PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

พท.' ถูกจำกัด 'ชินวัตร' หมดตัวเล่นจับตา 'บิ๊กจิ๋ว' คัมแบ็กในบท 'คีย์แมน'


ข่าวทั่วไป หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ -- อาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม 2558 00:00:21 น.


ทีมข่าวการเมือง

สร้างความประหลาดใจไม่น้อย สำหรับกรณีคณะ กรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทร ทัศน์ (กสท) ในคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาต "PEACE TV" ซึ่งเป็น "รูหายใจ" ของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และพรรคเพื่อไทย ในช่วงที่คณะรักษาความสงบถือกระบองมาตรา 44 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 กดการเคลื่อนไหวต่างๆ ของกลุ่มการเมืองเอาไว้


แม้จะเป็นการดำเนินการโดย "กสทช." ในฐานะที่มีอำนาจโดยตรงเรื่องนี้ มีการแจกใบเหลืองก่อนจะให้ใบแดงตามกฎกติกา แต่ "ฝ่าย นปช."มั่นใจว่า ลำพัง "กสทช." ไม่มีความเด็ดขาดพอในการลงมือ หากไม่ได้รับสัญญาณ "ไฟเขียว" จากฝ่ายอำนาจ

เนื่องจากการ "ปิดสื่อ" ในภาวะที่สิทธิเสรีภาพกำลังเบ่งบานในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แม้แต่ยุคเผด็จการทหารในปัจจุบันยังไม่สามารถละลาบละล้วงได้ 100% เพราะถือเป็นเรื่องใหญ่มากที่จะโดนข้อหา "ปิดกั้น" การรับรู้ของประชาชนอันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน

การลงมือสั่ง "จอดำ" กับ "PEACE TV" จึงจำเป็นต้องมีการชั่งตวงผลกระทบที่จะออกมาพอสมควรว่า "คุ้ม" ที่จะทำ เพราะมันสุ่มเสี่ยงที่จะสร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มคนเสื้อแดงที่อาจรู้สึกว่า ถูก "รุกไล่" ฝ่ายเดียว ในขณะที่ "สื่อเลือกข้าง" ลักษณะเดียวกันช่องอื่นยังสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้

หากย้อนกลับไปดูความเคลื่อนไหวของ "PEACE TV" ในช่วงก่อนจะจอดำ พบว่า ในวันที่ 10 เมษายน ถูก "กสท" พักใบอนุญาตออกอากาศเป็นเวลา 7 วัน เนื่องจากมีเนื้อหากระทบต่อความมั่นคงภายในประเทศ ก่อนจะกลับมาออกอากาศได้อีกครั้งในวันที่ 18 เมษายน กระทั่งวันที่ 27 เมษายน "กสท" ได้มีมติเพิกถอนใบอนุญาต โดยให้เหตุผลว่า มีการกระทำผิดซ้ำซาก

ความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจก่อน "ฟางเส้นสุดท้าย" จะขาด เป็นช่วงจังหวะที่ 2 แกนนำ นปช.คนสำคัญ "ตู่" จตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. และ "เต้น" ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช. ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นการเมืองถี่ขึ้น เนื้อหาบางส่วนมีลักษณะท้าทาย และเพิ่มดีกรีปลุกเร้ามากขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับ ทั้งที่เคยมีการทำข้อตกลงกันแล้ว

ซึ่งนอกจากการตักเตือนภายใต้กติกาของ "กสท" ที่ทำแล้วหลายครั้ง ในส่วนของการพูดคุยแบบภายใน ฝ่ายความมั่นคงเองได้มีการส่งสัญญาณถึงความ "ไม่สบายใจ" ในเนื้อหามาแล้วหลายรอบเช่นเดียวกัน ดังนั้น เมื่อฝ่ายหนึ่งละเมิดข้อตกลง ยุทธการ "ตัดไฟตั้งแต่ต้นลม" จึงเกิดขึ้นฝ่ายความมั่นคงทราบดีว่า การสั่งปิด "ทีวีเสื้อแดง" ย่อมหลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จะสร้างความไม่พอใจให้กับมวลชนจนอาจนำไปสู่การหาเงื่อนไขไปปลุกระดม แต่หากไม่ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งเลย การรอมชอมอาจเป็นการผลักไปสู่ "ความได้ใจ"ได้เช่นกัน

อีกทั้งมีการประเมินว่า การสั่ง "จอดำ" หนนี้จะไม่ลุกลามใหญ่โตจนควบคุมไม่ได้ เพราะไม่ได้เป็นการไล่บล็อก "สื่อแดง" ที่มีทั้งหมดในประเทศ แต่ดำเนินการเพียงบางช่องเท่านั้น ในขณะที่เครือข่ายเดียวกันอย่าง "VOICE TV" ยังสามารถออกอากาศได้ตามปกติ

ผลกระทบจากการปิด "PEACE TV" ในครั้งนี้ยังไม่ได้สร้างแรงกระเพื่อมในมิติอื่นๆ มากนัก โดยเฉพาะเรื่องโฆษณา ซึ่งหากเป็นช่องที่ป๊อปปูลาร์คงทำได้ลำบาก ในขณะที่ "PEACE TV" เอง ขับเคลื่อนไปได้เพราะมีผู้สนับสนุนเรื่องทุน ไม่ได้พึ่งโฆษณาเหมือนช่องอื่นๆ

นอกจากนี้ การสั่ง "จอดำ" ทีวีของกลุ่มคนเสื้อแดงครั้งนี้ยังใช้ทฤษฎี "อย่างไรก็เกลียด" เป็นเครื่องชั่งตวงก่อนตัดสินใจ เพราะต่อให้ "ปิด" หรือ "ไม่ปิด" คนเสื้อแดงเองไม่มีทางหันมานิยมชมชอบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้อยู่ดี

ที่สำคัญ การใช้อำนาจเด็ดขาดหนนี้ยังเป็นการ "เชือดไก่ให้ลิงดู" เพื่อปรามไปยัง "สื่อเลือกข้าง" ช่องอื่นๆ ที่อยู่ในข่ายตักเตือนไปแล้วหลายหนให้ระมัดระวังอย่า "ล้ำเล้น" ข้อตกลงที่ทำกันไว้

อย่างไรก็ตาม การลาจอของ "PEACE TV" เกิดขึ้นในห้วงเวลาเดียวกับการกลับมาเป็นตัวละครสำคัญทางการเมืองอีกครั้งของ "บิ๊กจิ๋ว" พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรีหนำซ้ำยังเกี่ยวพันกับกลุ่ม นปช.แบบเหมาะเจาะกับเวลา โดยเฉพาะภาพการร่วมรับประทานอาหารกับแกนนำ นปช. และผู้บริหาร "PEACE TV" นอกจากนี้ยังมีบทสัมภาษณ์กับสื่อช่องดังกล่าวในประเด็นที่ถูกพาดพิงว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุคาร์บอมบ์บริเวณลานจอดรถห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เฟสติวัล เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อคืนวันที่ 10 เมษายน

น่าสนใจสำหรับการเคลื่อนไหวของ "บิ๊กจิ๋ว" ทั้งในรูปแบบที่จงใจให้เป็นข่าว และในรูปแบบที่ไม่จงใจให้เป็นข่าวในช่วงนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางเข้าไปวางพวงหรีด และกล่าวกับกำลังพลของผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย (ผรท.) ก่อนที่จะเกิดเหตุคาร์บอมบ์ขึ้นจนนำมาสู่การถูกพาดพิง

หลังจากนั้น "บิ๊กจิ๋ว" ยังปรากฏตัวอีกครั้ง ในการเดินทางไปเป็นประธานในงานเลี้ยงสังสรรค์ครบรอบ 7 ปี การก่อตั้งชมรมปิยะมิตรไทย และรำลึกครบรอบ 28 ปี การเข้าร่วมพัฒนาชาติไทย ของอดีตกลุ่มโจรคอมมิวนิสต์มลายา (จคม.) ที่โรงแรมลี การ์เด้นส์ พลาซ่า อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อวันที่ 27 เมษายน

การเดินทางไปพบปะเยี่ยมเยียนอดีต ผรท. แม้เพิ่งจะมาปรากฏเป็นข่าวในช่วงนี้ แต่ที่ผ่านมา "บิ๊กจิ๋ว" เองมีการเดินสายลักษณะนี้อย่างต่อเนื่องมา 1-2 ปีแล้ว โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสานที่มีการจัดตั้ง "สมาพันธ์ ผรท." ซึ่งเป็นเครือข่ายที่มีจำนวนมหาศาล และเป็นเนื้อเดียวกับกลุ่มคนเสื้อแดงแบบแยกกันไม่ออก

เป็นตัวละครสำคัญที่โผล่ขึ้นมาในช่วงคาบลูกคาบดอกของการเมืองไทย และเป็นการเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญระหว่างที่ประเทศไทยกำลังเตรียมตัวเข้าสู่โรดแม็พระยะที่ 3 ซึ่งกำลังมีการถกเถียงประเด็นร่างรัฐธรรมนูญร่างแรกอยู่ในสังคม

ก้าวย่างของ "บิ๊กจิ๋ว" กับการรุมวิพากษ์วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญของบรรดานักการเมือง แกนนำกลุ่มการเมืองต่างๆ แม้จะเป็นคนละบริบทกัน แต่กลับมีความสอดประสานกันไม่น้อย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งร่างรัฐธรรมนูญร่างแรกฉบับของ "ดร.ปื๊ด" บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธาน กมธ.ยกร่างฯ และทีมงาน เปิดโอกาสให้ "กลุ่มการเมือง" สามารถลงรับเลือกตั้งได้ ในขณะที่สถานะของ "พรรคเพื่อไทย" จะถูกจำกัดพื้นที่และจำนวน ส.ส.โดยระบบเลือกตั้งแบบใหม่ที่พรรคใหญ่ได้รับผลกระทบโดยตรง

การเคลื่อนไหวพบปะ ผรท.อย่างต่อเนื่องในช่วงระยะหลังมานี้ของ "บิ๊กจิ๋ว" ถูกมองว่าเป็นการเตรียมพร้อมหากร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เปิดโอกาสให้ "กลุ่มการเมือง" ลงเลือกตั้งหรือไม่

ซึ่งเป็นไปได้ไม่น้อยหากจะมีการปรับหมากในกระดาน โดยให้ "บิ๊กจิ๋ว" เป็นเสมือน "แม่ทัพ นปช." คนใหม่ เพื่อแก้เกมหลังจากที่ฝั่ง "พรรคเพื่อไทย" กำลังถูกไล่ต้อนในกระบวนการยุติธรรมและกติกาในอนาคต

เป็นการเตรียมการรองรับในสภาวะที่ "พรรคเพื่อไทย" มีที่เดินจำกัดในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และเป็นการเตรียมการรองรับในสภาวะที่ "ตระกูลชินวัตร" ถูกบล็อกทางการเมืองหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็น "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี หรือ "สมชาย วงศ์สวัสดิ์" อดีตนายกรัฐมนตรีแม้ภาพในช่วงหลายปีที่ผ่านมา "บิ๊กจิ๋ว" จะถูกมองว่าอยู่ภายใต้บงการของ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี แต่ความจริงแล้วบทบาทของ "บิ๊กจิ๋ว" ไม่ใช่บุคคลที่ "พ.ต.ท.ทักษิณ" จะสั่งซ้ายหันขวาหันในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาได้แบบนักการเมืองคนอื่นๆ หากแต่เป็นบุคคลที่สามารถสร้างอำนาจต่อรองทางการเมืองได้

มีเครือข่ายและมวลชนของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น ผรท.ที่เป็นเนื้อเดียวกับคนเสื้อแดงหรือกลุ่มเกษตรกรบางส่วน ตลอดจนนายทหารทั้งที่เกษียณอายุราชการไปแล้วและยังอยู่ในราชการ ซึ่งเป็นคนที่ "พ.ต.ท.ทักษิณ" จะขอพึ่งในการสร้างอำนาจต่อรองของตัวเองได้

มีการมองว่า หากรัฐธรรมนูญฉบับใหม่กำหนดให้ "กลุ่มการเมือง" ลงสมัครรับเลือกตั้งได้จริงๆ "พรรคเพื่อไทย" อาจเดิน "สองขา" คือ มีทั้งพรรคการเมืองและกลุ่มการเมืองแล้วไหลไปรวมกันในสภาฯ

พรรคเพื่อไทยเล่นเกมสองหน้า "แบบเปิด" ตามน้ำเหมือนทุกพรรคด้วยการอัดรัฐธรรมนูญ ขณะเดียวกัน "แบบปิด" ก็เตรียมรับมือกติกาใหม่ในทุกๆ รูปแบบเหมือนกัน.!!.
////
"มีเครือข่ายและมวลชนของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น ผรท.ที่เป็นเนื้อเดียวกับคนเสื้อแดงหรือกลุ่มเกษตรกรบางส่วน ตลอดจนนายทหารทั้งที่เกษียณอายุราชการไปแล้วและยังอยู่ในราชการ ซึ่งเป็นคนที่ "พ.ต.ท.ทักษิณ" จะขอพึ่งในการสร้างอำนาจต่อรองของตัวเองได้"

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/tpd/2150237

ไม่มีความคิดเห็น: