PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ทิดเทือกยันชัด เปิดอ้า-ไร้กรอบเวลา

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 31 ก.ค. 2558 05:20

เปิดอ้า-ไร้กรอบเวลา พท.จวกยืด‘โรดแม็ป’ ตอกวิษณุกบในกะลา
“สุเทพ” นำทีม 12 แกนนำ กปปส.เปิดตัวมูลนิธิมวลมหา ปชช. เพื่อปฏิรูปประเทศ “ทิดเทือก” นั่งแป้นประธานคุมบังเหียนกดดันรัฐบาล คสช.ต้องปฏิรูปให้เสร็จก่อนเลือกตั้ง ไร้กรอบเวลา พร้อมอาสาเป็นกระบอกเสียงตอบโต้ต่างชาติ ลั่นเคลื่อนไหวไม่เกี่ยวโยง ปชป.-ไม่หวนเล่นการเมือง “กษิต” รับหน้าเสื่อช่วยงานด้านต่างประเทศ ก๊วน 40 อดีต ส.ว.เด้งรับ “ไพบูลย์” จ่อชงเข้า สปช. อ้างสางงานหลักให้ลุล่วง “เสรี” เชียร์วางกรอบ-เป้าหมายให้ชัดก่อน ด้าน “ดิเรก” ขวางลำยื้อเวลา ซัดยิ่งเพิ่มปัญหา พท.คาใจ “เทือก” ออกโรงฉลุย ดักคออย่าสร้างเงื่อนไขเขย่าโรดแม็ป นปช.ฉะลั่นกลองรบหวังล้มเลือกตั้ง กมธ.ตั้งแท่นทบทวนรอบสุดท้ายร่าง รธน.มั่นใจไม่อคติเสียงโหวตผ่านแน่ “ปึ้ง” ตอก “บิ๊กตู่” เด็กๆยิงมุกลืมชื่อ “ทักษิณ” ปึ้งเฉ่งวิษณุพวกกบในกะลากล่าวหานายใหญ่ให้ร้ายประเทศ
กรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตแกนนำกปปส.เดินหน้าเคลื่อนไหวทำงานการเมืองภาคประชาชนหลังจากลาสิกขาออกมา ล่าสุดได้เปิดตัว มูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศอย่างเป็นทางการ พร้อมประกาศเจตนารมณ์ผลักดันให้รัฐบาลนี้ต้องปฏิรูปประเทศให้เสร็จสิ้นก่อนจะมีการเลือกตั้ง โดยไม่มีกรอบระยะเวลา
“ทิดเทือก”เปิดตัวมูลนิธิมวลมหา ปชช.
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 30 ก.ค. ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล สี่แยกราชประสงค์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตแกนนำ กปปส. จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศ อย่างเป็นทางการ มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นประธานกรรมการมูลนิธิฯ โดยมีเจ้าหน้าที่ทหารนำโดย พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารพระธรรมนูญ สังกัดกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) พร้อมด้วย พ.ท.ภาสกร กุลวิวรรณ ผบ.ม.พัน. 1 พล.ม.2 นำนายทหารร่วม 10 นาย มาสังเกตการณ์และพร้อมบันทึกภาพเหตุการณ์ ก่อนหารือกับนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รองประธานกรรมการมูลนิธิฯ โดย พ.อ.บุรินทร์ ให้สัมภาษณ์ว่า เป็นการพูดคุยเพื่อตกลงขั้นตอนและการดำเนินงาน ยืนยันว่าการแถลงข่าวหากมีประเด็นที่ผิดไปจากระเบียบหรือมาตรฐานที่เคยปฏิบัติไว้ คือ มีประเด็นทางการเมือง จะดำเนินคดีทางกฎหมายทันที ทั้งนี้ภายในงานยังมีสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมอย่างคึกคัก อาทิ นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู อดีตรองหัวหน้าพรรค นายกษิต ภิรมย์ อดีต รมว.ต่างประเทศและอดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช และนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี อดีต ส.ส.กทม.
ขอเป็นศูนย์กลางดันปฏิรูปก่อน ลต.
ต่อมาเวลา 10.00 น. นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขานุการคณะกรรมการฯ กล่าวเปิดตัวมูลนิธิฯและคณะกรรมการว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ จะรับเป็นประธานมูลนิธิฯ นายถาวร เสนเนียม นายอิสสระ สมชัย นายวิทยา แก้วภราดรัย นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย เป็นรองประธานมูลนิธิฯ นายพุฒิพงษ์ ปุณณกันต์ นายชุมพล จุลใส นายสกลธี ภัทธิยกุล นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ และนายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ ร่วมเป็นคณะกรรมการมูลนิธิฯ ตนเป็นเลขานุการมูลนิธิฯ และ น.ส.จิตภัสร์ กฤดากร เป็นผู้ช่วยเลขานุการฯ โดยมีวัตถุประสงค์การจัดตั้งมูลนิธิฯคือ 1. สนับสนุนการศึกษาวิจัย สัมมนา หรือการประชุม รวบรวมความรู้ ความคิดเห็น ในรูปแบบต่างๆเกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศ การเมือง เศรษฐกิจ และสังคม 2.ติดตามศึกษารวบรวม และวิเคราะห์รายงานข้อมูลและสถานะของประเทศเป็นระยะ 3. ดำเนินการเพื่อสาธารณประโยชน์หรือร่วมมือกับองค์กรการกุศลอื่นๆ 4. ส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขด้วยความเป็นกลาง

“ณัฐวุฒิ” เย้ยอนาคตประเทศอนาถาถึงขั้นต้องมีมูลนิธิมาดูแล

“ณัฐวุฒิ” เย้ยอนาคตประเทศอนาถาถึงขั้นต้องมีมูลนิธิมาดูแล ชี้เหมือนเป็นผลดีแต่ยิ่งกดดันรัฐบาล

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช. กล่าวว่า ความเคลื่อนไหวของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับมูลนิธิมวลมหาประชาชนนั้น ชวนให้ฉุกใจคิดว่า เรามาถึงจุดที่อนาคตประเทศไทยดูอนาถาจนถึงขั้นต้องมีมูลนิธิเข้ามาดูแลได้อย่างไร การแสดงตัวเป็นพวกเดียวกัน และประกาศสนับสนุนปฏิรูปก่อนเลือกตั้งโดยไม่มีกรอบเวลานั้น ดูเหมือนจะเป็นผลดี แต่แท้จริงแล้วเป็นการสร้างแรงกดดันใส่รัฐบาลที่ยืนยันโรดแมปมาตลอด เป็นไปได้ว่า ปฏิรูปก่อนเลือกตั้งจะเป็นข้ออ้างที่ใช้สร้างสถานการณ์ต่างๆ ขึ้นมาอีก ทั้งที่นับวันคำว่าปฏิรูปก็ดูเลื่อนลอยไร้รูปธรรมมากขึ้นทุกที ลองเอาทุกคนที่นั่งบนเวทีแถลงข่าวมาแยกห้องให้อธิบายคำว่าปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง เชื่อว่าจะไปกันคนละทิศละทาง ถ้าเปลี่ยนคำพูดเป็นจัดการอีกฝ่ายให้เสร็จก่อนเลือกตั้งนั้น น่าจะตรงความจริงมากกว่า
นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่อ้างว่า จะเสนอเนื้อหาปฏิรูปหรือรัฐธรรมนูญนั้น ก็สงสัยว่าเขาทำกันปีกว่าจนเกือบเสร็จแล้ว จะมาเสนออะไรตอนนี้ รวมความก็คือแถลงทางการเมืองทั้งสิ้น แต่ดูเหมือนรัฐบาลจะจงใจไม่ได้ยิน ทั้งนี้ หากประเมินให้ลึกลงไปอีกจะเห็นว่า สถานการณ์นี้ปี่กลองเริ่มเชิด บนเวทีมีนักมวยอยู่เต็มไปหมดจนชักมองไม่ออกว่าใครจะชกกับใคร หรือใครเป็นพวกใคร ทางออกเดียวที่เกิดประโยชน์สูงสุดคือ ต้องมีกติกาที่เป็นสากลโดยประชาชนเป็นกรรมการ และก่อนที่รัฐบาลจะเดินหน้าต่อไปนั่น อยากฝากสำนวนไทยไว้เป็นข้อคิดว่า เดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด แต่ถ้าเดินตามกำนันให้ระวังกำนันกับพวกดีๆ ก็แล้วกัน 
“การแถลงข่าวคราวนี้ ถือเป็นมาตรฐานใหม่เพราะกลุ่มผู้แถลงสามารถแต่งกายแบบเดียวกับที่ใช้เคลื่อนไหวก่อนยึดอำนาจได้ ในสัปดาห์หน้า ผมตั้งใจจะชวนแกนนำนปช.ใส่เสื้อสีแดงเปิดแถลงข่าวเรื่องสถานการณ์นกกรงหัวจุกในประเทศไทยบ้าง ก็มั่นใจว่าจะได้รับอนุญาต ส่วนรายละเอียดจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง”นายณัฐวุฒิกล่าว 

ประยุทธ์พระเอ้ก พระเอก !!

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
31 กรกฎาคม 2558 01:18 น.

เกาะกระแส
       
       00 ถ้าบอกว่าในบรรดาผู้นำของหลายชาติที่เป็น"พระเอก" ก็น่าจะนับเอา "ลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคสช.ของเราติดไปด้วยอีกคนหนึ่งเป็นแน่ ดูอย่างกรณีที่สหรัฐอเมริกา "กดหัว" ประเทศไทย ด้วยการคงอันดับ"เทียร์ 3" นั่นคืออยู่ในกลุ่มที่ไม่มีการแก้ปัญหาการค้ามนุษย์หรือการค้าทาสยุคใหม่รุนแรง ความหมายก็คือ ไทยอยู่ในกลุ่มประเทศป่าเถื่อน ล้าหลังเหมือนกับอีกหลายประเทศที่สหรัฐฯ เป็นคนชี้นิ้วกำหนดให้เป็น แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ได้ยิ้มรับ ไม่สนใจ บอกว่าเราทำดีที่สุดแล้ว เรามีมาตรการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง แม้ผลจะออกมาแบบนี้ เราก็จะเดินหน้าแก้ปัญหาอย่างเข้มข้นต่อไป จะร่วมมือกับองค์กรต่างประเทศ และนานาชาติต่อไป แถมยังแสดงความยินดีกับมาเลเซีย เพื่อนบ้านของเราที่ได้รับเลื่อนอันดับขึ้นมาเป็น เทียร์ 2 นอกจากนี้ยังออกมาปรามคนที่เป็นเดือดเป็นแค้นที่เราถูกกระทำโดยการรณรงค์ในโลกโซเชียลฯ บอยคอตสินค้าสัญชาติอเมริกัน แต่ลุงตู่ ก็ออกมาเบรกว่าอย่าทำเลย แหม พระเอ้ก พระเอกซิไม่มีละ !!
       
       00 แต่เอาเถอะ จะอย่างไรก็แล้วแต่ แต่น่าจะถึงเวลาที่เราจะต้องหันมาดูแลตัวเองอย่างจริงจังเสียที โดยเฉพาะการปฏิรูปภายในทุกภาคส่วนที่เวลานี้เหมือนกับว่า "หยุดนิ่ง" กับที่แล้ว และสิ่งที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังหัวหมุนอยู่ ก็เป็นเรื่องเศรษฐกิจปากท้องที่กำลังที่กำลังมีปัญหาหนักข้อขึ้นทุกวัน ซึ่งก็ถูกต้องแล้วที่ต้องเอาเวลาไปหมกมุ่นแก้ปัญหา เพราะเกี่ยวข้องกับชาวบ้าน แต่ก็ต้องต้องไม่ลืมเช่นเดียวกันว่า หากโครงสร้างเดิมๆ ยังอยู่ ระบบข้าราชการยังห่วยแตกอยู่แบบนี้ และที่สำคัญ นี่คือความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่จะนิ่งเฉยไม่ได้เป็นอันขาด ที่ผ่านมามักจะอ้างว่าก็กำลังพิจารณาในสภาปฏิรูปฯ สนช.กำลังพิจารณากม.หลายฉบับ มีการยกร่างรธน. ทุกอย่างกำลังเดินไปตามโรดแมป มันก็ใช่ แต่มันรู้สึกล่องลอยพิกล เพราะผู้นำไม่ได้มีท่าทีชัดเจน หรือมีการส่งสัญญาณเอาจริงเอาจังให้เห็น มิหนำซ้ำยังไม่สนใจ โยนไปให้รัฐบาลหน้า ความหมายแบบบ้านๆ ก็คือ "กูไม่ยุ่งแล้ว" อย่างนั้นหรือเปล่า
       
       00 เรื่องปฏิรูปตำรวจก็เฉย ไม่สนใจแล้ว การกระจายอำนาจ ก็เงียบ หลังจากเจอขรก.มหาดไทยเป่าหู ซึ่งแน่นอนว่า จะแก้ปัญหาหรือปรับโครงสร้างหน่วยงานใด หากไปถามหน่วยงานนั้นฝ่ายเดียวมันก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ เหมือนกับการปฏิรูปตำรวจ ถ้าให้ตำรวจเป็นคนทำ คำตอบก็รู้ล่วงหน้าอยู่แล้ว ก็ไม่ต่างจากการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา มท.1 ไปถามบิ๊กมท. ก็รู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมได้เลย
       
       00 กำลังได้บทเรียนสาสมขึ้นทุกวันสำหรับ ทักษิณ ชินวัตร ที่ไม่สำนึก ยังสำคัญตัวเองผิด ด้วยการอาสาขอมาช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจของไทยให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็โดนตอกกลับไปจนหน้าหงายว่า "ลืมชื่อ" คนแบบนี้ไปนานแล้ว แม้แต่ "ลูกน้องเก่า" อย่าง วิษณุ เครืองาม ที่มาวันนี้ให้บทเรียนกลับไปอย่างเจ็บแสบว่า "แค่หยุดพูดทำลายชาติ" ก็ถือว่าช่วยแล้ว ไงล่ะ ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ พับเผื่อย !!
       
       00 น่าจับตาจริงๆ กับบทบาทของ สุเทพ เทือกสุบรรณ หลังจากลาสิกขาออกมา ล่าสุด ประกาศว่าจะเดินหน้าเร่งรัดให้เกิดการปฏิรูป 6 ข้อ ตามฉันทามติของมวลมหาประชาชน ภายใต้มูลนิธิมวลมหาประชาชนฯ โดยไม่หวนกลับไปปชป. อีก ไม่ลงเลือกตั้ง ไม่รับตำแหน่งทางการเมือง แต่คำถามก็คือบรรดาแกนนำคนอื่นล่ะ จะเล่นการเมืองอยู่หรือเปล่า !! 

รมว.มท. ไม่กังวลความเคลื่อนไหวของนายสุเทพ เนื่องจากเห็นว่าไม่มีประเด็นทางการเมือง

รมว.มท. ไม่กังวลความเคลื่อนไหวของนายสุเทพ เนื่องจากเห็นว่าไม่มีประเด็นทางการเมือง และเป็นเพียงการแถลงทิศทางของมูลนิธิเท่านั้น ซึ่งส่วนตัวเห็นว่าเป็นทิศทางที่ไม่มีปัญหา
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีความเคลื่อนไหวหลังการลาสิกขาบท ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำกลุ่ม กปปส. ในการแถลงข่าวจัดตั้งมูลนิธิมวลมหาประชาชนเมื่อวานนี้ (30 ก.ค. 58) โดยไม่มีความรู้สึกกังวล เนื่องจากเห็นว่าเนื้อหาที่แถลง เป็นเพียงการกำหนดทิศทางของมูลนิธิ ซึ่งสอดคล้องกับโรดแมปของ คสช. และยังอยู่ภายใต้การสอดส่องจากเจ้าหน้าที่ทหาร-ตำรวจเป็นอย่างดี จึงเห็นว่าไม่เป็นประเด็นทางการเมืองแต่อย่างไร
ส่วนความเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองอื่นๆนั้น พล.อ.อนุพงษ์ ยืนยันว่าจะใช้มาตรฐานเดียวกันในการดูแลทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม หากจะมีกลุ่มการเมืองอื่น ออกมาเคลื่อนในลักษณะเดียวกัน ก็ต้องให้ คสช.เป็นผู้พิจารณาความเหมาะสม

โอ๊ค โพสFB:ที่ยืนเรียงหน้ากันอยู่นี่ มีใครกล้าพูดมั๊ยครับว่า น่าจะมีสักคน ที่ไม่ใช่นักการเมือง..??

ที่ยืนเรียงหน้ากันอยู่นี่ มีใครกล้าพูดมั๊ยครับว่า น่าจะมีสักคน ที่ไม่ใช่นักการเมือง..??
บอกเลย นักการเมืองล้วนๆ 100% ครับ แต่ที่ปัจจุบันเรียกตัวเองว่านักการเมืองไม่ถนัดปาก เป็นเพราะว่าเมื่อเล่นกันตามเกม สู้กันตามระบอบประชาธิปไตย กลับต้องพ่ายแพ้เลือกตั้งทุกครั้ง เป็นอย่างนี้ติดต่อกันมาร่วม 20 ปี มันก็ต้องใช้วิธีตุกติกนอกกติกา เพื่อให้ได้กลับมาเป็นรัฐบาลกันบ้าง
ไม่ต้องย้อนยุคไปถึงตอนใช้ "วิชามาร" ส่งคนไปตะโกนในโรงหนัง เพื่อหวังจัดตั้งรัฐบาลหรอกครับ เอาแค่ 20 ปีที่ผ่านมา เขาทำกันอย่างไร พรรคฯที่แพ้เลือกตั้ง จึงจะได้เป็นรัฐบาลกับเขาบ้าง
ครั้งแรก ใช้" วิชาหมองู" จับงูเห่าพลิกมาอยู่ข้างตัวเอง จึงได้เป็นรัฐบาล
ครั้งที่ 2 ใช้ "วิชาทหารราบ" จัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร จึงได้เป็นรัฐบาล
มาครั้งล่าสุด ใช้ "วิชานกหวีด" หวังปฏิรูปประเทศด้วยการ เตะหมูเข้าปากทหาร แล้วคิดว่าจะเอื้อต่อพรรคพวกตนในการเลือกตั้งครั้งหน้า แต่ปัจจุบันกลับส่งผลกระทบรุนแรงต่อ ภาวะเศรษฐกิจ ต้องซบเซาย่ำแย่กันไปหมด ทั้งในระดับเจ้าสัว ปานกลาง และรากหญ้า เดือดร้อนกันไปทุกหย่อมหญ้า บวกกับการไม่ยอมรับ จากเกือบทุกประเทศทั่วโลก เศรษฐกิจจึงจมดิ่งในทุกระดับ
"เรามาถึงจุดๆนี้ กันได้อย่างไร"
เริ่มจากนักการเมืองกลุ่มนี้หรือไม่? ที่แปลงกายเป็นชาวบ้าน ด้วยการลาออกจากนักการเมือง แล้วสถาปนาตัวเอง เป็นมวลมหาประชาชน ปลุกม็อบปั่นป่วนบ้านเมือง เขี่ยลูกใส่พาน วิงวอนขอรถถังออกมาวิ่ง จนกระทั่งสำเร็จ
เมื่อทหารออกมายึดอำนาจ ได้ปกครองประเทศสำเร็จ ก็มีเหตุการณ์ที่ตัวหัวโจกนำป่วนเมืองดันผิดคิว ไปตลกบริโภคทวงบุญคุณทหาร ส่งใบเสร็จค่าป่วนเมือง 1,000 ล้าน ปรากฏไม่มีขุนพลคนไหนขำด้วย จึงต้องหนีไปบวช บ้านเมืองก็ทำท่าจะสงบอยู่พักหนึ่ง
ปรากฏว่าอยู่ๆก็ลาสิกขาบท สึกออกมาได้ไม่ถึงชั่วโมง ก็แผลงฤทธิ์ดอกแรกด้วยการ ทำหนังสือสั่งผบ.ตร.ไม่ให้ย้ายกองบัญชาการตำรวจภูธรฯ ออกไปจากจังหวัดตัวเอง ตามด้วยดอก 2 ใน 2-3 วันต่อมา ด้วยการแถลงข่าวการเมืองล้วนๆ โดยอ้างชื่อมูลนิธิฯเป็นตัวบังหน้า อย่างที่เห็นกัน
การเมืองหรือไม่การเมือง เด็กอมมือมันก็ดูออกครับ คอยดูกันเถอะที่ว่าไม่เล่นการเมือง เรียงหน้ากันอยู่บนเวทีทั้งหมดนี่ พอใกล้เลือกตั้งเมื่อไหร่ วิ่งกลับเข้าสังกัดพรรคฯ ลงเลือกตั้งแทบทั้งหมด เหลือไม่เกิน 1-2 คนหรอกที่อยู่เฝ้ามูลนิธิฯ คอยเป็นหัวเชื้อป่วนเมือง เพื่อกู้ชีพให้พรรคในยามแพ้เลือกตั้งครั้งหน้า คอยดูเถอะ
ย้ำกันอีกทีก็ได้ ที่เห็นยืนหน้าสลอนบนเวที บอกไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองกันอยู่นี่ คนไหนที่จะไม่ลงเลือกตั้งในครั้งหน้า ช่วยแมนๆกู้ศรัทธาคืน ด้วยการประกาศตัวออกมาให้ชัดเจนหน่อย
พวกสาวกนกหวีดก็เหมือนกัน เจ็บแล้วต้องจำกันบ้าง ครอบครัวจะอดตาย เงินเดือนน้อย ข้าวของแพง บางคนต้องตกงาน ในขณะที่ บ้านต้องเช่า ข้าวต้องซื้อ ค่าเทอมลูกต้องจ่าย แล้วเราจะอยู่กันอย่างไร
เรามาถึงจุดนี้กันได้อย่างไร..? เจ็บแล้วต้องจำกันบ้างครับ
ไม่ใช่ว่าพอยังมีลมหายใจกันอยู่ ก็เอาแต่เป่ากันอย่างเดียว
ปรี๊ดด..ปรี๊ดด..ปรี๊ดด..ปรี๊ดด..ปรี๊ดด..!!
ภาพจาก ไทยรัฐออนไลน์

ชูวิทย์ โพส : รู้ทันสุเทพ

รู้ทันสุเทพ
“สุเทพเปิดตัวมูลนิธิมวลมหาประชาชน ยันปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ไปพร้อมกับ คสช.”
ผมพูดถึงคุณสุเทพในสถานะที่แตกต่างกันอย่างต่อเนื่อง จนวันนี้ประชาชนอยากรู้ว่า คุณสุเทพจะรอดพ้นความรับผิดชอบต่อสถานการณ์การเมืองที่เกิดขึ้นจากตัวเองอย่างไร?
ผมพยายามอย่างมากที่จะให้ความเป็นธรรมกับคุณสุเทพ แม้ว่าจะยากเย็นต่อการกระทำดังกล่าว
คุณสุเทพเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงจาก "ระบอบประชาธิปไตย" ไปสู่ "รัฐบาลทหาร" จากนั้นก็โกนหัวเข้าวัด ให้ทุกคนเข้าใจว่าเป็นผู้เสียสละ ทำเพื่อประเทศชาติ และจะหันหลังให้การเมืองมุ่งสู่ร่มกาสาวพัสตร์
แต่ขณะบวชเป็นพระก็ยังอดไม่ได้ช่างใจไม่อยู่ แสดงตัวสนับสนุนรัฐบาลทหารว่าเป็น "พวกของเรา" และมองอีกฝั่งที่อยู่ตรงกันข้ามว่าเป็น "พวกอื่น" อย่างกับตอนอยู่ในสภา เป็น ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ไม่ผิดเพี้ยนทั้งๆที่ห่มผ้าเหลือง
พอสึกพ้นประตูวัด ขนคิ้วยังไม่ทันขึ้น ก็รีบจัดตั้ง "มูลนิธิมวลมหาประชาชน" หยอดคำหวานใส่ คสช. ว่าจะขอร่วมลงเรือปฏิรูปด้วย
ที่จริงแล้ว คุณสุเทพส่งสัญญาณทวงบุญคุณรัฐบาลทหารเสียมากกว่า "ที่มีวันนี้ได้ เพราะ กปปส. จัดให้"
คุณสุเทพยังย้ำต่อว่า มูลนิธิไม่ยุ่งเกี่ยวการเมือง ไม่เกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์ แต่ขอโทษนะครับ ที่นั่งหน้าสลอนกันอยู่บนเวทีแถลงข่าวก็นักการเมืองทั้งนั้น แถมสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ล้วนๆ
ผมหวนคิดถึง "กำนันสุเทพ" ที่ล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์เมื่อสองปีก่อน บรรดากองเชียร์พากันบูชา เชื่อว่าคุณสุเทพไม่ผิดคำพูด ทำเพื่อประเทศชาติ แล้วจะเลิกเล่นการเมือง กลายเป็นคนแก่หลังเกษียณ ใช้ชีวิตเลี้ยงหลานอยู่ที่สุราษฎร์อย่างมีความสุข
ท้ายสุดคุณสุเทพ "สับขาหลอก" ใช้วาทกรรม "ไม่ยุ่งเกี่ยวการเมืองในสภา แต่ขอจัดการเมืองภาคประชาชน" หักหลังมวลมหาประชาชนคนกลางที่หลงเชื่อหัวปักหัวปำตอนเป่านกหวีด
ให้มันได้อย่างนี้สิ พ่อคนดีของมวลมหาประชาชน (ประชาธิปัตย์)
อำนาจทางการเมืองไม่ได้มีพื้นฐานมาจากความจริงเท่านั้น คุณสุเทพจึงยังคงไม่ยอมหยุด
ที่ต้องจับตาดูคุณสุเทพ ไม่ใช่เฉพาะประชาชนอย่างเราๆท่านๆ แต่รัฐบาลทหารเองก็อย่าวางใจก็แล้วกัน
ดีไม่ดี รู้ไม่ทัน พลาดท่าไปหลงเชื่อคุณสุเทพ แล้วจะหาว่าชูวิทย์ไม่เตือน

สองภารกิจ “ทิดสุเทพ” ป้อง คสช.- ปั้น “มาร์ค” ขึ้นผู้นำ

สองภารกิจ “ทิดสุเทพ” ป้อง คสช.- ปั้น “มาร์ค” ขึ้นผู้นำ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
31 กรกฎาคม 2558 07:26 น

รายงานการเมือง

      
       ภายหลังลาสิกขาจบ บทบาท “พระสุเทพ ปภากโร” กลับมาสามัญชนคนธรรมดาที่รู้กันดีในนาม “สุเทพ เทือกสุบรรณ” เลขาธิการ กปปส. ทำให้ทุกองคาพยพทางการเมืองหันมาจับจ้องความเคลื่อนไหวของ “ลุงกำนัน” อีกครั้ง
      
       รู้กันดีว่า “ลุงกำนัน” คือ ศูนย์รวมใจของเหล่า กปปส. ที่ต่อสู้อย่างยาวนาน จนเปิดช่อง - เปิดเกมให้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยึดอำนาจ “รัฐบาลปูแดง” จนพูดกันไปว่า “สุเทพ” รู้กันกับ “ประยุทธ์” ก่อนการยึดอำนาจ
      
       และยืนยันความปึ้กไปอีกหลังรัฐประหารที่ “บิ๊กตู่” โดย คสช. เปิดไฟเขียวให้ “กำนันสุเทพ” และพลพรรคเคลื่อนไหวทางการเมืองในพื้นที่ภาคใต้ได้อย่างอิสระ ต่างจาก “นักการเมือง” ขั้วตรงข้ามที่ถูกขังตาย - ขังลืม ไม่ให้มีโอกาสกระดิก หรือเคลื่อนไหวในพื้นที่ฐานเสียงได้อย่างอิสระ จนบางคนเริ่มออกมาบ่นกันว่า อีกไม่นานคงอดตาย
      
       งานแรกของ “ลุงกำนัน” คือ การออกนำ 12 อดีตแกนนำ กปปส. ที่ออกหน้าร่วมกันนำม็อบอยู่ร่วมปีแปลงร่างเป็น “คณะกรรมการมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศ” โดยประกาศ 3 ภารกิจหลัก
      
       1. ระดมประชาชนที่มีทัศนคติ - อุดมการณ์ทางการเมือง ที่สอดคล้องกับ กปปส. ร่วมกันเป็นเจ้าของมูลนิธิมวลมหาประชาชน แต่ตั้งเงื่อนไขรับบริจาคเฉพาะเงินคนไทย เพื่อจะยืนยันว่า เงินทุกบาท - ทุกสตางค์ ไม่มีเบื้องหลัง เหมือนขั้วตรงข้าม
      
       2. ยืนยันเจตนารมณ์ของมูลนิธิที่ต้องการปกป้องชาติ - สถาบัน - ประชาชน โดยเฉพาะกรณีที่นานาชาติ - องค์กรระหว่างประเทศ ที่ไม่เข้าใจการทำงานจะส่งคนในเครือข่าย อาศัยคอนเนกชันเก่า เข้าชี้แจงทำความเข้าใจทันที
      
       โดยข้อนี้ “ลุงกำนัน” มอบหมายให้ “กษิต ภิรมย์” อดีต รมว.ต่างประเทศ อาศัยคอนเนกชันเก่า ๆทางการทูตทำความเข้าใจทันที เพราะรู้กันดีว่า “จุดอ่อน” ของ “รัฐบาลบิ๊กตู่” อยู่ที่เกมการเมืองระหว่างประเทศ ที่ไม่สามารถสู้รบปรบมือกับ “นช.แม้ว” ที่มีพลังเงินมหาศาล จนสามารถจ้างผีโม่แป้ง ระดม “ล็อบบียิสต์” รุมถล่มรัฐบาลและประเทศไทยได้
      
       บทเรียนล่าสุดที่โดน “นช.แม้ว” เล่นงาน คือ การประกาศจัดอันดับการค้ามนุษย์ของสหรัฐอเมริกาที่ “ดอน ปรมัตถ์วินัย” รมช.ต่างประเทศ ยังออกมายอมรับเองว่า มี “ล็อบบียิสต์” จากฝากฝั่งยุโรปเขียนโจมตีไทย เพื่อกดดัน “มะกัน” ให้คงลำดับไทยให้อยู่เทียร์ 3 ต่อไป
      
       ทว่า เหมือน “ลุงกำนัน” ยังไม่ไว้ใจ “กษิต” มากนัก เพราะมีรายการผิดคิวกันกลางฟลอร์เล็ก ๆ เมื่อสื่อพยายามซักถาม “กษิต” แต่กลับโดนปิดไมค์กะทันหัน นั่นเพราะ “ลุงกำนัน” รู้นิสัยใจคอกันดี ว่า เป็นพวกไหลไปตามน้ำ ขณะนี้ กปปส. กระแสพอได้มีมวลชนในมือ “กษิต” ที่ไม่ได้เป็นเนื้อแท้ กปปส. จึงไม่ควรมีแอกชันมาก ส่วน “กษิต” เองก็เต็มใจที่จะเล่นบท “กาฝาก” ตามที่ถูกวางตัวไว้
      
       ภารกิจข้อที่ 3 มูลนิธิมวลมหาประชาชนฯ จะถูกจัดตั้งให้เป็นศูนย์กลางรับข้อเสนอปฏิรูปประเทศ พร้อมสนับสนุนรัฐบาล - คสช. ให้ปฏิรูปจนสำเร็จ โดยไม่เกี่ยงว่าต้องใช้เวลานานเท่าไร
      
       บรรทัดนี้ต้องขีดเส้นใต้คำว่า “ไม่เกี่ยงว่าต้องใช้เวลานานเท่าไร” ไว้ด้วย
      
       เหมือน “ลุงกำนัน” ทำงานคู่ขนานไปกับรัฐบาล - คสช.- สนช.- สปช. ในการปฏิรูปประเทศ เพื่อวางโครงสร้างการเมืองในอนาคต โดยอาจจะมีธงสกัดกั้น “ใครบางคน” และเปิดทางให้ “ใครบางคน” โดยไม่สนใจว่า จะทอดยาวจนเลยโรดแมปของ คสช. หรือไม่อย่างไร
      
       ยังคงยึดถือวลี “ปฏิรูปให้เสร็จก่อนเลือกตั้ง” เป็นสรณะอย่างหนักแน่น
      
       สิ่งที่ชัดเจนมาที่สุดจากปาก “ลุงกำนัน” คือ การตัดขาดลาจาก “พรรคประชาธิปัตย์” แม้ทางปฏิบัติจะไม่ร่วมสังฆกรรมกันจริง ๆ แต่ในทางลับจำเป็นต้องเดินคู่ขนานกันไป เพราะอย่าลืมว่า “มวลชน” ฐานเสียงของของ “พรรคสีฟ้า” มีไม่น้อยที่ศรัทธาพรรค แต่ไม่ได้ศรัทธา “ลุงกำนัน” และมีไม่น้อยเช่นกันที่ศรัทธา “ลุงกำนัน” แต่ไม่ศรัทธาพรรค
      
       เมื่อฐานเสียง - มวลชน ยังคงทับซ้อนกันอยู่ จึงไม่มีเหตุผลที่ “ลุงกำนัน” จะตัดขาด “พรรคสีฟ้า” แบบไม่ให้เหลือเยื่อใยในตอนนี้ เพราะยังคงต้องใช้ยุทธศาสตร์น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าต่อไป
      
       ที่สำคัญ อย่าลืมว่า จากก้นบึ้งหัวใจของ “ลุงกำนัน” นอกจากลูก - เมียแล้ว มี “พี่มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นี่แหละที่ “ลุงกำนัน” รักหมดหัวใจ ตราบใดที่ “มาร์ค” ยังคงสวมหัวโขนเป็นหัวหน้าพรรคอยู่ “ลุงกำนัน” ก็ไม่มีวันทิ้ง “พี่มาร์ค” ไปได้
      
       แต่ที่ต้องประกาศลาขาด เพราะต้องการแสดงให้ว่าแนวทางปฏิรูปประเทศที่จะเดินไปปราศจากการเมือง หากยังติดบ่วงคอ ปชป. ราคาทางการเมืองของ “ลุงกำนัน” จะลดลงทันที
      
       จริงอยู่ในช่วงชุมนุม กปปส. มีหลายครั้งหลายหนที่เกิดอาการขบเกลียวกันระหว่าง “อภิสิทธิ์ - สุเทพ” หลายคำพูดถูกนำไปเปรียบเทียบเชือดเฉือนระหว่างกันบ้าง แต่ลึก ๆ แล้วในฐานะที่เคยเป็น “คอหอย - ลูกกระเดือก” กันมาก่อน ทำให้ทั้งคู่เข้าใจบทบาทซึ่งกันและกันดี จึงเชื่อว่าไม่มีอะไรติดค้างในใจ
      
       การประกาศตัดขาดจากพรรคประชาธิปัตย์ของ “สุเทพ” ยังซ่อนกลเอาไว้เพียบ เพราะชั่วโมงนี้ “ลุงกำนัน” รู้ดีว่าสถานะของ “พี่มาร์ค” ในพรรคไม่ค่อยจะมั่นคงสักเท่าไร มีความพยายามจากมือที่มองเห็น - คนที่รู้จักกันดี พยายามเลื่อยขาเก้าอี้ผู้นำพรรค เพื่อเตรียมการสำหรับการเลือกตั้งหนต่อไป
      
       ซึ่ง “สุเทพ” ย่อมรู้ตื้นลึกหนาบางในพรรคดี หากมี “คลื่นใต้น้ำ” ที่ว่า ก็ต้องผ่าน “ลุงกำนัน” ให้ได้ก่อน เพราะแม้จะตัดขาดออกมานำม็อบเต็มตัว แต่ก๋ยังมีอิทธิพลอยู่คับ “พรรคสีฟ้า”
      
       สถานะของ “ลุงกำนัน” ในฐานะผู้นำมูลนิธิมวลมหาประชาชนฯ จึงเป็นทั้งองครักษ์ปกป้อง “รัฐบาลบิ๊กตู่” ให้อยู่ในอำนาจอย่างปลอดภัย และนานที่สุดเท่าที่จะต้านทานกระแสได้ เป็นองครักษ์ประจำกาย “พี่มาร์ค” ที่จะค้ำชูให้ขึ้นเป็น “ผู้นำประเทศ” อีกสมัย
      
       ชั่วโมงนี้ “มูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศ” ได้สถาปนาตัวเองเป็นมูลนิธิทางการเมืองไปแล้ว ถนนทุกสายจึงจับจ้องมากเป็นพิเศษ เรียกได้ว่า ไม่แพ้มูลนิธิดัง ๆ อย่าง “มูลนิธิรัฐบุรุษ” ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี “มูลนิธิป่ารอยต่อฯ” ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี
      
       จับตาดูให้ดีว่าขุนทหาร - นักธุรกิจ - นักลงทุนคนไหน ควักกระเป๋าบริจาคเงินให้ “มูลนิธิ กปปส.” อาจชี้ให้เห็นถึงนัยทางการเมืองได้เป็นอย่างดี รวมทั้งยังสะท้อนพลังต่อรองทางการเมือง และแสดงให้เห็นภาพรวมการเมืองในอนาคตได้
      
       ไทม์มิงลาสิกขาของ “ลุงกำนัน” ประจวบกับไทม์มิง “ขาลง” ของ “รัฐบาลบิ๊กตู่” ที่ปัญหารุมเร้าทุกด้าน นี่คือ จังหวะที่ “ลุงกำนัน” ต้องลงมาเดินหมากด้วยตัวเอง
      
       งานนี้มีหวังว่า เมื่อมีการปรับ ครม. หรือชงชื่อ “ว่าที่รัฐมนตรี” คงต้องมีสื่อไปถาม “ลุงกำนัน” ว่าไฟเขียวหรือไม่ด้วยกระมัง 

“สมชาย” นมัสการครูบาน้อยเตชปัญโญ ลงนะหน้าทอง 9 จุด หลังฝันร้ายกลัวจะเป็นจริง



“สมชาย” นมัสการครูบาน้อยเตชปัญโญ ลงนะหน้าทอง 9 จุด หลังฝันร้ายกลัวจะเป็นจริง
เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 30 ก.ค. ที่วัดศรีดอนมูล ต.ชมภู อ.สารภี จ.เชียงใหม่ นายสมชาย วงค์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี และญาติ พร้อมผู้ติดตามจำนวนหนึ่ง เดินทางเข้ากราบนมัสการ พระครูสิริศีลสังวร หรือครูบาน้อยเตชปัญโญ เจ้าอาวาสวัด และเป็นครูบาดังทางภาคเหนือ และแจ้งสาเหตุที่เดินทางมาวัด เนื่องจากฝันบางอย่างแล้วทำให้รู้สึกไม่สบายใจ จึงตัดสินใจเดินทางมาทำบุญและกราบนมัสการครูบาน้อย เพื่อให้ช่วยให้คำแนะนำและให้ศีลให้พร เพื่อเป็นสิริมงคลและไม่ให้จิตใจฟุ้งซ่านคิดมาก
จากนั้นทางครูบาน้อยก็ทำพิธี ลงนะหน้าทองให้กับนายสมชายในแบบ 9 จุดทั้งที่ตัวหน้า-หลัง และที่หน้าผาก ที่แก้มซ้ายขวา ฝ่ามือทั้งสอง รวม 9 จุด จากนั้นก็ทำพิธีโดยใช้ไม้เท้าของหลวงปู่ทิม สัมผัสจุดทองเปลวทั้ง 9 ที่ตัวของนายสมชาย จากนั้น ก็ใช้ไม้เท้าของหลวงปู่ทิมเป่าคาถา ที่กระหม่อมให้อีกและทางวัดมอบ พระรูปหล่อครูบาน้อยให้กับนายสมชาย และสายสิญจน์สีแดงใส่ข้อมือทั้งสองให้กับนายสมชายเป็นอันเสร็จพิธี
นายสมชาย เปิดเผยว่า ตอนนี้ตนอายุ 68 ปี แล้วเมื่อวานฝันบางสิ่งบางอย่าง ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ และคิดว่าฝันดังกล่าวนั้นจะเป็นความจริงด้วย จึงได้ตัดสินใจเดินทางมาหาครูบาน้อยเตชปัญโญ เพื่อให้พระเดชพระคุณท่านให้คำแนะนำ ซึ่งท่านก็แนะนำให้ตนคิดดี และปล่อยวาง อย่ายึดติดทำใจให้สบาย เมื่อคิดดีสู่ดีพูดดี ทุกอย่างก็จะดี เมื่อได้รับคำแนะนำและได้รับศีลและพรจากครูบาน้อยทำให้ตนรู้สึกสบายใจอย่างมาก

วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

สว.สหรัฐสงสัยการประเมินเทียร์3ไทย

ขอ”แคร์รี”สรุปรายงานค้ามนุษย์ | เดลินิวส์
„ขอ”แคร์รี”สรุปรายงานค้ามนุษย์ ประธานคณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์ วุฒิสภาสหรัฐ สงสัยรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ประจำปี 2015ว่าเหตุใดทั้งมาเลเซียกับคิวบาถึงหลุดจากกลุ่มเทียร์ 3 ทั้งที่ยังล้มเหลวในการปราบปรามการค้ามนุษย์เช่นกัน วันพฤหัสที่ 30 กรกฎาคม 2558 เวลา 0:59 น. สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตันประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่30ก.ค.ว่านายบ็อบ คอร์เกอร์ประธานคณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์วุฒิสภาสหรัฐ จากพรรครีพับลิกันและนายเบน คาร์ดินวุฒิสมาชิกจากพรรคเดโมแครตแสดงความกังขาในรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ประจำปี2015จึงได้ทำหนังสือถึงนายจอห์นแคร์รี รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐขอให้แถลงบรรยายสรุปเรื่องรายงานสถานการณ์ดังกล่าวด้วยซึ่งเผยแพร่ไปเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ประธานคณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์และ วุฒิสมาชิกสหรัฐ ระบุว่าต้องการความเข้าใจที่ชัดเจนมากกว่านี้สำหรับข้อเท็จจริงพื้นฐานที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐได้ยกระดับหลายประเทศเช่น มาเลเซีย กับ คิวบาซึ่งหลุดพ้นจากกลุ่มเทียร์3ขึ้นไปอยู่กลุ่มเทียร์2โดยที่ความน่าเชื่อถือของสหรัฐขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของรายงานซึ่งได้จัดอันดับรัฐบาลของ188ประเทศทั่วโลกว่าด้วยการปราบปรามการค้ามนุษย์ กลุ่มสิทธิมนุษยชนและสมาชิกรัฐสภาสหรัฐจากพรรคเดโมแครตต่างกล่าวหากระทรวงการต่างประเทศสหรัฐว่ามีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดอันดับโดยเฉพาะในกรณีของมาเลเซียประเทศคู่ค้าสำคัญของสหรัฐทั้งที่ล้มเหลวในการปราบปรามการค้ามนุษย์ก็ตาม“

อ่านต่อที่ : http://www.dailynews.co.th/foreign/338284

วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

คนกรุงเบี้ยวจ่ายภาษีพุ่งกว่า 8.6 พันราย กว่า 410 ล้าน

เศรษฐกิจซบเซาหนัก คนกรุงเบี้ยวจ่ายภาษีพุ่งกว่า 8.6 พันราย กว่า 410 ล้าน เผยธุรกิจอพาร์ตเมนต์ หอพัก โรงเรียนมากสุด กทม.กุมขมับ หวั่นจัดเก็บรายได้ 3 ภาษี โรงเรือน-ที่ดิน บำรุงท้องที่ และป้ายไม่เข้าเป้า 6.5 หมื่นล้านหลังยอดจัดเก็บ 10 เดือนยังติดลบเล็งรีดภาษีใหม่เพิ่ม ดีเดย์ ต.ค.นี้เก็บภาษีน้ำมัน 800 ปั๊ม 50 สตางค์/ลิตร ปี"59 เตรียมใช้แผนที่ภาษีมาสแกนทุกตารางนิ้ว หวังเก็บรายได้เพิ่ม หาเงิน 7 หมื่นล้านลงทุนโครงการปีหน้า สร้างสารพัดโครงการ ทั้งรถไฟฟ้าโมโนเรล อุโมงค์น้ำยักษ์ และถนน
นางสมรรัตน์ อรรถนิตย์ ผู้อำนวยการกองรายได้ สำนักการคลัง กรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ปีงบประมาณ 2558 กทม.ได้ตั้งเป้ารายรับไว้จำนวน 65,000 ล้านบาท ขณะนี้ได้มีการจัดเก็บไปแล้วประมาณ 90% หรือประมาณกว่า 57,000 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถเร่งรัดการเก็บได้ครบ 100% ก่อนหมดปีงบประมาณ 2558 ยังเหลือเวลาอีก 2 เดือนนับจากนี้



เบี้ยวจ่ายภาษีพุ่งกว่า 8 พันราย

อย่างไรก็ตาม จากภาวะเศรษฐกิจไม่ค่อยดีทำให้การจัดเก็บรายได้ในช่วงที่ผ่านมาของ กทม.ต่ำกว่าเป้า โดยสะท้อนจากการจัดเก็บภาษี โดยพบว่าสถิติการจัดเก็บรายได้ 3 ภาษี ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2557-วันที่ 30 มิถุนายน 2558 ประกอบด้วย 1.ภาษีโรงเรือนและที่ดินจัดเก็บได้ 9,356.24 ล้านบาท ต่ำจากเป้ากำหนด 11,132 ล้านบาท อยู่ประมาณ 15.95% 2.ภาษีบำรุงท้องที่จัดเก็บได้ 118.04 ล้านบาท ต่ำจากเป้ากำหนด 133 ล้านบาท อยู่ประมาณ 11.25% และ 3.ภาษีป้ายจัดเก็บได้ 709.68 ล้านบาท ต่ำจากเป้ากำหนด 783.5 ล้านบาท อยู่ประมาณ 9.42%

ผู้อำนวยการกองรายได้กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังพบว่าปีนี้มีผู้ไม่มาชำระภาษีมากขึ้น ซึ่งจากการสำรวจข้อมูลเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาปรากฏว่ามีจำนวนลูกหนี้ค้างชำระอยู่หลายรายในแต่ละสำนักงานเขตเนื่องจากปัญหาภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจนทำให้ประชาชนขาดสภาพคล่องจำนวนรวม 8,691 ราย คิดเป็นจำนวนเงิน 410.77 ล้านบาท

ธุรกิจอพาร์ตเมนต์-หอพักมากสุด

แบ่งเป็นภาษีโรงเรือนและที่ดินจำนวน 2,267 ราย จำนวนเงิน 393.42 ล้านบาท ภาษีบำรุงท้องที่จำนวน 6,334 ราย จำนวนเงิน 3.09 ล้านบาท และภาษีป้ายจำนวน 81 ราย จำนวนเงิน 14.26 ล้านบาท โดยธุรกิจส่วนใหญ่ที่ค้างชำระ อาทิ ธุรกิจอพาร์ตเมนต์ หอพัก โรงเรียน เป็นต้น

สำหรับพื้นที่เขตมีการจัดเก็บภาษีได้มากที่สุด 10 ลำดับแรก ได้แก่ 1.เขตวัฒนา จำนวนกว่า 652 ล้านบาท 2.เขตลาดกระบัง 295 ล้านบาท 3.เขตพระนคร 197 ล้านบาท 4.เขตบางกอกน้อย 152 ล้านบาท 5.เขตมีนบุรี 144 ล้านบาท 6.เขตบางพลัด 129 ล้านบาท 7.เขตราษฎร์บูรณะ 102 ล้านบาท 8.เขตดุสิต 85 ล้านบาท 9.เขตหนองจอก 62 ล้านบาท และ 10.เขตทวีวัฒนา 41 ล้านบาท

ปีหน้าใช้แผนที่มาสแกนภาษี

ด้านนายกฤษฎา ศิริพิบูลย์ ผู้อำนวยการสำนักการคลัง เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2559 กทม.มีโครงการจะจัดทำแผนที่ภาษีเพื่อให้การจัดเก็บภาษีครบถ้วนและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงนำมาเป็นข้อมูลเพื่อจัดเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดิน เนื่องจากแผนที่ภาษีจะมีการลงรายละเอียดว่าพื้นที่ไหนที่มีการจัดเก็บภาษีไปแล้วและเป็นจำนวนเท่าไหร่ โดย กทม.จะประสานไปยังกรมที่ดินเพื่อขอรายละเอียดโฉนดที่ดิน แล้วนำพื้นที่ที่ต้องการเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดินใส่ลงไปในแผนที่

"พื้นที่ไหนหากมีการจัดเก็บแล้วก็จะเป็นสีแดง ยังไม่ได้จัดเก็บก็จะเป็นสีเหลือง จะมีความสอดคล้องกับภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของรัฐบาลที่มีนโยบายจะจัดเก็บด้วย"

รีดภาษีเพิ่ม-ประเดิมน้ำมันต.ค.นี้

นายกฤษฎากล่าวต่อว่ามีแนวโน้มปีนี้การจัดเก็บรายได้ของกทม.จะไม่เข้าเป้า 65,000 ล้านบาท เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไม่ค่อยดีทำให้การจัดเก็บภาษีต่าง ๆ ลดลง ทั้งนี้ได้เร่งรัดให้สำนักงานเขตทั้ง 50 เขตจัดเก็บภาษีให้ครอบคลุมมากขึ้น รวมถึงเพิ่มการจัดเก็บรายได้และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ให้มากขึ้น และเพื่อเป็นการเพิ่มรายได้มากขึ้น จะมีการจัดเก็บภาษีใหม่เพิ่มคือภาษีน้ำมันและก๊าซปิโตรเลียมในอัตรา 5 สตางค์ต่อลิตร จากสถานประกอบการค้าปลีก จำนวน 800 แห่ง จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคมนี้เป็นต้นไป คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 400-500 ล้านบาทต่อปี และยังมีการจัดเก็บค่าที่จอดรถยนต์ที่สาธารณะด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับงบประมาณปี 2559 กทม.ได้ยื่นเสนอขอจัดสรรงบประมาณต่อสภาไว้จำนวน 70,700 ล้านบาท มากกว่าปีงบประมาณปี 2558 ประมาณ 5,000 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาอนุมัติจากสภา กทม. คาดว่าจะแล้วเสร็จในวันที่ 28 สิงหาคมนี้ โดยแบ่งเป็นงบประมาณสำหรับดำเนินการจำนวน 53,000 ล้านบาท และงบลงทุนจำนวน 17,000 ล้านบาท

เร่งลงทุนโมโนเรล-อุโมงค์ยักษ์ 

โดยแผนงานโครงการใหม่ที่สำคัญคือโครงการรถไฟฟ้ารางเดี่ยว(โมโนเรล) สายสีเทาระยะแรก ช่วงวัชรพล-ลาดพร้าว-ทองหล่อ และเส้นทางบางนา-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ, โครงการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำจากบึงหนองบอนลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา, โครงการก่อสร้างถนนศรีนครินทร์-ร่มเกล้า เป็นต้น

สำหรับหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรงบประมาณมากที่สุดใน 5 ลำดับแรก คือ 1.สำนักการระบายน้ำ จำนวน 8,700 ล้านบาท 2.สำนักสิ่งแวดล้อม จำนวน 8,400 ล้านบาท 3.สำนักการโยธา จำนวน 5,400 ล้านบาท 4.สำนักการจราจรและขนส่ง (สจส.) จำนวน 4,320 ล้านบาท และ 5.สำนักการคลัง จำนวน 3,430 ล้านบาท

อุปทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยแนะวิธีไม่ถูกคว่ำบาตร

อุปทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย  ขอให้ไทยเร่งแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่องและจริงจัง จะได้ไม่ถูกคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ
นายแพทริค เมอร์ฟี อุปทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย  เห็นว่า เรื่องเร่งด่วนที่ประเทศไทยจะต้องทำขณะนี้เพื่อไม่ให้ถูกคว่ำบาตรและได้รับการยกระดับ คือ ต้องเร่งแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง เพราะการประเมินจัดอันดับจะประเมินปีต่อปีเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ถึง 31มีนาคมของทุกปี ซึ่งประเทศไทย ยังมีเวลาที่จะแก้ปัญหาอย่างจริงจัง 
แต่เท่าที่เห็น ในช่วง3 เดือนหลังจากวันที่ 31 มีนาคมที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่และรัฐบาลไทยทำงานได้ดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการออกกฎหมายการเปลี่ยนแปลง ปราบปราม กวาดล้าง และจับกุม แม้แต่เจ้าหน้าที่ระดับสูงที่เข้ามาเกี่ยวพันก็หวังว่าจะไปถึงขั้นการฟ้องศาล จึงขอบคุณรัฐบาลไทยที่ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านทำได้ดี เชื่อว่า การประเมินรอบใหม่น่าจะดีขึ้น

ลาว ฟิลิปปินส์ เมียนมาร์ และอินเดีย ได้รับรางวัลแมกไซไซปีนี้



ลาว ฟิลิปปินส์ เมียนมาร์ และอินเดีย ได้รับรางวัลแมกไซไซปีนี้
นายอันชู กุปตะ ชาวอินเดียผู้ก่อตั้งจิตอาสามูลนิธิหนึ่งเพื่อช่วยเหลือคนจนในอินเดีย เป็นหนึ่งในผู้ได้รับรางวัลแมกไซไซ ประจำปีนี้ โดยมูลนิธิของเขาผลิตผ้าอนามัยราคาถูก ที่ทำมาจากเสื้อผ้าที่ใช้แล้ว เพื่อช่วยเหลือผู้หญิงอินเดียราว 70% ที่ไม่สามารถเข้าถึงสินค้าดังกล่าวได้ ผู้ได้รับรางวัลอีกคนจากอินเดียคือนายซันจีฟ จาตุรเวที ในความพยายามรณรงค์ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น นางคำมาลี ชนะทาวง วัย 71 ปี จากประเทศลาว ได้รับรางวัลจากบทบาทการเป็นแกนนำจัดตั้งกลุ่มทอผ้าให้กับหญิงที่ยากจนในชนบทที่ห่างไกล ที่ตอนแรกเริ่มจากกลุ่มเล็ก ๆ จนกลายเป็นโครงการขนาดใหญ่
นายจอ ตู จากเมียนมาร์ ดาราภาพยนตร์และผู้กำกับชื่อดังได้รับรางวัลจากงานจิตอาสาที่เขาก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2544 ในการช่วยจัดงานศพให้กับผู้ยากจนในกรุงย่างกุ้ง นางลิกายา เฟอร์นันโด-อามิลบังสา จากฟิฟิปปินส์ ได้รับรางวัลจากความพยายามส่งเสริมและอนุรักษ์ศิลปะการฟ้อนรำของชาวฟิลิปปินส์มุสลิมที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ

แรงกระแทกทางเศรษฐกิจในระยะยาว



เตรียมรับแรงกระแทกทางเศรษฐกิจในระยะยาวกันได้แล้วครับ เรากำลังเข้าสู่สงครามเศรษฐกิจอีกครั้งไม่ต่างกับหลายๆ ครั้งที่เราต้องเผชิญมาแล้วในอดีต

ข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ ที่ออกมาเมื่อวันก่อนนั้น การส่งออกของไทยเดือน มิ.ย.2558 ยังคงหดตัวโดยมีมูลค่า 18,161.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 7.87% ไทยเกินดุลการค้า 150 ล้านเหรียญ นั้นผมมองว่าเรื่องนี้คงไม่เกี่ยวกับการเมืองสักเท่าไรเพราะมันไปในทิศทางเดียวกับสภาพเศรษฐกิจโลกที่กำลังซื้อต่ำมาต่อเนื่อง ถ้าจะดูย้อนหลังไปหกเดือน ม.ค.-มิ.ย.58 มีมูลค่า 106,855.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 4.84% ไทยเกินดุลการค้า 3,472.7 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าตัวหลักภาคอุตสาหกรรมที่เคยสร้างเงินเข้าประเทศก็ขายได้น้อย ลงเป็นเพราะการชลอตัวทางเศรษฐกิจของยุโรปและอเมริกาเอง ไม่กี่ยวกับการเมืองของไทยสักเท่าไร แต่มันก็บอกได้อย่างหนึ่งว่าเรายังไม่ฟื้น และมีโอกาสที่ยังจะดิ้น ประงาบ ประงาบ ต่อไปอีกนานพอสมควร

ผมคงไม่แจงรายละเอียดให้อ่านว่าเราส่งออกอะไรแล้วติดลบบ้าง ลองไปหาอ่านเอาจากหน้าเว็บกระทรวงพานิขเอากันเองครับ เวลานี้เรายังไม่โดนกำแพงภาษีจากยุโรปและอเมริกา เรายังไม่โดนแบ็กลิสต์ทางการค้า แต่ในอนาคตเรายังไม่แน่ ถึงเวลานี้เราคงวางแผนของธุรกิจระดับองค์กรจนถึงระดับประเทศใหม่จากเป้าหมายของการโดนเล่นงานในช่วงเวลาข้างหน้าที่เราจะโดนต่อไปในบางเรื่อง เราคงต้องโดนอยู่ในกลุ่ม Tier 3 ที่โดนลากขาไปถึงธุรกิจส่งออกผลิตภัณฑ์ประมง และเรื่องปัญหาธุรกิจการบิน ไปอีกนานจนกว่าเราจะมีรัฐบาลใหม่ที่ถูกใจอเมริกาและยุโรป ซึ่งเวลานี้ผมก็ไม่แน่ใจว่ารัฐบาลใหม่ตามรัฐธรรมนูญใหม่นั้นยังจะปลอดทหารหรือไม่ นายกจะเป็นใคร รูปแบบการเมืองในอนาคตจะอย่างไรก็ไม่อาจจะคาดเดาได้ ถ้าอุตสาหกรรมประมงของเราโดนเล่นงาน ปลาทูน่ากระป๋องของเราที่ส่งออกเป็นอันดับหนึงของโลกก็คงต้องกลายเป็นอดีต อาหารทะเลแช่แข็ง กุ้งสดแช่แข็งและแปรรูป ที่เคยครองตลาดเป็นเจ้าใหญ่คงต้องลดปริมาณลงแบบน่าตกใจ และน่าจะรวมถึงข้าวด้วยที่เราเคยส่งออกเป็นอันดับหนึ่งของโลกก็น่าจะมีผลกระทบไม่ใช่น้อย

เวลานี้รัสเซียก็ยังไม่เอาผ้าพันแผลออกจากการที่โดนโจมตีค่าเงินปีที่แล้ว เงินรายได้หลักเข้าประเทศจากการขายพลังงานก็ลดต่ำลงไปตลอดเวลา จีนก็ฟองสบู่แตก และยังแตกไปเรื่อยๆ ไม่หยุดง่ายๆ แม็คคินซีย์ แอนด์ โค ได้เคยให้ตัวเลขเมื่อต้นปีว่า หนี้โลกใบนี้รวมกันแล้วทะลุ 200 ล้านล้านดอลลาร์ไปไกลพอสมควร ซึ่งส่วนมากคือหนี้จากอเมริกา

ส่วนจีนนั้น จีนยังมีหนี้สินภาคครัวเรือนเกือบครึ่งหนึ่งที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเสี่ยงต่อปัญหาซับไพร์ม และมีการกู้ยืมเงินในประเทศเพิ่มขึ้น 4 เท่า ตั้งแต่ปี 2550 ทำให้ปัจจุบันจีน มีหนี้สินสูงถึง 282% ของจีดีพี หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าจากปี 2550 ดังนั้นการชลอตัวของภาคเศรษฐกิจของจีนตั้งแต่ปีหน้านั้นอาจจะเห็นจีนเบรคหัวทิ่มเอาง่ายๆ

เรามีปัญหาเรื่องตลาดในอนาคตแน่ๆครับ เรามีสินค้าแต่ไม่มีตลาดจะขาย ผมคิดว่าเวลานี้รัฐบาลของเราคงต้องตั้งวอร์รูมในเรื่องนี้เป็นการเร่งด่วนเป็นวาระแห่งชาติอีกเรื่องหนึ่งในการหาตลาดใหม่มาทดแทนตลาดเก่าที่เราอาจจะต้องเสียไป

ผมสงสารเด็กไทยที่จะจบการศึกษาในปีนี้และปีหน้าไปอีกสามปีครับ เหมือนที่ผมสงสารพวกเขาในปี 41 ว่าพวกเขาจบการศึกษามาก็จะเจอสภาพตกงานไปกว่าครึ่ง หรือมีงานทำแต่ก็เงินน้อยงานหนักเหมือนทาส แต่ไม่มีโอกาสที่จะเลือกทางเดินที่ดีกว่านี้

เครดิตภาพ ฟรีดิจิตอลโฟโต้

บิ๊กตู่ วอนอย่าโทษรัฐบาล ขอน้อมรับไทยอยู่Tier 3



บิ๊กตู่ วอนอย่าโทษรัฐบาล ขอน้อมรับไทยอยู่Tier 3 ชี้ไม่เกี่ยวไทยไม่ได้เข้าร่วมTPP ขออย่าโทษสหรัฐ ยันทำมากกว่ารัฐบาลเลือกตั้ง

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวถึงข้อสังเกตที่ไทยไม่ได้เป็นสมาชิกหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือ TPPส่งผลให้ของสหรัฐจัดให้อยู่ในTier 3 ในรายงานด้านค้ามนุษย์ว่า หากเป็นสมาชิกแล้วเราจะได้อะไร รู้หรือไม่ว่าเป็นแล้วจะได้หรือเสียอะไร เพราะถ้าหากเราเป็นสมาชิกก็จะถูกกดดันหลายอย่าง ซึ่งรัฐบาลก่อนอาจแสดงความต้องการเข้าเป็นสมาชิก แต่เมื่อกลับมาดูแล้ว ก็พบว่ามีปัญหาเรื่องสิทธิบัตรยา และสิ่งต่างๆ ตรงนี้จะทำให้คนไทยเสียโอกาส เราได้ชะลอไปก่อน ไม่ใช่ไม่เห็นด้วย เพียงแต่ต้องดูแลคนไทยและประเทศไทยว่ามีความเสียหายอย่างไรบ้าง
“ผมว่าอย่าไปโทษเขาเลยดีกว่า อย่าไปโทษว่าเป็นเพราะการเมืองหรือเพราะอะไร มันไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ท่านไม่สังเกตหรือว่าผมพูดอะไรบ้าง ผมก็พูดแต่เพียงว่าเรายอมรับ สิ่งต่างๆเหล่านี้มันผิดเพราะเราผิด เขามีกติกาออกมาแล้ว แต่ที่ผ่านมาไม่แก้ไข ในเมื่อเขาจะลงโทษแบบนี้ก็ลงโทษไป เราก็ต้องทำของเราให้ดีที่สุด วันหน้ายังไงก็ต้องเป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว ทะเลาะกันไปยิ่งวุ่น แทนที่เขาจะให้ ก็กลับไม่ให้เลย เราบังคับเขาไม่ได้ เราไม่ได้เป็นประเทศมหาอำนาจ ยิ่งทะเลาะกันอยู่แบบนี้ยิ่งไม่มีทางจะได้เป็น เราต้องให้เขาเข้าใจเรา แต่เราก็ต้องมีศักดิ์ศรีโดยต้องดูแลประเทศไทยให้ได้ การค้ามนุษย์รัฐบาลได้ดำเนินการจับกุมและดำเนินคดีกว่าร้อยราย อยากให้ไปดูว่าประเทศอื่นๆที่ได้เลือกจากเทียร์ 3 มีการดำเนินคดีมากน้อยเท่าเพียงใด ก็รู้อยู่แล้ว จะไปไล่ให้มันจนกันไปมาทำไม เราก็เอาประเทศเราเป็นหลัก เขาจะให้หรือไม่ให้ก็เป็นเรื่องของเขา ไม่ได้เกี่ยวกับเรา” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้ภาคส่วนอื่นๆระบุว่าไม่ได้รับความเดือนร้อนจากการที่ไทยอยู่ในอันดับเทียร์ 3 ซึ่งที่ผ่านมาหลายๆประเทศก็เคยอยู่ในอันดับนี้ ทั้งยังเคยโดนใบเหลืองเรื่องประมงผิดกฏหมายมาแล้ว และเมื่อมีการแก้ไขก็สามารถกลับสู่อันดับที่ดีกว่า จึงขออย่ามาเหมาว่าเป็นเพราะตนเป็นรัฐบาล ถามว่าหากตนไม่ได้มาเป็นรัฐบาลทุกอย่างจะหนักกว่านี้หรือไม่ เพราะปัญหาไม่ได้แก้ไข วันนี้เมื่อรัฐบาลแก้ไขแล้วยังไม่ถูกเลื่อนจากเทียร์ 3 ก็มาโทษตนอีก หาว่าเป็นเพราะรัฐบาลไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนั้นทำหรือไม่ ปัญหาจึงมาถึงวันนี้ ส่วนตัวไม่ต้องการเเตะต้องคนอื่น แต่คนเรามีปากก็พูดไปเรื่อยเรื่อย

อินไซด์ห้องประชุมเพื่อไทย ไขรหัส "คุณหญิงหน่อย" ขึ้นเบอร์ 1

29ก.ค.2558
รายงาน
ชื่อคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย เจ้าแม่ ส.ส. "ก๊ก กทม." ถูกโยนขึ้นใน "วงลับ" และ "วงสว่าง" พร้อมๆ กันอย่างเป็นกระบวนการ ทั้งในวงลึก-ที่เกิดเหตุ "เขาใหญ่" ในเครือข่ายคอนเน็กชั่นผู้มีบารมีในรัฐบาล คสช. และวงเล็ก-ที่ห้องประชุมพรรคเพื่อไทย ทุกวันพุธ บนตึกโอเอไอถนนเพชรบุรี 

แม้ว่า "คุณหญิงหน่อย" จะออกตัวปฏิเสธอย่างนิ่มๆ ถึงวาระแห่งชาติ-หลังโรดแมปขั้นที่ 3 ถูกตั้งเป็น "วาระเพื่อพิจารณา" ที่เขาใหญ่อันมีองค์ประชุม ประกอบด้วย พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ผู้ที่เคยเป็นแกนนำพรรคเพื่อแผ่นดิน และเป็นบุคคลที่พรรคพลังประชาชนเคยสนับสนุนเสนอชื่อเข้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังจากนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง เพราะเหตุแห่งการ "ยุบพรรค" 

วาระในวงลับระหว่างฝ่าย "คุณหญิงหน่อย" กับ พล.ต.อ.ประชา กับฝ่ายผู้มีบารมีใน คสช.ที่ถูกอ้างถึง คือบันไดไปสู่การปรองดอง 2 ขั้ว ระหว่างฝ่าย "ชินวัตร" กับฝ่ายรัฐบาล "คสช." โดยมีคดีถอดถอนอดีต ส.ส. 248 ในเป็นเครื่องมือในการต่อรอง 


วาระดังกล่าวนี้มีข้อบันทึกแนบท้ายอย่างไม่เป็นทางการด้วยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร "เห็นชอบ" โดยมอบหมายให้ "คุณหญิงหน่อย" ชูธงเพื่อไทยไปเจรจา ด้วยความเชื่อมั่นว่า "ผู้มีบารมีแห่งบ้านเกษะโกมล คนสำคัญใน คสช." จะช่วยร่วมเจรจากับผู้มีอำนาจอีกแรง 

ขณะที่ขั้วของฝ่าย "เจ๊แดง-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์" ต่อสายถึงเครือข่าย แกนนำในพรรค มีท่วงทำนองว่า "มีคนมาอาสา ขอเป็นคนเจรจา" ซึ่งฝ่าย "ชินวัตร" อนุมัติเฉพาะเรื่องเจรจา "ช่วยชีวิตอดีต ส.ส.เพื่อไทย 248 คน ให้พ้นจากวาระถอดถอน" แต่ไม่เห็นชอบให้ถือธง "เบอร์ 1" ของฝ่ายเพื่อไทย

ท่ามกลางแสงสปอตไลต์ ในงานมงคลของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ฉายส่อง "คุณหญิงหน่อย" ตามคำที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พาดพิงถึง

แต่เป็นคำพาดพิงที่มีหางเสียงสะบัด และรักษาระยะห่างเป็นอย่างยิ่ง ระหว่างนักการเมืองบ้านเลขที่ 111 และ 109 ที่ปรากฏตัวในงานมงคล อาทิ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน, พินิจ จารุสมบัติ, สุวัจน์ ลิปตพัลลภ และสุรเกียรติ์ เสถียรไทย ฯลฯ 

"...ไม่รู้จะทะเลาะเอาอะไรกันนักหนา วันนี้ทุกอย่างต้องเดินหน้าไปให้ได้เพื่อพวกเราทุกคน เราทะเลาะกันไม่ได้อีกต่อไปแล้ว มันต้องมีกติกาที่ทำให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า แสดงความยินดีโดยเฉพาะคุณสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ก็เป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจให้กับผมและคณะรัฐมนตรีโดยตรงอยู่แล้ว ช่วงที่ผ่านมาก็ทำหลายๆ อย่างช่วยให้ผมสามารถทำงานได้ ก็ร่วมมือกันโดยตลอด เพียงแต่ทุกคนมีหน้าที่เหตุผลที่แตกต่างกันออกไป" 


ถ้อยคำที่พาดพิง "คุณหญิงหน่อย" ทำให้เหล่าเซเลบริตี้ในวงธุรกิจ-การเมือง ฟังแล้วนิ่ง-อึ้ง คือ "เหตุผลทั้งหมดคนไทยเก่งทุกคน คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ก็มาเห็นแวบๆ รู้จักกันมาตั้งแต่ผมเป็นพันตรี วันนี้ทุกคนต้องรักษากติกา เดินหน้าประเทศแบบนี้ แล้วนึกถึงคนรุ่นใหม่ เราต้องเตรียมการทำประเทศให้สำหรับคนรุ่นใหม่เข้ามาสร้างความเจริญเติบโตในวันหน้า เราทำให้ทุกอย่างช้าไปไม่ได้อีกแล้ว ทำอะไรก็ตามวันนี้นึกถึงคนที่ยังไม่ได้เกิดบ้าง ประเทศไทยวันนี้ทะเลาะเฉพาะกับคนที่เกิดอยู่ก็วุ่นกันพอสมควรแล้ว วันหน้าลูกหลานต้องเกิดอีกเท่าไหร่ มีอะไรเหลือที่เป็นอนาคตให้เขาบ้าง ผมคิดอย่างนั้น"

คำกล่าวของนายกรัฐมนตรี ยังมีหางเสียง ต่อท้ายโยงฝากไปถึงคนการเมืองที่อยู่ต่างประเทศด้วย "ผมเป็นห่วงอนาคตบ้านเมือง สองคนนี้ไปเรียนเมืองนอก อย่าลืมกลับมานะ ช่วยไปตามคนเก่งๆ กลับมาเยอะๆ ด้วย แต่ไอ้พวกที่หนีไปไม่ต้องเรียกกลับมา" สิ้นเสียงนี้ มีเสียงปรบมือและเสียงเฮดังทั้งงาน 

ต่อด้วยประโยคที่ว่า "วันนี้ต้องมากกว่าเดิม ต้องจับมือกันมากกว่าเดิม ลืมความบาดหมางเสียบ้าง แล้วหาอะไรที่มันทำให้ดีขึ้น ก็คือกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมก็ไปว่ามา ผมไม่สามารถไปยุ่งเกี่ยวได้ ขออนุญาตบอกทางคุณหญิงหน่อยไปด้วย" 

ถ้อยคำเหล่านี้จึงอาจเป็นที่มา และเป็นบันได ให้ชื่อ "คุณหญิงหน่อย" ไต่ขึ้นสูงถึง "เบอร์ 1 เพื่อไทย" 

เมื่อหันไปฟังเสียงแหล่งข่าวจากวงประชุมพรรคเพื่อไทย ก็มีเสียงก้องออกมาว่า "เรื่องการให้คุณหญิงสุดารัตน์ขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ยังไม่ได้มีการพูดคุยกันภายในพรรค เพราะยังไม่ถึงเวลาการพิจารณา แต่คุณหญิงสุดารัตน์ถือเป็นบุคคลสำคัญของพรรค ทำงานให้กับพรรคตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน" 

ส่วนเรื่อง "รัฐบาลแห่งชาติ" ที่เป็นทั้งข่าวลับ-ข่าวรั่ว ก่อนหน้านี้นั้น แกนนำเพื่อไทยกรองให้ฟังว่า "มีสัญญาณจาก คสช.ที่พยายามให้จัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติเพียงครั้งเดียว แต่ถูกปฏิเสธจากแกนนำพรรค โดยเฉพาะนายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรค นายสามารถ แก้วมีชัย ไม่เห็นด้วย"

แกนนำพรรคเพื่อไทย ที่อยู่วงใน-อินไซด์วง "ชินวัตร" วิเคราะห์ด้วยว่า "การที่ คสช.พยายามเสนอทางออกทางการเมืองโดยให้มีรัฐบาลแห่งชาติ เป็นเพราะ คสช.ไม่สามารถบริหารประเทศต่อได้ เพราะระบบการเมืองไม่เอื้อให้อยู่ยาว เนื่องจากเป็นรัฐบาลทหาร จึงเห็นความพยายามปล่อยข่าวเรื่องรัฐบาลแห่งชาติมากขึ้นในช่วงนี้ ผ่านสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นคนของรัฐบาล และเครือข่าย น.พ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส" 

ข่าวปรับคณะรัฐมนตรี ยังคลุกอยู่ในฝุ่นควันการเมืองที่แหลมคม ท่ามกลางการเคลื่อนไหวขึ้นเป็น "หัว" ของพรรคเพื่อไทย และเกมวัดใจระหว่าง "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" กับผู้มีบารมีใน คสช.

ที่มา : ประชาติธุรกิจ
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1438169438

ปตท.ยื่นฟ้อง "นิพิฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา" อดีตผู้บริหารปตท.สผ. ซื้อที่อินโดปลูกปาล์มมิชอบ เสียหาย 2 หมื่นล้าน



ปตท.ยื่นฟ้อง "นิพิฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา" อดีตผู้บริหารปตท.สผ. ซื้อที่อินโดปลูกปาล์มมิชอบ เสียหาย 2 หมื่นล้าน
Cr:ผู้จัดการ

สำนักข่าวอิศรา เผย ปตท.และ PTTGE ยื่นฟ้อง "นิพิฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา" รอง ผจก.ปตท.สผ. ฐานเป็นพนักงานในหน่วยงานรัฐปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ พบซื้อที่ดินอินโดนีเซียทับซ้อนป่าสงวน ไม่สามารถออกเอกสารสิทธิเกษตรกรรมได้ ส่วนที่เหลือก็ไม่คุ้ม แถมพบค่านายหน้าแพงผิดปกติถึง 40 % พบ 5 โครงการเสียหายรวม 20,307 ล้าน

วันนี้ (29 ก.ค.) สำนักข่าวอิศรา นำเสนอข่าว "ฟ้องบิ๊ก ปตท.สผ.เรียก 2 หมื่นล.กล่าวหาทุจริตคดีปลูกปาล์ม อินโดฯ" โดยอ้างว่า บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) และบริษัท พีทีที.กรีน เอ็นเนอร์ยี่ พีทีอี ลิมิเต็ด หรือ PTTGE ได้เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องต่อนายนิพิฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา รองผู้จัดการบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ซึ่งต่อมาถูกดึงตัวมาเป็นผู้อำนวยการโครงการพัฒนาธุรกิจน้ำมันปาล์ม ในนามของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)

โดยนายนิพิฐ ถูกกล่าวหาว่า เป็นพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัท พีทีที กรีน เอ็นเนอร์ยี่ฯ หรือเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เนื่องจากมีการซื้อที่ดินเป็นที่ดินทับซ้อนพื้นที่ป่าสงวนเป็นส่วนมาก ทำให้ไม่สามารถขอให้หน่วยงานในประเทศอินโดนีเซียออกเอกสารแสดงสิทธิในการทำเกษตรกรรมได้ ส่วนที่ดินที่เหลือไม่ทับซ้อนป่าสงวนก็เหลืออยู่ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน นอกจากนี้ยังมีค่านายหน้าในการจัดซื้อที่ดินที่สูงกว่าผิดปกติถึงร้อยละ 40 เป็นต้น นอกจากนี้ สำนวนคำฟ้องดังกล่าว ตอนหนึ่งยังระบุว่า การจัดหาที่ดินเพื่อปลูกปาล์มในโครงการและการดำเนินโครงการนี้ มีความเสี่ยงที่จะเกิดการเสียหาย และสูญเสียเงินในการลงทุน

โดยโครงการที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ลงทุนในนามบริษัท พีทีที กรีน เอ็นเนอร์ยี่ฯ มี 5 โครงการ คือ 1.โครงการ พีที อัซ ซารา แพลนเตชั่น (“PT.Az Zhara”) เข้าลงทุนกับ PT.Az Zhara และบริษัท พีที มิตรา อาเนคา เรเซกิ (“PT.MAR”) ลงทุนปลูกปาล์มในพื้นที่ใหม่บริเวณตอนกลางของเกาะกาลิมันตัน รวม 1.7 แสนเฮกตาร์ แบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรก 1.1 แสนเฮกตาร์ ราคาเฮกตาร์ละ 550 เหรียญสหรัฐ ปตท.เข้าลงทุนในสัดส่วนร้อยละ 55 ส่วนที่สองมีพื้นที่ 6 หมื่นเฮกตาร์ ราคาเฮกตาร์ละ 485 เหรียญสหรัฐ ปตท. ลงทุนในสัดส่วนร้อยละ 95 โดยพบความเสียหาย 1,642,563,599 บาท
2.โครงการ พีที มาร์ (พอนเทียนัค) หรือ PT.MAR (Pontianak) ลงทุนกับ PT.Az Zhara และ PT.MAR ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของเกาะกาลิมันตัน ในบริเวณที่เรียกว่า พอนเทียนัค ประกอบธุรกิจน้ำมันปาล์มในพื้นที่ทั้งหมด 14,000 เฮกตาร์ คิดราคาซื้อหุ้นในพื้นที่ร้อยละ 100 เป็นเงิน 15,500,000 เหรียญสหรัฐ 3.โครงการ พีที มาร์ (บันยัวซิน) หรือ PT.MAR (Banyuasin) ลงทุนในธุรกิจปลูกปาล์มและผลิตน้ำมันปาล์มดิบ โดยการซื้อหุ้นบริษัท PT.Surya hutama suwit (“PT.SHS”) ซึ่งประกอบธุรกิจปลูกปาล์มน้ำมันบริเวณที่เรียกว่า บันยัวซิน จำนวนเงินไม่เกิน 21.5 ล้านเหรียญสหรัฐ มีพื้นที่ปลูกที่เมืองปาเลมบัง ทางตอนใต้ของเกาะสุมาตรา ประมาณ 22,000 เฮกตาร์ พบความเสียหาย รวม 5,248,699,946 บาท
4.โครงการ พีที เฟิร์ส บอร์เนียว แพลนเตชั่น หรือ PT.First Borneo Plantations (“PT.FBP”) ลงทุนกับ PT.FBP ซึ่งมีพื้นที่เพาะปลูกอยู่ในเขตกะลิมันตันตะวันตก รวม 108,000 เฮกตาร์ ซึ่งพื้นที่ทั้งหมดได้รับอนุญาตประกอบกิจการปาล์มน้ำมัน พบความเสียหาย 5,290,456,378 บาท และ 5.โครงการ คัลปาตาลู อินเวสต์ตามา หรือ Kalpataru Investama (“KPI”) ลงทุนกับ PT.KPI เพื่อศึกษาการเข้าลงทุนในโครงการแห่งใหม่ มีพื้นที่ประมาณ 80,000 เฮกตาร์ ตั้งอยู่บริเวณเกาะกาลิมันตะวันออก พบความเสียหาย 7,297,508919.64 บาท รวมค่าความเสียหายทั้ง 5 โครงการรวมทั้งค่าบริหารจัดการรวมทั้งสิ้น 624,850,887 เหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทย 20,307,653,844 บาท

ทั้งนี้ บริษัท พีทีที กรีน เอ็นเนอร์ยี่ หรือ PTTGE ตั้งขึ้นเพื่อลงทุนพัฒนาสวนปาล์มและโรงงานสกัดปาล์มดิบที่ประเทศอินโดนีเซีย จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทที่ประเทศสิงคโปร์ เมื่อ ก.ย. 2550 ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 10,860 ล้านบาท รับนโยบายจากปตท.ปลูกปาล์มในอินโดนีเซีย 3.1 ล้านไร่ หรือ 5 แสนเฮกตาร์ เพื่อส่งออกน้ำมันปาล์มไปขายในตลาดโลก ขณะที่การลงทุนธุรกิจดังกล่าว เป็นอีกหนึ่งโครงการที่ฝ่ายบริหารปตท. หยิบยกขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริง เนื่องจากการดำเนินการพบความผิดปกติ โดยเฉพาะการเข้าไปซื้อที่ดินจำนวนมากเพื่อปลูกปาล์ม และการสร้างโรงงานสกัดน้ำมัน จนกระทั่งมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบบุคคลที่เกี่ยวข้องในโครงการนี้ และได้ส่งเรื่องดังกล่าวไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ตรวจสอบข้อเท็จจริง

ซึ่งทาง พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง กรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนคดีทุจริตเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินเพื่อปลูกปาล์มน้ำมันที่อินโดนีเซียของ บริษัท ปตท. กรีน เอ็นเนอร์ยี่ ให้สัมภาษณ์ 17 ม.ย. ระบุว่า คณะอนุกรรมการฯ ได้รวบรวมพยานหลักฐานจากผู้ที่เกี่ยวข้อง และเอกสารจำนวนมากจึงมีความคืบหน้าพอสมควร แต่ ปตท.ส่งข้อมูลให้ ป.ป.ช.สอบเฉพาะ 5 โครงการที่มีการดำเนินการไปแล้ว อย่างไรก็ดี ป.ป.ช. ยังเสาะหาพยานหลักฐานก่อนที่จะเริ่มโครงการด้วยว่าเป็นมาอย่างไร เบื้องต้นพบความผิดปกติหลายอย่าง เช่น การดำเนินการตามโครงการไม่เป็นไปตามที่บอร์ด ปตท. อนุมัติ และก่อนริเริ่มโครงการนี้มีข้อผิดปกติหลายส่วนทั้งเรื่องที่ดิน ข้อตกลง หุ้นส่วน แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ประเมินว่าสร้างความเสียหายให้รัฐเท่าไหร่ เพราะต้องดูผลประกอบการเทียบกับการลงทุน อีกทั้งยังมีการขายโครงการเพื่อลดภาวะขาดทุนไปหลายโครงการด้วย จึงต้องดูผลลัพธ์จากการขายกับเงินลงทุนที่เสียไปแตกต่างกันอย่างไร ส่วนการไต่สวนอาจต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งเพราะมีเอกสารจำนวนมาก แต่ในขณะนี้พบว่ามี 2 โครงการที่สามารถชี้มูลความผิดได้ ซึ่งจะสรุปออกมาก่อน ส่วนโครงการที่เหลืออยู่ระหว่างการตรวจสอบ ซึ่งผู้ที่ต้องรับผิดชอบก็เป็นไปตามที่ ปตท. กล่าวหามา อีกทั้งยังต้องดูเรื่องบอร์ดและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องด้วย ซึ่งไม่คิดว่าบอร์ดกำลังตัดตอนความรับผิดชอบด้วยการยื่นให้สอบการดำเนินธุรกิจปาล์มของบริษัท ปตท. กรีน เอ็นเนอร์ยี่ เพราะ ป.ป.ช. ดูทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเรื่องบอร์ด ปตท.กรีน เอ็นเนอร์ยี่ ที่เป็นผู้รับผิดโครงการที่ 5 หรือบอร์ดใหญ่ของ ปตท. ว่ามีการดำเนินการอย่างไร

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2554 นายนิพิฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. กรีน เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (PTTGE) เคยกล่าวตอบโต้กรณีฝ่ายค้านตั้งกระทู้สดในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยมีการพาดพิงถึงการลงทุนของ ปตท. ในธุรกิจปาล์มน้ำมันในประเทศอินโดนีเซียว่าไม่โปร่งใส โดยระบุว่า ทำทุกขั้นตอนตามแผน "กระทรวงพลังงาน" ฟุ้ง ปตท.มีรายได้จากธุรกิจดังกล่าวจำนวนมาก ส่วนสาเหตุที่เลือกจดทะเบียน "สิงคโปร์" เพราะเป็นศูนย์กลางการเงินและธุรกิจค้าน้ำมัน (อ่านข่าวทั้งหมด : บิ๊ก "PTTGE" โต้ลงทุนน้ำมันอินโดฯโปร่งใส โกยเงินเข้า ปตท.เพียบ วันที่ 11 มีนาคม 2554)

ไทยตกขบวนเข้าร่วมเป็นคู่สัญญาความตกลงการค้าใหญ่สุดในภูมิภาคอย่าง Trans-Pacific Partnership (TPP)



ผลการถูกจัดอันดับรั้งท้ายในแง่การแก้ปัญหาการค้ามนุษย์และแรงงานทาส ทำให้ไทยตกขบวนเข้าร่วมเป็นคู่สัญญาความตกลงการค้าใหญ่สุดในภูมิภาคอย่าง Trans-Pacific Partnership (TPP) แน่นอน เพราะกฎหมายของสหรัฐฯ (Trade Promotion Authority - TPA) ที่แก้ไขล่าสุด ห้ามไม่ให้รัฐบาลสหรัฐฯ เจรจากับประเทศที่ติดแบล็คลิสต์ Tier 3 ตามรายงาน TIP ไม่ต้องแปลกใจ มาเลย์เร่งแก้ไขปัญหานี้เพื่อให้หลุดจากแบล็คลิสต์ Tier 3 เพื่อจะได้เดินหน้าเจรจาเงื่อนไข TPP กับสหรัฐฯ
TPP เป็นสัญญาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับอีกหลายสิบประเทศ มูลค่าการค้าประเทศเหล่านี้รวมกันเกือบครึ่งหนึ่งของโลก ประเทศที่เข้าร่วม TPP แถว ๆ นี้ นอกจากมาเลย์ ก็มีเวียดนาม สิงคโปร์ บรูไน ฟิลิปปินส์ “quid pro quo” ประเทศที่เข้าร่วม TPP ต้องปรับปรุงมาตรฐานด้านแรงงาน ส่งเสริมเสรีภาพคนงาน เพื่อแลกกับการส่งสินค้าไปขายในสหรัฐฯ ด้วยอัตราภาษี 0% เวียดนามเป็นประเทศหนึ่งที่น่าจะได้ประโยชน์มาก (จากการส่งออกเสื้อผ้าและรองเท้าปีละกว่าหมื่นล้านเหรียญไปสหรัฐฯ)
ส่วนไทยฝันหวานไปก่อน อย่างน้อยต้องให้หลุดจาก Tier 3 ที่แย่คืออุตสาหกรรมส่งออกอาหารทะเล ซึ่งเราเป็นหนึ่งในสิบผู้ส่งออก seafood รายใหญ่สุดของโลก ปีหนึ่งมีมูลค่าส่งออก 7 พันล้านเหรียญ จ้างงานกว่าสามแสนคน สหรัฐฯ เป็นตลาดใหญ่สุดของเรา (1.7 พันล้านเหรียญ/ปี) แต่ที่ผ่านมาเพราะปัญหาการค้ามนุษย์และแรงงานทาสนี่แหละทำให้การนำเข้าขอสหรัฐฯ ไม่กระเตื้องขึ้นมา รายงาน TIP รอบนี้ กระทบหนักแน่นอน ยิ่งถ้าเจอคว่ำบาตรด้วยละก็...
อธิบดีอัยการต่างประเทศโพสต์เฟสบุ๊ก แสดงความเห็นสหรัฐฯ กดดันtier 3 ต้องการทำลายการส่งออก เชื่อเรื่องต่อไปเล็งโจมตีเรื่องมาตรฐานการบิน
นายวันชัย รุจนวงศ์ อธิบดีอัยการสำนักต่างประเทศ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญเรื่องการค้ามนุษย์ ได้โพสต์เฟสบุ๊คแสดงความเห็นกรณี ที่สหรัฐฯ เปิดเผยรายงานสถานการณ์ค้ามนุษย์ของไทยปีนี้ (พ.ศ.2558) โดยไทยคงอยูในระดับต่ำสุดหรือประเทศที่มีปัญหาการค้ามนุษย์รุนแรงที่สุด หรือ Tier 3 ว่า ตอนนี้เป็นเรื่องการเมืองไปแล้ว ถ้าไม่ปฏิวัติก็คงขึ้นtier 2 WL ไปแล้ว สหรัฐฯต้องการกดดันไทยต่อไปทางเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ เพราะรัฐบาลนี้ได้ทำทุกอย่างที่จะทำได้อย่างเต็มที่แล้ว แต่การพิจารณาไม่ได้ทำกันอย่างตรงไปตรงมาตามเนื้อหา ซึ่งสหรัฐฯใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการทำลายเศรษฐกิจไทยต่อไป แล้วจะตามมาด้วย EUในเรื่องประมง IUUรวมทั้งเรื่องมาตรฐานการบินสหรัฐฯและยุโรปต้องการกดดันการส่งออกของไทยให้ถึงที่สุด เป็นการแซงชั่นรัฐบาลที่มาจากการปฏิวัติ นอกเหนือจากการตัดGSP การไม่เจรจาทำข้อตกลงทางการค้าการจัดเป็น tier 3 เพื่อให้ประเทศสหรัฐฯและยุโรปรณรงค์ไม่ให้ประชาชนซื้อสินค้าไทย ปัญหาอยู่ที่ว่าเราจะแก้เกมอย่างไรจะพึ่งจีนคงไม่ไหว เพราะจีนก็เอาเปรียบชนิดพม่ากับลาวยังถอยหนีและจีนกำลังทำสงครามเศรษฐกิจกับสหรัฐฯอยู่อย่างรุนแรง ทั้งนี้ สหรัฐต้องการทุบเศรษฐกิจไทย เพราะ1. เรามีรัฐบาลที่มาจากปฏิวัติ 2. เราหันไปพึ่งพิงทางเศรษฐกิจจากจีนมากขึ้น สหรัฐต้องการแสดงให้เห็นว่า จีนไม่สามารถช่วยเราได้ 3. การส่งพวกอุยกูร์กลับจีนก็มีส่วนด้วยเช่นกัน  
นายวันชัย ยังโพสต์เพิ่มเติมอีกว่า เรื่องการจัดอับดับการค้ามนุษย์ของสหรัฐ Tier 1 คือ ประเทศที่ไม่มีปัญหา หรือมีแต่แก้ได้แล้ว Tier 2 คือ ประเทศที่มีปัญหา ยังแก้ไม่ได้ แต่ได้พยายามแก้ปัญหาอย่างจริงจังTier 3 คือ ประเทศที่มีปัญหามาก แต่ไม่แก้ หรือไม่พยายามแก้ปัญหาอย่างจริงจังในเรื่องนี้ รัฐบาลนี้พยายามแก้ปัญหามากกว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านมาในทุกด้านซึ่งอยู่ในหลักเกณฑ์ มาตรฐานและคำนิยามของ tier 2ไม่มีทางที่จะอยู่ใน tier 3 เลย สหรัฐก็รู้มาตลอดว่าประเทศไทยทำเยอะมากมายขนาดไหน เรียกว่าพยายามแก้ปัญหากันอย่างจริงจัง ตามหลักเกณฑ์ มาตรฐาน และคำนิยามของ tier 2 ถ้าไม่มีเรื่องทางการเมืองที่ต้องการกดดันทางเศรษฐกิจกับประเทศไทย ชนิดที่มีการตั้งธงไว้แล้วนี่ อย่างไรประเทศไทยก็ต้องขึ้น tier 2 หรือ tier 2 watch list การจัดอันดับปีนี้จึงไม่เป็นไปตามข้อเท็จจริง แต่เป็นการตัดสินใจด้วยประเด็นทางการเมืองล้วนๆ 
การจัดอันดับประเทศไทยอยู่ในอันดับ 3 จะเปิดโอกาสให้ยุโรป และพรรคพวก อ้างเป็นเหตุไม่ซื้อสินค้าไทย เพื่อทำลายอุตสาหกรรมประมง อาหารทะเลอาหารทะเลแช่แข็ง อาหารกึ่งสำเร็จรูปจากอาหารทะเลและไม่ใช่เฉพาะอาหารทะเล แต่ลามปามไปสินค้าอื่นๆด้วยคิดประเมินความเสียหายไว้ประมาณ สองแสนล้านบาทการส่งออกจะตกต่ำไปเรื่อยๆ ต่อเนื่องสหรัฐโจมตีการส่งออก เพราะรู้ว่าเราพึ่งพิงการส่งออกมาก เป้าคือให้เศรษฐกิจตกมากๆ ให้ประชาชนเดือดร้อนแล้วลุกฮือต่อต้านรัฐบาลเพราะเดือดร้อนทางเศรษฐกิจรัฐบาลจะอยู่ยาก 
อีกส่วนที่กำลังโจมตีคือ เรื่องมาตรฐานการตรวจสอบการบิน อันนี้เป็นอีกเรื่องที่เรามีจุดอ่อน เป็นการทำลายการเป็นศูนย์กลางการบินของไทยในระยะยาวทำลายสายการบินต่างๆ ของไทย และเป้าหมายสุดท้ายคือทำลายการท่องเที่ยวของไทย ซึ่งเป็นเส้นเลือดหลักอีกเส้นของไทยทำนายได้เลยว่า เรื่องการบิน ไทยจะถูกใบแดงทั้งจากยุโรปและสหรัฐ การบินไทยเจ๊งแน่ๆ รวมทั้งสายการบินสัญชาติไทยด้วย
"เราต้องเผยแพร่ในประเด็นกฎหมายครับ คือยกคำนิยาม และเอาอะไรที่เราทำมาเรียบเรียงว่าเราทำตามคำนิยามใน tier 2 ให้ชัดเจนแล้วเผยแพร่แถลงข่าวออกไปอย่างเป็นทางการของ กต. รวมทั้งชี้แจงไปทั่วโลก จุดอ่อนคือเรื่อง อุยกูร์ จะโดนโจมตีมากแต่เรื่องอุยกูร์ไม่ใช่เรื่องค้ามนุษย์ เป็นเรื่องผู้ลี้ภัย คนละประเด็นกัน แต่สหรัฐมั่วจับมารวมกัน"

พ.ร.บ.อุ้มบุญบังคับใช้ 30 ก.ค. เอาผิดครบกระบวนการ ทั้งหมอ นายหน้า หญิงจ้างท้อง

พ.ร.บ.อุ้มบุญบังคับใช้ 30 ก.ค. เอาผิดครบกระบวนการ ทั้งหมอ นายหน้า หญิงจ้างท้อง สธ.เผยทำอุ้มบุญทุกรายต้องขออนุญาต กคทพ. ช่วยสกัดทำผิดกฎหมาย ย้ำคู่รักต่างชาติอุ้มบุญในไทยไม่ได้ เว้นทำกิฟต์เพื่อตั้งท้องเอง ด้านคู่รักร่วมเพศต้องรอไทยคลอด กม.แต่งงานเพศเดียวกันได้ สบส.แนะคู่รักเกย์มะกันยื่นฟ้องศาลขอเป็นผู้ปกครอง "น้องคาร์เมน" พม.รับอุ้มบุญผิด กม.กระทบภาพลักษณ์ไทยค้ามนุษย์ ระบุเด็กอุ้มบุญจากพ่อยุ่นบางรายป่วย

วันนี้ (29 ก.ค.) ศ.นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แถลงข่าวการบังคับใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ.2558 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้วันที่ 30 ก.ค. 2558 เป็นต้นไป หลังประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2558 ว่า กฎหมายฉบับนี้เป็นการคุ้มครองประชาชนที่มีบุตรยากความจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีช่วย รวมถึงเด็กที่จะเกิดขึ้นด้วยเทคโนโลยี เพราะมีการกำหนดข้อห้ามที่สำคัญ ได้แก่ ห้ามสามีและภรรยาที่ทำอุ้มบุญปฏิเสธรับเด็กเป็นบุตร ห้ามรับตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า ห้ามเป็นนายหน้าจัดการหรือชี้ช่องให้มีการรับตั้งครรภ์แทน ห้ามโฆษณาว่ามีหญิงรับตั้งครรภ์แทน และห้ามซื้อ เสนอซื้อ ขาย นำเข้าหรือส่งออก อสุจิ ไข่หรือตัวอ่อน โดยสถานประกอบการ แพทย์ คู่สามีภรรยา ผู้รับตั้งครรภ์จะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย หากกระทำผิดจะมีโทษทั้งจำและปรับ

น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กล่าวว่า ตาม พ.ร.บ.จะมีการตั้งคณะกรรมการคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ (กคทพ.) ทำหน้าที่เสนอนโยบาย ออกประกาศ พัฒนาและแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ และพิจารณาอนุญาตให้มีการตั้งครรภ์แทนและควบคุมกำกับให้เป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งคู่สามีภรรยาที่ต้องการให้หญิงอื่นตั้งครรภ์แทนทุกรายจะต้องยื่นขออนุญาตต่อ กคทพ. ตรงนี้จะช่วยป้องกันในเรื่องการอุ้มบุญผิดฎหมายได้ เพราะมีการตรวจสอบทุกราย โดยคู่สมรสที่ต้องการให้หญิงอื่นตั้งครรภ์แทนจะต้องจดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมายไทย หากเป็นคนไทยสมรสกับชาวต่างชาติต้องจดทะเบียนสมรสไม่น้อยกว่า 3 ปีและมีประจักษ์พยานว่าใช้ชีวิตร่วมกันฉันท์สามีภรรยา และต้องผ่านการตรวจประเมินโดยแพทย์ที่มีคุณสมบัติตามที่แพทยสภากำหนด สำหรับหญิงที่รับตั้งครรภ์แทน ต้องมีสัญชาติไทย ไม่ใช่พ่อแม่หรือลูกแต่จะต้องเป็นพี่น้องท้องเดียวกันของสามีหรือภรรยาผู้ที่ต้องการมีบุตร และเคยมีบุตรมาก่อนต้องได้รับความยินยอมจากสามี

“โทษของผู้ฝ่าฝืน เช่น แพทย์ที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานแพทยสภา มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากกระทำเชิงการค้า รับจ้างอุ้มบุญ มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 2 แสนบาท หากเป็นนายหน้ามีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ กรณีขายอสุจิหรือไข่ มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนกรณีที่มีการดำเนินการอุ้มบุญมาก่อนกฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้สามารถยื่นรับรองบุตรได้” อธิบดี สบส. กล่าว

ด้าน นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงศ์ รองอธิบดี สบส. กล่าวว่า หากสามีและภรรยาเป็นลูกคนเดียว ไม่มีพี่น้องโดยสายโลหิต พ.ร.บ.เปิดช่องให้สามารถมีการตั้งครรภ์แทนได้แต่ต้องมีหลักฐานมายืนยันชัดเจน โดยหญิงที่จะมารับตั้งครรภ์แทน คู่สามีภรรยาต้องจัดหามาเอง และต้องผ่านการพิจารณาอนุญาตจาก กคทพ.ก่อนเช่นเดียวกัน ซึ่งจะมีการตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดทั้งอายุ การตรวจเลือด ข้อตกลง การประเมินสุขภาพจิต การยินยอมของคู่สมรส รวมถึง กระบวนการรู้จักกับหญิงที่ตั้งครรภ์แทนจนถึงเหตุผลที่รับดำเนินการด้วย ทั้งหมดนี้ต้องดำเนินการก่อนการตั้งครรภ์แทน ซึ่งจะมีการออกประกาศ สธ.บังคับใช้ต่อไป

รศ.นพ.กำธร พฤกษานานนท์ คณะอนุกรรมการเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ กล่าวว่า พ.ร.บ.นี้อนุญาตให้มีการตั้งครรภ์แทนได้โดยที่คู่สมรสที่ต้องการมีบุตรต้องเป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายไทยเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันรับรองเฉพาะคู่สามีภรรยาที่เป็นหญิงกับชาย แต่หากอนาคตไทยมีกฎหมายให้คู่รักเพศเดียวกันแต่งงานกันได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย พ.ร.บ.ฉบับนี้ก็จะครอบคลุมด้วย ส่วนการใช้เทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์โดยไม่มีการตั้งครรภ์แทนนั้น เช่น ทำกิฟต์ เด็กหลอดแก้ว คู่สมรสชาวต่างชาติสามารถเข้ามาดำเนินการได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีความเป็นไปได้ที่คู่รักเกย์ชาวอเมริกันและสเปนจะสามารถนำ "น้องคาร์เมน" ที่เกิดจากการอุ้มบุญไปรับเลี้ยงได้หรือไม่ นพ.ธเรศ กล่าวว่า กรณีนี้เกิดขึ้นก่อนมีการบังคับใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีฯ ซึ่งตามกฎหมายที่มีอยู่คือ หญิงตั้งครรภ์เป็นผู้ปกครองของเด็ก แต่หากคู่รักเกย์ดังกล่าวต้องการเป็นผู้ปกครองก็ต้องยื่นต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง เพื่อเรียกร้องสิทธิในการเป็นผู้ปกครองเด็ก ซึ่งศาลจะพิจารณาในเรื่องที่ว่าฝ่ายใดมีความพร้อมในการเลี้ยงดูเด็กมากกว่ากันด้วย ก็มีความเป็นไปได้ที่คู่รักเกย์อาจได้สิทธิเป็นผู้ปกครอง

เมื่อถามถึงความคืบหน้าในการดูแลเด็กอุ้มบุญที่เกิดจากพ่อชาวญี่ปุ่น นางระรินทิพย์ ศิโรรัตน์ อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน พม. กล่าวว่า เด็กทั้ง 13 รายอยู่ในความดูแลของสถานสงเคราะห์ โดยพบว่าเด็กบางรายไม่แข็งแรงเท่าเด็กปกติ เช่น มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ซึ่งอาจเกิดจากการคลอดก่อนกำหนด แต่ทางสถานสงเคราะห์ก็มีการดูแลอย่างดี ทั้งพยาบาล นักกายภาพบำบัด ส่วนเรื่องการรับเด็กดังกล่าวไปเลี้ยงนั้นยังไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากต้องรอให้การพิจารณาทางศาลสิ้นสุดเสียก่อน ซึ่งยังต้องใช้เวลา

เมื่อถามว่าที่ผ่านมาการทำอุ้มบุญผิดกฎหมายในประเทศไทย ส่งผลต่อเรื่องการค้ามนุษย์ของไทยด้วยหรือไม่ นางระรินทิพย์ กล่าวว่า อาจมีส่วนบ้าง แต่เชื่อว่าเมื่อมีการบังคับใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีฯ ก็จะช่วยป้องกันเรื่องการซื้อขายไข่ การทำอุ้มบุญเพื่อการค้า ซึ่งถือเป็นเรื่องการค้ามนุษย์ได้