งสถานีวิทยุ
กระจายสียงซึ่งใช้ชื่อว่าบริษัทไทยโทรทัศน์จำกัด
บริษัทที่ตั้งขึ้นมาก่อนนี้ มีคุณประสงค์ หงส์สนัน ซึ่งแต่เดิมดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ คุณประสงค์ หงส์สนัน มีภรรยาชื่อคุณถนอน หงส์สนัน
บังเอิญผมใช้การปลูกเลี้ยงกล้วยไม้เป็นสื่อสร้างคนแทบจะทุกด้าน คุณถนอนกับเพื่อนอีกสองคนจึงพากันมาเรียนวิชากล้วยไม้จากผม
และในช่วงนั้นผมเองก็เพิ่งเริ่มต้นงานกล้วยไม้ใหม่ๆ
ผมต้องไม้เรียวอยู่ในมือเพื่อกำหนดการเปลี่ยนแปลงทั้งสองด้าน
ด้านหนึ่งคือด้านราชการ เพราะด้านราชการก็จ้องที่จะทำร้ายผม ส่วนด้านประชาชนนั้นเขาศรัทธาผมจึงไม่ต้องใช้ไม้เรียวแต่ใช้ไม้อีกอันหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า “ศรัทธาบารมี”
ผมเป็นเด็กดื้อมากๆ ทั้งๆที่ไม่เคยเรียนเรื่องกล้วยไม้มาก่อน นอกจากนั้นขืนทำเรื่องกล้วยไม้ ราชการก็จ้องที่จะเล่นงานผมด้วย
ผมมีนิสัยคล้ายท่านพุทธทาสภิกขุ เพราะตัวผมเองนอกจากเป็นเด็กดื้อแล้วก็ชอบทำในสิ่งที่สังคมเขาจ้องจะกล่าวร้ายอยู่ตลอด
ทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่เคยเรียนกล้วยไม้มาก่อน แต่แอบทำอยู่หลังบ้านแล้วมีการฝึกอบรมประชาชนเริ่มต้นจากรุ่นเล็กๆไปก่อน
ที่ว่ารุ่นเล็กนั้นหาใช่หมายความว่าเป็นรุ่นที่มีอายุน้อย แต่หมายความถึงมีจำนวนน้อย เริ่มต้นจาก 35 คนเท่านั้น
บังเอิญความเรื่องนี้รู้ถึงอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ซึ่งเป็นมือขวาของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชน์ ท่านนั้นก็คือพลเอกสุรจิต จารุเศรณี
พลเอกสุรจิตเป็นคนที่ใช้ชีวิตเรียบง่าย ท่านปลูกบ้านไม้หลังเล็กๆ 2 ชั้นใต้ถุนโปร่งอยู่ตรงบริเวณท้องนาใกล้ๆกับจตุจักรเดี๋ยวนี้ซึ่งแต่ก่อนเป็นท้องนา ผมชอบไปคุยกับท่านเพราะท่านชอบกล้วยไม้
ด้วย เราก็เลยทอดสะพานเข้าไปหากันจนกระทั่งสนิทกัน
พอถึงปี พ.ศ.2498 ระหว่างที่สถานีวิทยุกระจายเสียงของบริษัทไทยโทรทัศน์จำกัดเปิดออกอากาศอยู่ที่ชั้น 4 ของอาคารราชดำเนิน 4 แยกคอกวัว
คุณสุรจิตจึงเสนอให้ผมไปใช้ห้องส่งกระจายเสียงที่นั่นโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย อีกทั้งยังสั่งให้เจ้าหน้าที่ของบริษัทซึ่งประจำการอยู่ตรงนั้นให้ความสะดวกทุกอย่าง
ผมเปิดอบรมกล้วยไม้ภาคค่ำ เริ่มตั้งแต่เวลา 17.00 น. ถึง 19.00 น. โดยเปิดวันเว้นวัน เพราะต้องการให้คนที่มารับการอบรมได้ใช้เวลาไปปรึกษาหารือสร้างงานใหม่ๆ
ผมนึกถึงวัฒนธรรมยุโรปซึ่งฝรั่งหลัง 4 โมงเย็นไปแล้วใครจะปกวนเขาไม่ได้เพราะเขาถือว่าเป็นเวลาส่วนตัว
แต่ของไทยตั้งอยู่บนวัฒนธรรมตะวันออก เรามีเวลาว่างที่จะมาเปลี่ยนให้เป็นเวลาผลิตงานใหม่ๆได้โดยไม่ต้องถือว่าพัก เพราะการทำงานอย่างมีความสุขนั้นคือการพักผ่อนอยู่แล้ว
ที่ผมว่าตัวเองมีนิสัยเหมือนท่านอาจารย์พุทธทาสก็คือ ไม่ว่าจะทำอะไร แม้แต่การพิมพ์หนังสือเผยแพร่ความรู้ ผมจะสอดกระดาษชิ้นเล็กๆเข้าไปไว้ในนั้น อีกทั้งกระดาษแผ่นนี้จะมีการสอนให้คน
รู้จักวิธีทำงานที่มีคุณธรรม จริยธรรม
บังเอิญกระดาษแผ่นนั้นมันไปตกอยู่ที่ไหนผมก็ไม่ทราบ
อยู่มาวันหนึ่งคุณสุรจิต อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ได้ให้คนมาเชิญผมไปพบที่กรมประชาสัมพันธ์และพบว่ามีคุณประสงค์ หงส์นัน นั่งอยู่ด้วย
ทีแรกผมก็ไม่ทราบว่าเรื่องอะไร ไปพบแล้วจึงเห็นกระดาษแผ่นนั้นมันอยู่ในมือคุณสุรจิต
คุณสุรจิตพูดกับผมว่าท่านอาจารย์ครับ มาออกโทรทัศน์ด้วยกันกับเราเถิดครับ เพราะผมได้อ่านข้อความในกระดาษแผ่นนั้นแล้วผมรู้สึกศรัทธา
นี่แหละเป็นเรื่องที่ทำให้ผมเริ่มต้นไปออกโทรทัศน์สถานีโทรทัศน์ช่อง 4 บางขุนพรหมในปี พ.ศ.2498 ซึ่งเป็นปีแรกที่สถานีโทรทัศน์แห่งนี้เปิดทำการ
คุณสุรจิตท่านขอให้ผมไปออกโทรทัศน์ทุกสัปดาห์และกำหนดไว้ด้วยว่าทุกวันพุธหลังข่าวเป็นเวลาครั้งละครึ่งชั่วโมง
ช่วงนั้นใจผมได้รับผลกระทบพอสมควร ผมกลับไปนอนบ้านแล้วคิดว่า “เราจะไปพูดอะไร คงต้องเตรียมการไปพูดให้มันยาวเข้าไว้ ประเดี๋ยวมันจะหมดกลางคัน”
ผมเคยได้ยินอาจารย์หลวงสุวรรณ วาจกกสิกิจ ท่านพูดว่า “ตอนเราเป็นนักเรียนเราถูกขอร้องให้ไปพูดหน้าชั้น เราไปเตรียมการสอนอยู่นานมากเพราะเขากำหนดให้ไปพูด 1 ชั่วโมง ประเดี๋ยวสิ่งที่เรา
เตรียมไว้มันจะหมดก่อนเวลา
ทีแรกผมก็ลำบากใจเพราะเราเคยแต่พูดหน้าชั้นเรียน ส่วนการพูดกับกล้องนั้นมันไม่ใช่ของง่าย
พอเริ่มต้นทำงานเข้าสักหน่อย ความคิดมันก็เริ่มเปลี่ยน เพราะเรามีจิตนาการทำไมไม่ใช้
ช่วงหลังๆผมพูดกับกล้องแต่ผมเกิดจินตนาการมองเห็นคนฟังผ่านกล้องโทรทัศน์มากมาย ในที่สุดเราก็ปรับใจได้ ปรากฏว่าคนฟังติดใจมากมายครับ
นี่แหละเพราะคนฟังและคนชมโทรทัศน์ติดใจผมมากมาย ผมก็เลยกลายเป็นเป้าเคลื่อนที่
คุณประยูร จรรณยาวงษ์ แกเป็นคนพูดตรงไปตรงมา บางทีก็พูดเร็วไปหน่อย เพราะยังไม่ทันศึกษาให้ชัดเจนแกก็พูด
อยู่มาวันหนึ่ง คุณหมอประหยัด ลักษณะพุกก เพื่อนผมซึ่งเป็นหมออาวุโสอยู่ในภาควิชาอายุรศาสตร์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
คุณหมอประหยัดได้มาเยี่ยมผมที่บ้านแล้วบอกว่า “คุณระพีครับ คุณประยูรเขาว่าคุณระพี บอกว่าดีแต่พูด แต่ทำไม่เป็นหรอก”
ผมไม่ว่าอะไรได้แต่ยิ้มรับ คุณเชื่อไหมว่าถัดจากเวลานั้นมานานประมาณ 3-4 ปี คุณประยูรเดินทางมาหาผมที่เกษตรแทบทุกวัน โดยเฉพาะเวลาเย็นๆมักมานั่งบนสนามหญ้าล้อมวงคุยกันเป็นประจำ
ยิ่งกว่านั้นเวลาไปงานต่างๆ ถ้ามีคุณประยูรไปด้วยแล้วเขาเชิญให้คุณประยูรพูด คุณประยูรแกไม่ยอมพูด ข้อร้องยังไงแกก็ไม่ยอม แกบอกว่าต้องให้อาจารย์ระพีพูดถึงจะได้
พอถึงเวลานี้ผมอยากจะถามว่าผมทำยังไงคุณประยูรถึงได้เคารพผม ทั้งๆที่แต่ก่อนก็พูดว่าผมว่าดีแต่พูด
มีอีกคนหนึ่งในไทยรัฐคือคุณปรีชา ทิพยเนตร ซึ่งเธอใช้นามปากกาว่า “ไวตาทิพย”
แต่ก่อนนี้หนังสือพิมพ์ไทยรัฐมีคอลัมณ์ไวตาทิพยอยู่หลังปก ใครๆก็ชอบอ่านเพราะคุณไวตาทิพย์แกเป็นคนพูดตรงๆ
ยิ่งเห็นสังคมมันไม่เข้าท่าแกจะพูดโดยไม่เกรงใจใครทั้งนั้น
คุณไวตาทิพยเคยอยู่หนังสือพิมพ์สยามรัฐและเคยเป็นลูกศิษย์หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมทย์มาก่อน
ผมเคยจดหมายวิจารณ์สังคมไปหาคุณไวตาทิพยครั้งเดียว ปรากฏว่าต่อจากนั้นไปไม่ว่าจะเขียนเรื่องอะไรส่งไปให้เธอก็นำลงพิมพ์ทั้งหมดไม่เคยขาด
จนในที่สุดทั้งผมและคุณไวตาทิพยเกิดดังขึ้นมาทั้งคู่
หลายคนคิดว่าผมกับคุณไวตาทิพยรู้จักกันสนิทสนม แต่แท้จริงแล้วเราไม่เคยเห็นหน้ากันแม้แต่ครั้งเดียว หน้าตาเราก็ไม่เคยเห็นกัน ผมเขียนจดหมายส่งไปคุณไวตาทิพยนำลงให้ทั้งหมดโดยไม่
เปลี่ยนแปลงแม้แต่คำเดียว แถมลงเชียร์ให้ด้วย
จนกระทั่งประชาชนเขาคิกว่าเราสองคนสนิทกันมาก โดยเฉพาะเรื่องการเมืองด้วยแล้ว ถ้าผมวิจารณ์ตรงๆและทุกคนมองเห็นเหตุผล คุณไวตาทิพยก็ยิ่งสนใจมากที่สุด
อยู่มาวันหนึ่งคุณประยูร จรรณยาวงศ์ เขียนจดหมายมาหาผมแล้วสรุปว่าอาจารย์ครับ เตือนอ้ายปั๋นมันหน่อย มันดื่มเหล้ามากเหลือเกิน ผมเป็นห่วง
ผมรับจดหมายจากคุณประยูรแล้วในใจก็นึกว่า “ผมจะทำยังไงดี หน้าตาคุณไวตาทิพยผมก็ไม่เคยเห็น” จากจดหมายคุณประยูรทำให้ผมรู้ว่าคุณไวตาทิพยเป็นคนเหนือ เพราะคำว่า “อ้ายนั้น” แปลว่าพี่
และ “ปั๋น” เป็นสำเนียงเหนือ ถ้าภาคกลางก็บอกว่า “ปั้น หรือ ปั่น หรือ ปัน” ได้ทั้งนั้น
นี่แหละผมเริ่มคิดว่าหน้าตาเราก็ไม่เคยเห็นกัน พูดคุยทางโทรศัพท์ก็ยังไม่เคยสักครั้งเดียว คุณประยูรจะให้ผมเตือนคุณไวตาทิพยผมจะใช้วิธีอะไร ในใจนั้นผมรู้ตลอดเวลาและเป็นห่วงคุณไวตาทิพย์
ว่าถ้าแกดื่มจัดสุขภาพจะเสียหาย
ผมจึงใช้วิธีเขียนจดหมายไปหาตามปรกติและวิจารณ์เรื่องการเมืองซึ่งค่อนข้างรุนแรงตามกระแสสังคม แต่ผมใช้ศิลปะในการเขียนโดยแทรกเอาเรื่องสุขภาพของคนทำงานหนักเข้าไปไว้ด้วย
จดหมายฉบับนั้นได้ผลครับ แต่ผลที่ได้รับจะเป็นยังไงฟังผมต่อไป
อยู่มาวันหนึ่งคืนวันนั้นเป็นเวลาประมาณ 5 ทุ่มเห็นจะได้ มีคนโทรศัพท์มาจากเชียงใหม่ พอผมรับโทรศัพท์ก็ได้ยินคำพูดที่ว่า “อาจารย์ครับ จดหมายของท่านอาจารย์แจ็คพอทแล้วครับ
ผมย้อมถามกลับไปว่าแจ็คพอทอะไร เธอก็บอกว่าแจ็คพอทเพราะคุณไวตาทิพยแกเสียชีวิตแล้วครับ และจะมีการรดน้ำศพที่วัดเสมียนนารีในวันพรุ่งนี้
วันนั้นผมออกไปทำงานต่างจังหวัด แต่รีบกลับกรุงเทพฯเพื่อไปให้ทันรดน้ำศพคุณไวตาทิพย
ไม่มีใครสังเกตหรอกครับตอนที่ผมลงไปนั่งคุกเข่าอยู่ข้างศพ สายตาก็จับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของเธอ เพราะเกิดมาก็ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน เขียนเรื่องถึงกันก็ไม่เคยเห็นหน้า ผมใช้มือซ้ายจับมือของ
เธอไว้หลังจากนั้นจึงค่อยๆรินน้ำอบลงในมือ
ผมนั่งพิจารณาอยู่ตรงนั้นนานพอสมควร ผมจึงลุกขึ้นจากตรงนั้น พอถึงปากประตูก็พบพยาบาลคนหนึ่งยืนดักอยู่ตรงนั้น
เธอพูดกับผมว่า “ท่านอาจารย์คะ คุณปรีชา เขาสั่งไว้ก่อนเข้าห้องผ่าตัดว่า คุณช่วยเรียนท่านอาจารย์ระพีด้วยว่าผมขอฝากกราบขอบพระคุณอย่างยิ่ง”
นี่แหละครับคือเรื่องราวระหว่างไทยรัฐกับผม
ผมกับไทยรัฐมีคนที่ผูกพันกันอยู่หลายคน สื่อทุกคนดีทั้งนั้น และผมก็ถือว่าท่านเหล่านี้คือลูกหลานของผมด้วย ผมยังมีเรื่องคุณไวตาทิพยต่ออีก เพราะอยู่มาวันหนึ่งภรรยาคุณไวตาทิพยกับลูกชายอีก
คนหนึ่งได้มาพบผมเพื่อฝากเนื้อฝากตัว ผมรู้ว่าภรรยาคุณไวตาทิพยทำงานออกร้านขายหมี่กรอบชื่อดังอยู่ที่วัดมหันต์
ช่วงนั้นหมี่กรอบวัดมหันต์เป็นที่นิยมกันอย่างกว้างขวาง
สังเกตได้จากแม้แต่กระทงที่ใส่หมี่กรอบก็เป็นกระทงใบตองแห้ง
พ่อผมก็ชอบรับประทานหมี่กรอบวัดมหันต์ด้วย
อยู่มาวันหนึ่งผมเดินทางไปทำงานในภาคใต้ ขณะที่ขึ้นเครื่องบินจากสงขลากลับกรุงเทพฯ ผมได้อ่านหนังสือพิมพ์ไทยรัฐจึงทราบว่าลูกชายของคุณไวตาทิพยถูกจี้อยู่ที่กลางถนนในขณะที่ช่วงนั้น
โจรกำลังชุกชุมมาก
ด้วยความห่วงใยผมจึงติดต่อไปหาภรรยาคุณไวตาทิพแล้วถามเรื่องราวต่างๆจนเป็นที่ทราบชัดแล้วจึงติดต่อประสานกันว่าทำอย่างไรหลานชายคนนี้จึงจะอยู่อย่างปลอดภัยในขณะที่เขาต้องเดินกลับ
จากการเรียนเวลาค่ำคืน
คุณติ๊กครับ ผมจำได้ทุกคน ว่างๆมาคุยกันบ้างก็จะดีครับ
ผมเคยพูดกับทุกคนว่า “กาลเวลาไม่มีตัวตน” เพราะฉะนั้นอย่าไปยึดติดมันมากนัก ผมต้อนรับทุกคนแม้เวลาค่ำคืน
ขอบคุณมากครับ
บ้านระพี สาคริก พหลโยธิน 41 จตุจักร กรุงเทพฯ 10900
ระพี สาคริก
7 ตุลาคม 2556 — ที่ บ้านระพี สาคริก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น